วันศุกร์ที่ 31 กรกฎาคม พ.ศ. 2552

อย่าหนีปัญหา

อย่าหนีปัญหา...
ไม่ว่าเรื่องราวนั้นจะหนักหนาสาหัสเพียงใหน
เพราะถึงแม้ว่าจะหนีไปไกลสักเท่าไหร่...
ปัญหาก็เหมือนเงื่อนปมที่รอคอยให้กลับไปคลี่คลาย...
ปัญหาไม่ใช่วัชพืช ที่ย่อยสลายไปกับผืนดินเมื่อถึงเวลา...
แต่เปรียบดังก้อนหิน วางอยู่อย่างนั้น...ตั้งอยู่อย่างนั้น...
รอคอยให้เรารวบรวมความกล้า
ยกก้อนหินนั้นขึ้นมา...
แล้วผลักออกไปจากเส้นทางชีวิต...

หลายคนเข้าใจผิด...
คิดว่าความกลัวเป็นเกราะคุ้มกัน ไม่ให้โดนทำร้าย...ไม่ให้ทำสิ่งที่ผิดพลาด...
แท้จริงแล้วไม่ใช่สติสัมปชัญญะที่สมบูรณ์ต่างหาก ที่เป็นเครื่องนำทางให้กับความคิด
ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นก็ตามจำไว้เถิดว่า...ความกลัว...ไม่ได้ทำให้เข้มแข็งขึ้น...


Do not be afraid of going slowly, be afraid only of standing still."
อย่ากลัวที่จะก้าวไปช้า ๆ จงกลัวที่จะอยู่นิ่งเฉย"

วันพุธที่ 29 กรกฎาคม พ.ศ. 2552

คุณเคารพตัวเองมากแค่ไหน?

How high is your Self-Esteem?
คุณเชื่อมั่นในตัวเองรึเปล่า ?
คุณใ้ห้เครดิตตัวเองมากแต่ไหน?
โปรดตอบคำถามนี้กับตัวเอง ด้วยความจริงใจนะคะ
เพราะคุณรู้ไหมคะว่าการเคารพตัวเอง หรือว่าความเชื่อมั่นในตัวเองน่ะ
มีส่วนสำคัญในการ ผลักดันชีวิต การงาน และความสัมพันธ์กับคนรอบข้างให้ดีขึ้นหรือแย่ลงก็ได้


1. คุณเคยรู้สึกไม่ชอบตัวเองบ้างรีเปล่า
ก. ไม่เคยเลย ฉันรักตัวเอง
ข. บางครั้งนะ เวลารู้สึกเหวี่ยงๆ
ค. เป็นบ่อยเลยค่ะ
ง. ฉันเกลียดตัวเอง

2. คุณเคยรู้สึกแย่เวลาที่ต้องเอาตัวเองไปเปรียบเทียบกับคนอื่นบ้างรีเปล่า
ก. เท่าที่จำได้ไม่เคยเลยนะ
ข. มันก็มีบ้าง เวลาเจอคนที่เลิศหรูดูดีกว่าน่ะ
ค. เป็นบ่อยๆ เลยล่ะ ฉันชอบเปรียบเทียบตัวเองกับคนอื่น
ง. ทุกคนในโลกนี้ดีกว่าฉันทั้งนั้นแหละ

3. คุณเป็นคนขี้อายมั้ย
ก. ไม่หรอก ฉันเซลฟ์น่ะ
ข. ก็มีบ้าง เวลาอยู่ต่อหน้าคนเยอะๆ
ค. ฉันเป็นคนขี้อายเลยล่ะ กลัวคนมอง
ง. ฉันไม่อยากเจอใครเลย

4. คุณเป็นคนมั่นใจตัวเองมากแค่ไหน
ก. ฉันมั่นใจในตัวเอง และเชื่อมั่นในสิ่งที่ตัวเองทำ
ข. ก็มั่นใจในระดับหนึ่ง
ค. ไม่ค่อยมั่นใจเลยอ่ะ ฉันเขิน
ง. ฉันไม่เคยมั่นใจในตัวเองเลย

5. คุณคิดว่ามันยากแค่ไหนเวลาที่ต้องออกไปพูดหรือยืนต่อหน้าคนเยอะๆ นะ
ก. มันเป็นเรื่องธรรมดาสำหรับฉันนะ
ข. ก็มีเขินบ้าง แต่รวมๆ แล้วฉันก็กล้าอยู่ต่อนหน้าคนเยอะๆ
ค. ฉันอายจนแทบจะเอาหน้ามุดแผ่นดินหนีเลยอ่ะ
ง. ฉันไม่มีทางขึ้นไปอยู่ต่อหน้าคนเยอะๆ เด็ดขาด

6. คุณเคยคิดว่าตัวเองไม่สมควรได้รับความสุขบ้างมั้ย
ก. ไม่เคยอยู่ในหัวสมองเลย
ข. บ่อยครั้งนะ บ่อยมาก
ค. เป็นบ่อยเหมือนกัน
ง. ตลอดเวลา

7. คุณเคยรู้สึกว่าคนอื่นไม่ชอบคุณบ้างรึเปล่า
ก. ไม่เคยนะ
ข. อาจจะมีคนที่ไม่ชอบฉันบ้าง
ค. ก็คงมีคนไม่ชอบฉันเยอะ
ง. ไม่มีใครชอบฉันเลย

8. คุณเคยรู้สึกไหมว่าคนอื่นไม่ยอมรับฟังความคิดเห็นของคุณเลย
ก. ไม่มีแน่นอนเหตุการณ์แบบนั้นน่ะ
ข. ก็เป็นบางครั้ง ความคิดของฉันคงไม่ตรงกับเค้า
ค. ไม่ค่อยมีใครฟังฉันเท่าไหร่หรอก
ง. ไม่มีใครรับฟังความคิดเห็นของฉันเลยสักครั้ง

9. ถ้าสมมติว่าคุณทำอะไรสำเร็จ คุณคิดว่ามันเป็นเพราะโชคช่วยมากกว่าความสามารถของคุณเองใช่มั้ย
ก. ไม่ใช่ ความสามารถของฉันล้วนๆ
ข. โชคด้วย ความสามารถฉันด้วย 50-50
ค. ฉันคงมีโชคสัก 70 ส่วนอีก 30 มาจากฉันเอง
ง. มันเป็นโชคช่วยล้วนๆเลย

10. ถ้าคุณทำอะไรผิด มันเป็นเพราะคุณทั้งหมดเลยใช่ไหม
ก. ไม่ใช่หรอก มันมีอย่างอื่นมาประกอบด้วยน่ะ
ข. ก้เป็นความผิดฉันบ้างนิดหน่อยอ่ะ
ค. คงงั้นมั้ง
ง. แน่นอนที่สุดเลย

11. คุณเคยคิดว่าตัวเองต้องเป็นผู้ตามมากกว่าผู้นำใช่รึเปล่า
ก. ไม่ใช่หรอก ฉันเ็ป็นผู้นำน่ะ
ข. ก็ตามบ้าง นำบ้าง
ค. ส่วนมากฉันตามตลอดแหละ
ง. ฉันเป็นผู้ตามเสมอล่ะ

12. คุณเคยคิดว่าชาตินี้ฉันคงไม่ได้เลื่อนตำแหน่งแน่ๆ บ้างไหม
ก. ไม่เคยคิดเรื่องแบบนี้เลย ฉันต้องก้าวหน้าเสมอล่ะ
ข. อาจจะมีแว้บๆ บ้าง
ค. ฉันคิดเรื่องนี้อยู่เสมอล่ะ
ง. ฉันคงไม่ได้เลื่อนตำแหน่งแน่ๆ ฉันรู้

13. "คนเราก็ย่อมผิดพลาดกันได้" คุณเห็นด้วยกับคำกล่าวนี้ไหม
ก. เห็นด้วยอย่างแรง
ข. เห็นด้วยนะคะ
ค. ไม่ค่อยเห็นด้วยนะ
ง. ไม่เห็นด้วย เพราะฉันทำพลาดเสมอเลย

14. เวลาคุณทำผิดอะไรสักอย่าง คุณไม่เคยคิดว่าคนเราก็พลาดกันได้ แต่คุณจะโทษตัวเองซ้ำแล้วซ้ำเล่าตลอดเวลาเลยใช่ไหม
ก. ฉันไม่โทษตัวเองหรอก
ข. ฉันเคยคิดอย่างนั้นเหมือนกัน
ค. ฉันโทษตัวเองบ่อยๆ เลยล่ะ
ง. ฉันเคยทำอะไรถูกต้องด้วยเหรอ

15. คุณรู้สึกไหมว่าการพูดปฏิเสธเป็นเรื่องที่ยากเย็นเหลือเกิน
ก. ก็ไม่นะ เรื่องธรรมดามากๆ เลย
ข. บางคร้งฉันก็ทำใจลำบากที่ต้องบอกปัดคนอื่น
ค. ฉันแทบจะไม่กล้าปฏิเสธใครเลย ถ้าไม่จำเป็นจริงๆ
ง. ฉันไม่เคยปฏิเสธใครได้เลย

16. คุณทำใจยากไหมเวลาที่มีคนอื่นมาวิจารณ์คุณ
ก. ก็ไม่นะ ทุกคนมีสิทธิ์วิจารณ์กันได้
ข. ก็ถ้าว่าแรงๆ ฉันก็เฮิร์ทเหมือนกัน
ค. ฉันรู้สึกแย่ทุกทีเวลามีคนมาว่าฉันน่ะ
ง. ฉันไม่เคยทำใจรับคำวิจารณ์นั้นได้เลย

17. คุณเคยตำหนิรูปร่างหน้าตาของคนอื่นบ้างรึเปล่า
ก. ไม่ค่อยนะ
ข. ก็มีบ้างบางครั้ง
ค. ฉันชอบว่าคนอื่นอยู่แล้วล่ะ
ง. คนอื่นไม่เคยดีในสายตาของฉันเลย

18. ถ้าคุณโกรธหรือทำอะไรไม่ได้ดั่งใจ คุณจะเงียบในตอนแรก แต่พอหลังจากนั้นคุณจะระเบิดออกมาจนควบคุมตัวเองไม่ได้
ก. ฉันไม่เคยเป็นอย่างนั้นหรอก
ข. นานๆ เป็นครั้งนะ
ค. ฉันเป็นค่อนข้างบ่อยเหมือนกัน
ง. นั่นคือนิสัยฉันเลยล่ะ

19. คุณเป็นคนมีเพื่อนเยอะรึเปล่า
ก. ฉันมีเพื่อนเยอะแยะเต็มไปหมด
ข. ฉันมีเพื่อนรัก และเพื่อนตามสังคม
ค. ฉันมีเพื่อนสนิทอยู่ไม่กี่คน
ง. ฉันคิดว่าฉันไม่มีเพื่อนที่รักและเข้าใจฉันแท้จริงเลยสักคน

20. คุณเคยคิดฆ่าตัวตายรึเปล่า
ก. ไม่เคยมีเรื่องนี้ในหัวเลย
ข. ฉันเคยเบื่่อโลก แต่ไม่เคยอยากฆ่าตัวตาย
ค. บางครั้ง บางทีฉันก็ไม่อยากมีชีวิตต่อแล้ว
ง. ฉันคิดอยู่บ่อยๆ และเคยจะฆ่าตัวตายมาแล้วด้วย



ถ้าคุณเลือก ก คุณได้ 4 คะแนน
ถ้าคุณเลือก ข คุณได้ 3 คะแนน
ถ้าคุณเลือก ค คุณได้ 2 คะแนน
ถ้าคุณเลือก ง คุณได้ 1 คะแนน



ถ้าคุณได้ 20-35 คะแนน
ระดับการเคารพตัวเองของคุณอยู่ในระดับที่ต่ำมาก คุณคงเกลี่ยดตัวเองจริงๆ คุณมีปัญหาเรื่องการควบคุมอารมณ์ และชอบอิจฉาคนอื่น คุณคิดว่าชีวิตของคุณมีแต่เรื่องเส็งเคร็ง และ่น่าผิดหวังอยู่ตลอดเวลา ซึ่งรู้ไหมว่าประชาชนส่วนใหญ่มักได้ข้อนี้ นั่นแสดงว่าโลกนี้มีแต่ความเครียด และความทุกข์ ทางออกสำหรับคุณคือ คุณควรหยุด หมกมุ่นเรื่องของตัวเองได้แล้ว พยายามผ่อนคลายความเครียดด้วยการอ่านหนังสือ ออกกำลังกาย พบปะเพื่อนฝูง หรือถ้าคุณอาการหนักขนาดไม่อยากอยู่บนโลกนี้แล้ว รีบไปปรึกษาจิตแพทย์อย่างด่วนเลยค่ะ


ถ้าคุณได้ 36-55 คะแนน
คุณไม่ได้เกลี่ยดตัวเองหรอก แตุ่คุณก็ไม่ค่อยชอบตัวเองเท่าไหร่นัก ทางแก้คือคุณต้องหยุดเปรียบเทียบตัวเองกับคนอื่นได้แล้ว คุณชอบคิดว่าคนนี้สวยกว่าคุณ คนนี้ทำงานเก่งกว่าคุณ นิสัยดีกว่าคุณ แล้วก็มานั่งสมเพชตัวเอง อย่าลืมสิว่าคุณเป็นคนเดียวในโลกที่ไม่เหมือนใครและไม่มีใครเหมือน ฉะนั้นหัดรักตัวเองซะบ้างนะ มองโลกให้กว้างกว่านี้อีกนิดนึ่ง และคิดอะไรในทางที่บวกบ้าง ชีวิตนี้มันไม่ได้เลวร้ายขนาดนั้นหรอกน่า


ถ้าคุณได้ 56-65 คะแนน
ผู้คนส่วนใหญ่คิดว่าคุณเป็นคนที่มีความมั่นใจในตัวเองสูง ซึ่งความจริงแล้วคุณก็มั่นใจในตัวเองระดับหนึ่ง แต่ไม่ใช่ทั้งหมด เพราะในส่วนลึกๆ ของคุณนั้น คุณยังต้องการความรักและการยอมรับจากผู้คนมากกว่านี้ เพราะคุณคิดว่าคุณยังไม่ได้รับสิ่งเหล่านี้เท่าที่ควร บางทีคุณอาจจะมีอดีตฝังใจที่เจ็บปวดอยู่บ้าง คุณควรผ่อนคลายตัวเองให้มากกว่านี้อีกนิดนึง คุณก็จะเป็นคนที่เคารพตัวเองได้อย่างเต็มใจแล้ว


ถ้าคุณได้ 66-74 คะแนน
คุณรักตัวเอง เคารพตัวเอง และเป็นคนที่มั่นใจในตัวเอง คุณเป็นคนที่มีมนุษยสัมพันธ์ดี ใส่ใจคนอื่น คนรอบข้างต่างก็อยากอยู่กับคุณและชื่่นชมคุณ คุณไม่เคยท้อแท้กับปัญหา เพราะคุณคิดว่าคุณต้องผ่านมันไปได้ เราขอปรบมือให้คุณเลยค่ะ อย่างไรก็ตาม คุณจะรู้สึกเป็นสุขและผ่อนคลายมากกว่า ถ้าคุณได้อยู่คนเดียวตามลำพัง


ถ้าคุณได้ 75-80 คะแนน
ถ้าคุณตอบตามความเป็นจริงแล้วได้คะแนนสูงลิบขนาดนี้ เราขอบอกว่าคุณคงเป็นคนที่หลงตัวเองและใจแคบพอสมควร คุณถือเป็นตัวอันตรายสำหรับคนรอบข้างเลยล่ะ คุณคิดว่าตัวเองเพอร์เฟ็คท์ แต่ขอโทษเถอะ ไม่มีใครในโลกนี้ที่เป็นอย่างนันหรอกนะ

อ่านแร้วก็ว่ากันไปนะคะ ขำๆๆนะคะอย่าคิดมาก แล้วก็อยากให้ทุกคนรักตัวเองให้มากๆๆนะคะ
มิมีใครจะรักเราเท่าตัวเรารักตัวเองก่อนเราถึงจะมอบความรักให้ผู้อื่นได้

.......................................................................................................

วันจันทร์ที่ 27 กรกฎาคม พ.ศ. 2552

นิสัยคนเกาหลีที่อ่านแล้วแล้วต้อง.. ยี้ !!!!!

1. ผู้ชายเกาหลีชอบกดขี่ขมเหง ผู้หญิง โดยเฉพาะภรรยา โดยจากการสำรวจพบว่าผู้ชายเกาหลีติดอันดับการซ้อมภรรยามากที่สุดในโลก
2. ผู้ชายเกาหลีเถื่อน ไม่สุภาพ ถือความคิดตัวเองเป็นใหญ่ ผู้ชายต้องมีอำนาจเหนือกว่าผู้หญิง
3.ผู้ชายเกาหลีสูบบุหรี่จัดมาก 80 % เขาถือเป็นเรื่องปกติ
4. ผู้ชายเกาหลีถือว่าการดื่มเหล้า (โซจู)ถือเป็นเรื่องปกติ ถึง 95 %
5.เมื่อแต่งงานผู้หญิงต้องเป็นฝ่ายให้สินสอดกับผู้ชาย
6.ผู้ชายเป็นฝ่ายซื้อเรือนหอ แต่ผู้หญิงต้องไปหาซื้อเฟอร์นิเจอร์ทั้งหมดเอง
7.คนเกาหลีไม่รู้จักการขอโทษ แม้ว่าตัวเองจะเป็นฝ่ายเดินชนก็ตาม
8.คนเกาหลีถือว่าใครเสียงดังกว่าเป็นฝ่ายชนะ เมื่อทะเลาะกันใครเงียบถือว่าคนนั้นแพ้ไปโดยปริยาย
9.คนเกาหลีถือว่าการทำศัลยกรรมเป็นเรื่องปกติทั้งผู้หญิงและผู้ชาย เขาถือว่าเกิดมาชาติเดียวต้องสวย ดูดีที่สุด
10.ผู้ชายเกาหลีไม่ได้ดี เพอร์เฟค เพรียบพร้อมเหมือนในละครหรอกนะ
11.อย่าหวังจะได้ยินคำขอโทษจากปาก ถ้าไม่ใช่พระเอก กับพระรองในละคร
12.ผู้ชายเกาหลีซาดิสต์
13.ถ้าแต่งงานผู้หญิงต้องนับถือญาติฝ่ายชายมากที่สุด มากกว่าญาติตัวเอง และต้องทำเสมือนตัดขาดจากครอบครัวตัวเองเลย
14.ถ้าแต่งงานกับลูกชายคนโตของบ้าน จะลำบากที่สุด เพราะเมื่อมีงานรวมญาติ สะใภ้คนโตต้องจัดหาอาหาร และล้างเองทั้งหมด
15.คุณป้า คุณยายเกาหลีปากจัดมากกกกก
16.ภรรยาห้ามเถียงสามี
17.คุณเก่งอังกฤษในเกาหลีใช่จะรอด เพราะคนเกาหลีกลัวภาษาอังกฤษมาก ขนาดวิ่งหนีเลยล่ะ
18.ค่าครองชีพในเกาหลีแพงมาก
19.ผู้ชายเกาหลีหน้าตาไม่ได้หล่อ เหมือนที่เราเห็น ส่วนใหญ่จะตาตี่ และดูทึ่ม ๆ จืด ๆ

นี่ก็เป็นตัวอย่างที่แนะนำเพื่อนๆๆค่ะ

วันอาทิตย์ที่ 26 กรกฎาคม พ.ศ. 2552

กาลิเลโอ กาลิเลอี


กาลิเลโอ กาลิเลอี (อิตาลี: Galileo Galilei ; 15 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1564 - 8 มกราคม ค.ศ. 1642) เป็นนักฟิสิกส์ นักคณิตศาสตร์ นักดาราศาสตร์ และนักปรัชญาชาวทัสกันหรือชาวอิตาลี ซึ่งมีบทบาทสำคัญอย่างยิ่งในการปฏิวัติวิทยาศาสตร์ ผลงานของกาลิเลโอมีมากมาย งานที่โดดเด่นเช่นการพัฒนาเทคนิคของกล้องโทรทรรศน์และผลสังเกตการณ์ทางดาราศาสตร์ที่สำคัญจากกล้องโทรทรรศน์ที่พัฒนามากขึ้น งานของเขาช่วยสนับสนุนแนวคิดของโคเปอร์นิคัสอย่างชัดเจนที่สุด กาลิเลโอได้รับขนานนามว่าเป็น "บิดาแห่งดาราศาสตร์สมัยใหม่" "บิดาแห่งฟิสิกส์สมัยใหม่" "บิดาแห่งวิทยาศาสตร์" และ "บิดาแห่งวิทยาศาสตร์ยุคใหม่"การศึกษาการเคลื่อนที่ของวัตถุที่มีความเร่งคงที่ ซึ่งสอนกันอยู่ทั่วไปในระดับมัธยมศึกษาและเป็นพื้นฐานสำคัญของวิชาฟิสิกส์ก็เป็นผลงานของกาลิเลโอ รู้จักกันในเวลาต่อมาในฐานะวิชาจลนศาสตร์ งานศึกษาด้านดาราศาสตร์ที่สำคัญของกาลิเลโอได้แก่ การใช้กล้องโทรทรรศน์สังเกตการณ์คาบปรากฏของดาวศุกร์ การค้นพบดาวบริวารของดาวพฤหัสบดี ซึ่งต่อมาตั้งชื่อเป็นเกียรติแก่เขาว่า ดาวกาลิเลียน รวมถึงการสังเกตการณ์และการตีความจากการพบจุดดับบนดวงอาทิตย์ กาลิเลโอยังมีผลงานด้านเทคโนโลยีและวิทยาศาสตร์ประยุกต์ซึ่งช่วยพัฒนาการออกแบบเข็มทิศอีกด้วย
การที่ผลงานของกาลิเลโอสนับสนุนแนวคิดของโคเปอร์นิคัสกลายเป็นต้นเหตุของการถกเถียงหลายต่อหลายครั้งในชีวิตของเขา เพราะแนวคิดเรื่องโลกเป็นศูนย์กลางของจักรวาลนั้นเป็นแนวคิดหลักมานานแสนนานนับแต่ยุคของอริสโตเติล การเปลี่ยนแนวคิดใหม่ว่าดวงอาทิตย์เป็นศูนย์กลางของจักรวาลโดยมีข้อมูลสังเกตการณ์ทางวิทยาศาสตร์อย่างชัดเจนจากกาลิเลโอช่วยสนับสนุน ทำให้คริสตจักรโรมันคาทอลิกต้องออกกฎให้แนวคิดเช่นนั้นเป็นสิ่งต้องห้าม เพราะขัดแย้งกับการตีความตามพระคัมภีร์กาลิเลโอถูกบังคับให้ปฏิเสธความเชื่อเรื่องดวงอาทิตย์เป็นศูนย์กลาง และต้องใช้ชีวิตที่เหลืออยู่ในบ้านกักตัวในความควบคุมของศาลศาสนาโรมัน
....................................................>//<

วันศุกร์ที่ 24 กรกฎาคม พ.ศ. 2552

Canada City Information (Thai)

ออตตาวา (Ottawa)
เป็นเมืองหลวงของประเทศแคนาดาและเป็นเมืองหลวงที่สวยงามที่สุดเมืองหนึ่งของโลก นักศึกษา นกท่องเที่ยวที่มาที่นี่ต่างประทับใจเมื่อได้สัมผัสกับความหลากหลายทางสถาปัตยกรรม พิพิธภัณฑ์ หอศิลป์ และสถานที่ท่องเที่ยวทางธรรมชาติต่าง ๆ ซึ่งมีอยู่มากมายในตัวเมืองและรายล้อมอยู่รอบ ๆตัวเมือง จนทำให้ชาวต่างชาติพากันโยกย้ายเข้ามาพำนักอาศัย ดังนั้นเราจะพบเห็นผู้คนหลากหลายเชื้อชาติ คนที่นี่ใช้ชีวิตเร่งรีบในตอนกลางวัน และสนุกสนานร่างเริงในยามค่ำคืน และออตตาวา เป็นเมืองแห่งกิจกรรมที่ท่านสามารถทำได้ครบทุกฤดูกาล

เริ่มจากการล่องเรือในแม่น้ำออตตาวาในฤดูร้อนจนถึงการเล่นสกีและสเก็ต ในคลอง Rideau ในฤดูหนาว การปั่นจักรยานชมธรรมชาติตามช่องทางที่จัดไว้โดยเฉพาะสำหรับจักรยานกว่า 1000 กิโลเมตร สรุปได้ว่าออตตาว่ามี ความสงบ เรียบง่าย ความแตกต่างวัฒนธรรม สภาพแวดล้อม การเแสดง การเมือง ความเป็นสากล

มหาวิทยาลัยที่สำคัญและมีชื่อเสียงต่างๆ ได้แก่
Carleton University
The University of Ottawa
University of Quebec, Hull (Université de Québec à Hull)
Algonquin College
La Cite Collegiale (La Cité Collegiale)
Saint Paul University
Le Cordon Bleu Ottawa Culinary Arts Institute
Herzing Career College- Ottawa


การเดินทางใช้สนามบินนานาชาติออตตาวา (Ottawa International Airport)

โตรอนโต (Toronto) เมือง Toronto ตั้งอยู่บนฝั่งริมน้ำทางตอนเหนือของ Lake Ontario เป็นเมืองที่มีขนาดใหญ่ที่สุดและ มีความเป็นสากลมากที่สุดในประเทศแคนาดา ด้วยงานสถาปัตยกรรมที่น่าทึ่ง โรงละครที่มีชื่อเสียงโด่งดัง กีฬาระดับโลกและการมีที่ตั้งอยู่ฝั่งแม่น้ำที่สวยงาม จึงทำให้เมือง ๆ นี้ เป็นสถานที่เพื่อการศึกษาที่ได้รับความนิยม ท่านสามารถเดินเล่นไปรอบ ๆ Harbourfront Park พร้อม ๆ กับเพื่อนชาวต่างชาติใหม่ ไปดู Bluejays เล่นเบสบอล ที่ SkyDome หรือไปชมทิวทัศน์จากชั้นบนของ CN Tower ซึ่งเป็นอาคารที่สูงที่สุดในโลก ที่คุณสามารถมองเห็น Niagara Falls ที่อยู่ห่างออกไปกว่า 70 ไมล์ได้


มหาวิทยาลัยที่สำคัญและมีชื่อเสียงต่างๆ ได้แก่
University of TorontoYork University Ryerson University Ontario College of Art and design Colleges of Applied and Technology การเดินทางท่าอากาศยานนานาชาติโทรอนโต เพียร์สัน (Toronto Pearson International Airport) หรือท่าอากาศยานเพียร์สัน (Pearson Airport) ตั้งอยู่ที่เมืองมิสซิสซูกา ซึ่งอยู่ห่างออกไปทางตะวันตกเฉียงเหนือประมาณ 27 กิโลเมตร (17 ไมล์) ของโทรอนโต รัฐออนแทรีโอ ประเทศแคนาดา เป็นประตูหลักในการเข้าสู่แคนาดา และเป็นท่าอากาศยานหลักของแอร์แคนาดา และเวสต์เจ็ตท่าอากาศยานแห่งนี้เดิมชื่อว่า ท่าอากาศยานมอลตัน และต่อมาได้เปลี่ยนชื่อมาเป็น ท่าอากาศยานนานาชาติโทรอนโต ในปีพ.ศ. 2503 และท่าอากาศยานนานาชาติเลสเตอร์ บี. เพียร์สัน ในปีพ.ศ. 2527 เพื่อเป็นเกียรติต่ออดีตนายกรัฐมนตรีคนที่ 14 ของแคนาดา เลสเตอร์ บี. เพียร์สันแวนคูเวอร์ (Vancouver)Vancouver เป็นเมืองริมน้ำที่สวยงามน่าประทับใจและได้รับการจัดให้อยู่ใน 3 อันดับแรกของโลก ด้านมาตรฐานความเป็นอยู่ และไม่ใช่แค่การเป็นเมืองที่ไดัรับการวางผังมาเป็นอย่างดี สะอาด และมีประสิทธิภาพ Vancouver ได้รับการโหวตให้เป็นเมืองที่น่าอยู่ที่สุดเมืองหนึ่งในโลก เมืองนี้ยังเป็นสถานที่ตั้งของชายหาด 4 แห่ง สวนสันทนาการที่สวยงาม และสถานที่ใกล้ เคียงที่คึกคักมีชีวิตชีวาอาทิเช่น Gastown และ Granville Island และด้วยสภาพอากาศที่ดีเยี่ยม คุณจึงสามารถท่องเที่ยวไปยังสวนสาธารณะที่มีความสวยงามต่าง ๆ ได้ รวมถึงการทดลองเล่นสกีที่สถานตากอากาศเพื่อการเล่นสกีที่ดีที่สุดในโลก


มหาวิทยาลัยที่สำคัญและมีชื่อเสียงต่างๆ ได้แก่
Everest College
DeVry University
San Joaguin Valley College
Ashmead College


การเดินทางท่าอากาศยานนานาชาติแวนคูเวอร์ (Vancouver International Airport) ตั้งอยู่ที่ริชมอนด์, บริติชโคลัมเบีย ประเทศแคนาดา ห่างจากตัวเมืองแวนคูเวอร์ประมาณ 15 กิโลเมตร เป็นท่าอากาศยานหลักของแอร์แคนาดา และเป็นท่าอากาศยานรองของเวสต์เจ็ต แวนคูเวอร์ ยังเป็น 1 ใน 8 ของท่าอากาศยานในแคนาดา ที่เป็นที่ตั้งของด่านตรวจลงตราล่วงหน้าของสหรัฐอเมริกา

คอมพิวเตอร์


คอมพิวเตอร์

(อังกฤษ: computer นิยมอ่านในภาษาไทยว่า คอม-พิ้ว-เต้อ) คือ เครื่องมือหรืออุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ ที่มีความสามารถในการคำนวณอัตโนมัติตามคำสั่ง ส่วนที่ใช้ประมวลผลเรียกว่าหน่วยประมวลผล ชุดของคำสั่งที่ระบุขั้นตอนการคำนวณเรียกว่าโปรแกรมคอมพิวเตอร์ ผลลัพธ์ที่ได้ออกมานั้นอาจเป็นได้ทั้ง ตัวเลข ข้อความ รูปภาพ เสียง หรืออยู่ในรูปอื่น ๆ อีกมากมาย
ลักษณะทางกายภาพของคอมพิวเตอร์นั้นมีหลากหลาย มีทั้งขนาดที่ใหญ่มากจนต้องใช้ห้องทั้งห้องในการบรรจุ และขนาดเล็กจนวางได้บนฝ่ามือ การจัดแบ่งประเภทของคอมพิวเตอร์สามารถจัดแบ่งได้ตามขนาดทางกายภาพเป็นสำคัญ ซึ่งมักจะแปลผันกับประสิทธิภาพความเร็วในการประมวลผล โดยขนาดคอมพิวเตอร์ที่มีขนาดใหญ่ที่สุดเรียกว่า ซูเปอร์คอมพิวเตอร์ ใช้กับการคำนวณผลทางวิทยาศาสตร์ ขนาดรองลงมาเรียกว่า เมนเฟรม มักใชัในบริษัทขนาดใหญ่ที่ต้องมีการประมวลผลธุรกรรมทางธุรกิจจำนวนมากๆ สำหรับคอมพิวเตอร์ขนาดเล็กที่ใช้ในระดับบุคคลเรียกว่า คอมพิวเตอร์ส่วนบุคคล และคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลที่พกพาได้เรียกว่า คอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊ค ส่วนคอมพิวเตอร์ขนาดเล็กที่สามารถวางบนฝ่ามือได้เรียกว่า พีดีเอ อย่างไรก็ตามคอมพิวเตอร์มีใช้กันอย่างกว้างขวางมาก ซึ่งมีอุปกรณ์หลายๆชนิดได้นำคอมพิวเตอร์ไปใช้เป็นกลไกหลักในการทำงาน เช่น กล้องดิจิทัล เครื่องเล่นเอ็มพีสาม หรือในรถยนต์เองก็มีคอมพิวเตอร์ที่ใช้ช่วยในการตรวจสอบระบบการทำงานของเครื่องยนต์
ประสิทธิภาพของคอมพิวเตอร์โดยรวมแล้ววัดกันที่ความเร็วการประมวลผล ซึ่งตามกฏของมัวร์ (Moore's Law) คอมพิวเตอร์จะเพิ่มประสิทธิภาพเป็นเท่าทวีคูณในทุกปี

วันพฤหัสบดีที่ 23 กรกฎาคม พ.ศ. 2552

Song ..... Tu es comme ça















Tu es comme ça

ขับร้องโดย......Marilou Bourdon & Garou

{Refrain:}
Tu es comme ça fier et libre
Tu peux partir là-bas
Mais rien ne t'éloigne jamais
De ce que tu aimes, de ce que tu aimes
Tu es comme ça coeur fidèle
Ton regard se perd parfois
Mais rien ne te fait oublier
De ce que tu aimes, de ce que tu aimes


Alors tu veux redonner, aux fleurs, au ciel, aux gens
Des couleurs qu'ils n'ont plus
Ramener la douceur un peu à ceux qu'ils l'ont perdu
Alors tu veux des musiques du temps des instants d'or pour apaiser le tiens
Quelques notes magiques un mot, un rien pour qu'ils soient bien


{au Refrain}


Alors tu veux caresser leurs coeurs, voler leurs âmes aux frissons de ta voix
Et leurs garder toujours ouverte ta maison et tes bras
Alors tu veux faire cadeau du temps, de l'éternelle, à ceux qui sont partis
Et garder ton sourire enfin pour eux à l'infini
Tu es comme ça passagère, tu peux rêver d'ailleurs,
Mais tous les chemins te ramène

{au Refrain}

นี่เลยคร้าเพื่อนๆๆ http://www.mariloumusique.com/


ดีมาก >//< เธอสวยจัง ....................................................

โรคไข้เลือดออก

โรคไข้เลือดออกเป็นโรคที่เกิดจากการติดเชื้อไวรัสชนิดหนึ่งและมียุงลายเป็นพาหะนำโรค มักพบในเด็กอายุ 5-10 ปี ปัจจุบันยังไม่มีวัคซีนป้องกันจำหน่ายสาเหตุ
โรคไข้เลือดออก เป็นโรคติดต่อที่เกิดจากยุงลาย (Aedes aegyti) ตัวเมีย บินไปกัดคนที่ป่วยเป็นไข้เลือดออกโดยเฉพาะช่วงที่มีไข้สูง เชื้อไวรัสแดงกีจะเพิ่มจำนวนในตัวยุงประมาณ 8-10 วัน เชื้อไวรัสแดงกี่จะไปที่ผนังกระเพาะและต่อมน้ำลายของยุง เมื่อยุงกัดคนก็จะแพร่เชื้อสู่คน เชื้อจะอยู่ในร่างกายคนประมาณ 2-7 วันในช่วงที่มีไข้ หากยุงกัดคนในช่วงนี้ก็จะรับเชื้อไวรัสมาแพร่ให้กับคนอื่น ซึ่งส่วนใหญ่มักจะเป็นเด็ก โรคนี้ระบาดในฤดูฝน ยุงลายชอบออกหากินในเวลากลางวันตามบ้านเรือน และโรงเรียน ชอบวางไข่ในน้ำสะอาดที่อยู่นิ่งๆ ตามภาชนะที่มีน้ำขัง เช่น ยางรถยนต์ กะลา กระป๋อง จานรองขาตู้กับข้าว แต่ไม่ชอบวางไข่ในท่อระบายน้ำ ห้วย หนอง คลอง บึง ฯลฯอาการระยะไข้สูง
มีอาการไข้ขึ้นสูง 2-7 วัน เบื่ออาหาร อาเจียนออกมามีสีน้ำตาลปนอยู่ ปวดศีรษะไข้ขึ้นสูง 38-40 °c ปวดท้อง ปวดกล้ามเนื้อ วันที่ 2-3 ผู้ป่วยมักซึมลงหน้าแดง ตัวแดง อาจมีผื่น หรือจุดเลือดออกตามผิวหนัง 60-90% ตรวจพบตับโต การตรวจ Tourigust test ให้ผลบวก
ระยะวิกฤติ (ระยะช็อคและเลือดออก)
ไข้ลด (ประมาณวันที่ 3-6 ของโรค) อาการทรุดลงเข้าสู่ภาวะช็อค เริ่มมีอาการกระสับกระส่าย มือเท้าเย็น ชีพจรเต้นเร็ว ความดันโลหิตตก อาเจียนมาก ปวดท้อง บางรายซึมมากขึ้น ปัสสาวะน้อย อาจมีเลือดออกในกระเพาะ ถ้าไม่มีอาการแทรกซ้อนและได้รับการรักษาทันและถูกต้องระยะนี้จะกินเวลา 24-48 ชัวโมง แล้วเข้าสู่ระยะฟื้น
ระยะฟื้น
อาการทั่วไปดีขึ้น ความดันโลหิตและชีพจรกลับเป็นปกติ ปัสสาวะออกมากขึ้น ตับที่โตจะลดขนาดลงภายใน 1-2 สัปดาห์ เริ่มรับประทานอาหารได้ มักมีผื่นแดงที่ขา ปลายเท้า ปลายมือ และคัน
การรักษา
ผู้ป่วยที่ไม่อาเจียนให้ดื่มน้ำหรือน้ำเกลือแร่มาก ๆ วิธีสังเกตว่าดื่มน้ำพอหรือไม่ ให้ดูปัสสาวะ ควรมีสีใส
ควรพบแพทย์เป็นระยะ ๆ ตามนัด เพื่อเฝ้าดูอาการที่อาจเป็นอันตรายอย่างใกล้ชิด
ถ้าอาเจียนมาก ซึม เพลียมาก มีอาการของช็อคและมีอาการเลือดออก ควรรับการรักษาในโรงพยาบาลและดูแลใกล้ชิด เพื่อรักษาได้ทันท่วงที หรือหากมีอาการแทรกซ้อนอื่น เช่น ตับอักเสบรุนแรง ตับวาย สมองอักเสบ ควรรับการรักษาในโรงพยาบาล
ให้ยาแก้ไข้พาราเซตามอล แต่ห้ามใช้แอสไพรินเพราะจะทำให้ระคายกระเพาะ มีโอกาสมีเลือดออกทางกระเพาะง่าย และทำให้การทำงานหาเกล็ดเลือดผิดปกติ
วัคซีนยังอยู่ในขั้นทดลองเท่านั้น ยังไม่มีจำหน่ายให้ใช้
วิธีป้องกัน
พยายามไม่ให้ยุงกัด
ปราบและทำลายแหล่งเพาะพันธุ์ยุง ซึ่งชอบวางไข่ในน้ำสะอาดที่อยู่นิ่งๆ ตามภาชนะต่างๆ ที่มีน้ำขัง
ผู้ป่วยที่เป็นไข้เลือดออกไม่ควรให้ถูกยุงกัดภายใน 5 วันแรกของโรค เพราะผู้ป่วยยังมีไวรัสอยู่ในเลือดทำให้แพร่เชื้อไปให้คนอื่นได้
รายงานคนไข้ไปที่โรงพยาบาลหรือสาธารณสุขจังหวัด เพื่อส่งเจ้าหน้าที่ไปทำการกำจัดยุงบริเวณนั้นและควบคุมโรคก่อนที่จะมีการระบาดเพิ่ม
การพัฒนาวัคซีนและยา
ยังไม่มีวัคซีนสำหรับไวรัสเดงกี่ซึ่งเป็นสาเหตุของไข้เลือดออกจำหน่ายในตลาด เนื่องจากยังอยู่ในขั้นการทดลองและพัฒนาอยู่ การเร่งพัฒนาวัคซีนอย่างจริงจังนั้นเริ่มมาตั้งแต่ พ.ศ. 2546 สำหรับประเทศไทย ได้มีการทดสอบวัคซีนไวรัสไข้เลือดออกในอาสาสมัครจำนวน 3,000-5,000 คน หลังจากประสบความสำเร็จในการทดสอบในสัตว์และอาสาสมัครกลุ่มเล็ก และขณะนี้วัคซีนที่ถูกเลือกได้เข้าสู่การทดสอบระยะที่ 1 และระยะที่ 2 แล้ว ปัญหาสำคัญของการพัฒนาวัคซีนคือการที่ไวรัสมีจำนวนสายพันธุ์ถึง 4 สายพันธุ์ ทำให้วัคซีนที่พัฒนาออกมาต้องยับยั้งได้ทั้ง 4 สายพันธุ์ อีกทั้งกลไกการติดเชื้อของไข้เลือดออกนั้นยังมีความซับซ้อน

วันอังคารที่ 21 กรกฎาคม พ.ศ. 2552

ปริศนาภาพวาดโมนา ลิซ่า


กว่า 500 ปีมากแล้วกับคำถามที่ว่า โมนา ลิซ่า (Mona Lisa) นั่นเป็นใคร ซึ่งยังเป็นปริศนา และยังไม่มีคำตอบที่ชัดเจนและแน่นอน ว่าบุคคลในภาพเขียนของ ลีโอนาร์โด ดา วินซี่ (Leonardo da vin Ci 1452-1519) คือใครกันแน่ ภาพนี้วาดขึ้นราวๆ ค.ศ. 1503-1506 โดยแฝงรอยยิ้มที่ลึกลับ น่าเคลือบแคลง ไปด้วยปริศนามากมายลงบนใบหน้าของ โมนา ลิซ่า ให้ผู้คนได้นึกคิด จินตนาการกันไปต่างๆ นานา ยาวนานถึง 5 ศตวรรษ จวบจนกระทั่งปัจจุบัน คำถามที่ผู้คนสงสัย และได้ค้นคว้าหาคำตอบกันอย่างมากมาย ก็คือ โมนา ลิซ่า คือใคร?
ตามคำบอกเล่าของ "จิออร์โอ วาซารี" (Giorgio Vasari 1511-1574) จิตรกร สถาปนิก และ ผู้เขียนหนังสือเกี่ยวกับศิลปะในสมัยนั้น เขากล่าวไว้ว่า โมนา ลิซ่า ก็คือภรรยาของ ฟรานเชสโก เดล จิโอกอนโด ซึ่งเป็นพ่อค้าไหมที่มั่งคั่งแห่ง เมืองฟลอเรนซ์ ขณะที่ ดาวินซี่ เขียนภาพนี้ซึ่งได้ใช้เวลานานถึง 4 ปี เขาได้ไปว่าจ้าง นักร้อง นักดนตรี และตัวตลกมาให้ความบันเทิงแก่หญิงงามผู้เป็นแบบของ ภาพเขียน เพื่อให้เธอมีรอยยิ้มที่ปราศจากความเศร้าหมอง อย่างไรก็ตามจากคำ บรรยายของ วาซารี ก็เป็นเพียงข้อมูลจากผู้ที่ไม่เคยเห็นภาพเขียนนี้ของ ลีโอนาร์โด แต่อย่างใด
จากหลักฐานอีกแหล่งหนึ่งจาก "อันโตนิโอ เดอ เบอาทิส" ผู้บันทึกปากคำของ ลีโอนาร์โดใน ค.ศ. 1517 ว่าผู้เป็นแบบในภาพคือสตรีชาว ฟลอเรนซ์ และ จูลีอาโน เดอ เมดิซี่ เป็นผู้ว่าจ้างให้เขียนภาพนี้ จากการที่ ไม่มีหลักฐานปรากฎที่แน่ชัดว่า ใครเป็นแบบให้กับ ลีโอนาร์โดวาดภาพนี้ จึงทำให้มีการตั้งข้อสันนิษฐานกันไป ต่างๆ นานา ไม่ว่าจะ -เป็น บุคคลใน ภาพอาจเป็น คอนสตันซ่า คาวารอส หรืออาจจะเป็น อิสซาเบลลา เดสเต ผู้อื้อฉาว หรืออาจเป็นภรรยาลับของ จูลีอาโน เดอ เมดิซี่ ทั้งนี้ ก็เพราะได้ปรากฎว่า มีโมนา ลิซ่า (เปลือย) หลายภาพในศตวรรษที่ 16 ซึ่งเป็น ที่โด่งดังมากกับภาพเปลือยของสาวผู้นี้
นอกจากนี้จากการที่ลีโอนาร์โดเองมีชื่อที่ถูกกล่าวขานกันว่าเขาเป็นพวก รักร่วมเพศ จึงเกิดการสันนิษฐานว่า โมนา ลิซ่า ไม่ใช่ผู้หญิงแต่เป็นภาพเหมือนจำแลง เพศของเด็กหนุ่มรูปงามคนใดคนหนึ่ง ซึ่งศิลปินมักเลี้ยงไว้ติดสอยห้อยตามในสตูดิโอ บ้างก็มีการนำภาพเหมือนของ ลีโอนาร์โดมามาเปรียบเทียบกับภาพของ โมนา ลิซ่า แล้วก็สรุปเอาดื้อๆว่าภาพเขียนอันลือชื่อนี้แท้ที่จริงคือ ภาพของ ลีโอนาร์โด ดาวิน ซี่ เองที่แปลงกาย แต่งตัวเป็นสตรีเพศ ยิ่งไปกว่านั้นผู้ที่สนับสนุนทฤษีนี้ยังกล่าวเสริม ต่อไปว่า ลายปักขดเชือกที่รอบคอเสื้อของ โมนา ลิซ่า คือลายเซ็นลับของ ดาวินซี่เอง เพราะในภาษาอิตาเลี่ยนคำว่า "ขดเชือก" จะตรงกับคำว่า "วินชีเร่" (Vincire)

แม้ว่าบุคคลในภาพ โมนา ลิซ่า ยังเป็นสิ่งที่ถกเถียงกันอยู่ แต่ข้อมูลเกี่ยวกับผู้ครอบครองภาพนี้ยังพอมีข้อมูลอยู่บ้าง นั่นก็คือ เป็นที่ทราบกันดีอยู่แล้วว่า ลีโอนาร์โด ไม่ยอมพรากจากภาพเขียนนี้ และเขาได้นำติดตัวพร้อมกับทรัพย์สินสินมีค่าอื่นๆที่เขารัก หวงแหน ออกจากกรุงโรมเมื่อครั้งเดินทางมาที่ฝรั่งเศสเพื่อเป็นศิลปินแห่งราชสำนักของพระเจ้าฟรานซิสที่ 1 (ค.ศ. 1479-1547) ใน ค.ศ. 1517 ด้วยเหตุนี้เอง ผู้ครอบครองภาพ โมนา ลิซ่า คนแรกก็คือกษัตริย์ฝรั่งเศส ซึ่งโปรดให้นำภาพไปประดับที่ห้องสรงในพระราชวัง ฟองแตนโบล แต่ เมื่อจักรพรรดินโปเลียนขึ้นครองราชย์ ภาพโมนา ลิซ่า จึงถูกย้ายมาพำนักในห้องพระบรรทม และมีชื่อเรียกอย่าง สนิทสนมว่า "มาดาม ลิซ่า"
มุมมอง ทัศนะคติ และ ความคิดเห็นความรู้สึก ต่างๆ ที่มีต่อ Mona Lisa นั้นมีมากมายเหลือเกิน "จูลส์ มิเชอเลต์" ได้พรรณนาไว้ใน หนังสือประวัติศาสตร์ฝรั่งเศสว่า "ภาพเขียนนี้ดึงดูดข้าพเจ้า พรํ่าเรียกข้าพเจ้า รุกรานข้าพเจ้า ซึมซาบเข้าไปในตัวข้าพเจ้า ข้าพเจ้าตรงลิ่วเข้าไปหาโดยไม่รู้สึกตัว ประดุจนกบินดิ่งเข้าไปในปากงูพิษ" นี่คือทัศ-นคติต่อ Mona Lisa ในศตวรรษที่ 16 ที่มองความงามในแบบอุดมคติ แต่มุมมองจากนักวิจารณ์ในศตวรรษที่ 19 กลับมองไปอีกด้านหนึ่ง โดยเฉพาะ กลุ่มโรแมนติคส์ที่มองว่า โมนา ลิซ่า เป็นสตรีมรณะ (Femme fatale) หรืออีกนัยหนึ่งคือสตรีผู้ยื่นความตายแก่บุรุษ

สำหรับ เธโอฟิล โกติเอร์ (Theophile Gautier) โมนา ลิซ่า มิได้เป็นสาวน้อยที่มี รอยยิ้มแสนหวานงามปานกลีบกุหลาบ ตามที่วาซารีเคยพรรณนาไว้แต่จะเป็นสาววัย สามสิบที่ร่องรอยแห่งเลือดฝาด และความสดใสแห่งชีวิตเริ่มที่จะอันตรธานหายไป สีของอาภรณ์ และผ้าคลุมผมของเธอ ซึ่งหมองคลํ้าเพราะกาลเวลา ทำให้เธอดูเหมือนหญิง หม้ายที่แฝงไว้ด้วยความทุกข์โศก
อันที่จริงแล้ว ลักษณะรอยยิ้มของ โมนา ลิซ่า ที่มีการตีความไปต่างๆนานานั้น สามารถ พบเห็นได้ในภาพเขียนอื่นๆของ ดาวินซี่ เองเช่น รอยยิ้มที่แฝงความอ่อนโยนและการุณย์ ของเซนต์แอนน์ หรือพระแม่มารี หรือแม้กระทั่งรูปปั้นในยุคโบราณของกรีก ในศตรวรรษที่ 19 มีผู้เห็นว่าภายใต้รอยยิ้มยากที่จะหยั่งลึกของ โมนา ลิซ่า นี้กลับแฝงไว้ด้วย ปริศนาอมตะ แห่งอิสตรี ส่วนนักจิตวิเคราะห์อย่าง ซิกมันด์ ฟรอยด์ (Sigmund freud) ก็ตีความหมายว่า "ลีโอนาร์โดหลงไหลรอยยิ้มของ โมนา ลิซ่า" เพราะมันคือสิ่งที่หลับไหล ภายในจิตใจ และความทรงจำในอดีตของเขาที่ผ่านมานานแล้ว รอยยิ้มนี้ถอดแบบพิมพ์ มาจากคาเตรีนาผู้ที่เป็นมารดา สำหรับนักสุนทรียศาสตร์อย่าง วอลเทอร์ เพเทอร์ (Walter Pater) พรรณนาไว้ว่า
"เธอมีอายุแกกว่าหินผาที่ห้อมล้อมเธอ ประดุจหนึ่งปีศาจดูดเลือด เธอได้ตายมาแล้วหลายคราและหยั่งรู้ความลึกลับแห่งหลุมศพ"

พอมาถึงต้นศตรวรรษที่ 20 ผู้คนรุ่นใหม่ๆ เกือบที่จะไม่ได้แสดงความคิดเห็น ความรู้สึก และทัศนคติต่อโมนา ลิซ่า เสียแล้ว เมื่อวันที่ 21 สิงหาคม ค.ศ. 1911 ในเวลา เช้าตรู่ ข่าวการโจรกรรมภาพ Mona Lisa ออกจากพิพิธภัณฑ์ลูฟร์ ปรากฎต่อมวลชน ซึ่งกว่าจะค้นพบเธอ และจับกลุมผู้โจรกรรมได้ก็ต้องใช้เวลาถึง 2 ปี ปรากฎว่าคนที่โจร- กรรมโมนา ลิซ่าไป ก็ คือคนที่ทำความสะอาดในพิพิธภัณฑ์นั่นเอง สถานที่ค้นพบ โมนา ลิซ่า นั้นก็คือเมือง ฟลอเรนซ์บ้านเกิดของเธอนั่นเอง ในปัจจุบันนี้โมนาลิซ่าได้รับการ ทะนุถนอมเป็นอย่างดี ในตู้กระจกปรับอากาศและกันกระสุน ซึ่งไม่มีใครที่จะสามารถลักพาตัวเธอได้อีกต่อไป มีสิ่งที่น่าสังเกตุก็คือ ตั้งแต่การหายลึกลับของ โมนา ลิซ่าเป็นระยะเวลายาวนานในคราวนั้น มีผู้ที่ไปดูโมนา ลิซ่าบางคนบอกว่า รอยยิ้มของเธอนั้นเปลี่ยนไป โดยที่ตั้งข้อสงสัยว่า เธออาจไม่ใช่ โมนา ลิซ่า ตัวจริง
เมื่อปี ค.ศ. 1974 โมนาลิซ่าถูกนำไปแสดงที่กรุง มอสโก และโตเกียว โดยเฉพาะที่ โตเกียวมีผู้คนมาเข้าแถวชมเพื่อยลโฉมเธอถึง 2 ล้านคนในช่วงเวลาแค่ 3 เดือน

วันอาทิตย์ที่ 19 กรกฎาคม พ.ศ. 2552

วิธีทำให้ผมยาวเร็วขึ้น

ใครที่ผมสั้นแล้วต้องการให้ผมยาวเร็วขึ้น วันนี้ มีวิธีมาบอก…

- ออกกำลังกายให้เส้นผมเร่งให้ผมยาวด้วยการก้มศีรษะให้เลือดไปเลี้ยงที่ศีรษะค้างไว้ 30 วินาที ค่อย ๆ เงยหน้าขึ้นมาทำเช่นนี้ทุกวัน เลือดจะไหลเวียนไปเลี้ยงเส้นผมที่ศีรษะ ทำให้เส้นผมแข็งแรงและยาวเร็วขึ้นด้วย

- เพิ่มโปรตีนโปรตีนสามารถปกป้องและซ่อมแซมเส้นผม ช่วยลดการหลุดร่วงและการแตกหักของเส้นผม ทำให้เส้นผมแข็งแรง และยาวเร็วขึ้นได้

- กินปลาปลา พืชผักใบเขียว และบลูเบอรี่เป็นแหล่งอาหารที่ช่วยเพิ่มการไหลเวียนของโลหิต ฉะนั้นบริเวณใดก็ตามในร่างกายที่มีเลือดไหลเวียนไปหล่อเลี้ยงได้ดีจะทำให้ ร่างกายบริเวณนั้นแข็งแรง มีชีวิตชีวารวมไปถึงเส้นผมบนศีรษะด้วย

- เคยนวดศีรษะกันบ้างไหมการ นวดศีรษะจะช่วยกระตุ้นการไหลเวียนของโลหิตบนศีรษะ และยังจะช่วยทำให้เส้นผมเติบโตเร็วขึ้น การนวดศีรษะอาจทำได้ด้วยตัวเองที่บ้านในขณะสระผม โดยการใช้นิ้วมือกดและนวดไปตามจุดบนศีรษะอย่างเบามือ

– แปรงให้ถูกหลีกเลี่ยงการทำให้เส้นผมขาดและหลุดร่วงด้วยการไม่หวีผมขณะยังเปียกอยู่ เลือกใช้หวีซีกใหญ่และห่างในการหวีผมช่วงผมเปียกแทน

- ตัดผมบ้างการเล็มผมบ่อย ๆ จะช่วยให้ผมยาวเร็วขึ้น และยังถือว่าเป็นการกำจัดผมแตกปลายไปในตัวด้วย



รู้อย่างนี้แล้ว ถ้าอยากผมยาวเร็ว ลองนำวิธีที่แนะนำไปปฏิบัติกันดูได้

วันเสาร์ที่ 18 กรกฎาคม พ.ศ. 2552

เตือนอันตรายผู้ที่ชอบฟังเพลงดัง

ผู้ที่ชอบฟังเพลงผ่านเครื่องเล่นต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็น MP3 MP4 เครื่องเล่นซีดี ซาวน์อะเบ้าท์ หรือเครื่องเล่นชนิดที่ต้องเสียบหูฟังไว้ที่หูของเรา แล้วชอบเปิดเพลงเสียงดัง ควรฟังทางนี้ เพราะผลวิจัยจากกลุ่มตัวอย่างที่อายุระหว่าง 23-25 ปี ออกมาแล้วว่า การฟังเพลงด้วยความดัง 80 เปอร์เซ็นต์ของความสามารถของตัวเครื่องนานเป็นเวลา 90 นาทีต่อวัน ติดต่อกันเป็นเวลานาน ๆ จะส่งผลกระทบต่อระบบโสตประสาทอย่างแน่นอน ไบรอัน ฟลิกเกอร์ ผู้เชี่ยวชาญด้านโสตประสาท โรงพยาบาลเด็ก เมืองบอสตัน ผู้ทำวิจัยเปิดเผยว่า ในกรณีที่การฟังเพลงนั้น มีการหยุดพัก หรือฟังบ้างไม่ฟังบ้าง ก็จะไม่ส่งผลเสียต่อสุขภาพหูเร็วนัก แต่ผลการศึกษาชิ้นนี้กำลังพูดถึงคนที่ฟังเพลงดัง ๆ ติดต่อกันนานหลายเดือน หรืออาจเป็นปี จะเป็นกลุ่มที่มีความเสี่ยงสูงอย่างมากผลการศึกษายังระบุอีกว่า ผู้ที่ฟังเพลงด้วยระดับเสียงประมาณ 10 - 50 เปอร์เซ็นต์ของระดับเสียงสูงสุดที่เครื่องจะเล่นได้นั้นถือว่าอยู่ในระดับที่ปลอดภัยเพียงพอ ในขณะที่การฟังเพลงด้วยเสียงดัง 100 เปอร์เซ็นต์นานเกิน 5 นาที อาจเสี่ยงต่อการสูญเสียโสตประสาทการฟังเลยทีเดียวใครที่ชอบฟังเพลงดัง ๆ เพราะว่ามันเร้าใจแล้วล่ะก็ ่าจะเปลี่ยนพฤติกรรมการฟังซะใหม่นะคะ ไม่อย่างนั้นอาจเกิดอันตรายต่อโสตประสาทได้ แล้วจะหาว่าไม่เตือน...

วันพฤหัสบดีที่ 16 กรกฎาคม พ.ศ. 2552

6 เทคนิคการอ่านหนังสือ

เทคนิค 6 ข้อ ที่ควรทำ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการอ่านหนังสือเตรียมตัวสอบให้ได้ผล ใน 1 เดือน ซึ่งอาจจะมีข้อสำคัญสำหรับน้องๆ คือ การเลิก Chat ไปสักระยะ (แหม ข้อนี้ทำร้ายจิตใจกันจริงๆ นะคะ) แต่ก็นั่นล่ะค่ะ แชทมากไปก็ไม่ดี น้องๆ ก็รู้อยู่ แชทพอให้หายเครียดก็คงเป็นทางสายกลางที่น่าจะทำนะคะ.. เอ๊า มาดูกัน ว่ามีเทคนิคอะไรน่าสนใจบ้าง

1.ต้องเลิกเที่ยว เลิกดื่ม เลิกสร้างบรรยากาศที่ไม่ใช่การเตรียมสอบ เลิก chat ตอนดึกๆ เลิกเม้าท์โทรศัพท์นานๆ ตัดทุกอย่างออกไป ปลีกวิเวกได้เลย ต้องทำให้ได้ ถ้าไม่ได้อย่าคิดเลยว่าจะสอบติด ฝันไปเถอะ


2.ตัดสินใจให้เด็ดขาด ว่าต่อไปนี้จะทำเพื่ออนาคตตัวเอง บอกเพื่อน บอกพ่อแม่ บอกทุกคนว่า อย่ารบกวน ขอเวลาส่วนตัว จะเปลี่ยนชีวิต จะกำหนดชีวิตตัวเอง จะกำหนดอนาคตตัวเอง เพราะเราต้องการมีอนาคตที่กำหนดได้ด้วยตัวเอง ใช่หรือไม่


3.ถ้าทำ 2 ข้อไม่ได้ อย่าทำข้อนี้ เพราะข้อนี้คือ ให้เขียนอนาคตตัวเองไว้เลยว่า จะเรียนต่อคณะอะไร จบแล้วจะเป็นอะไร เช่น จะเรียนพยาบาล ก็เขียนป้ายตัวใหญ่ๆ ติดไว้ข้างห้อง มองเห็นตลอดเลยว่า “เราจะเป็นพยาบาล” จะเรียนแพทย์ก็ต้องเขียนไว้เลยว่า “ปีหน้าจะไปเหยียบแผ่นดินแพทย์ศิริราช-จุฬา” อะไรทำนองนี้ เพื่อสร้างเป้าหมายให้ชัดเจน


4.เตรียมตัว สรรหาหนังสือ หาอาจารย์ติว หาเพื่อนคนเก่งๆ บอกกับเค้าว่าช่วยเป็นกำลังใจให้เราหน่อย ช่วยเหลือเราหน่อย หาหนังสือมาให้ครบทุกเนื้อหาที่จะต้องสอบ เตรียมห้องอ่านหนังสือ โต๊ะ เก้าอี้ โคมไฟ ให้พร้อม


5.เริ่มลงมืออ่านหนังสือ เริ่มจากวิชาที่ชอบ เรื่องที่ถนัดก่อน ทำข้อสอบไปด้วย ทำแบบฝึกหัดจากง่ายไปยาก ค่อยๆ ทำ ถ้าท้อก็ให้ลืมตาดูป้าย ดูรูปอนาคตของตัวเอง ต้องลงมืออ่านอย่างจริงจัง อย่างน้อยวันละ 10 ชั่วโมง แล้วจะทำได้ไง วิธีการคือ อ่านทุกเมื่อที่มีโอกาส อ่านทุกครั้งที่มีโอกาส หนังสือต้องติดตัวตลอดเวลา ว่างเมื่อไรหยิบมาอ่านได้ทันที อย่าปล่อยให้ว่างจนไม่รู้จะทำอะไร ที่สำคัญอ่านแล้วต้องมีโน้ตเสมอ ห้ามนอนอ่าน ห้ามกินขนม ห้ามฟังเพลง ห้ามดูทีวี ห้ามดูละคร ดูหนัง อ่านอย่างเดียว ทำอย่างจริงจัง


6.ข้อนี้สำคัญมาก หากท้อให้มองภาพอนาคตของตัวเองไว้เสมอ ย้ำกับตัวเองว่า “เราต้องกำหนดอนาคตของตัวเอง ไม่มีใคร กำหนดให้เรา เราต้องทำได้ เพราะไม่มีอะไรที่เป็นไปไม่ได้” ให้กำลังใจกับตัวเองอยู่เสมอ บอกกับตัวเองอย่างนี้ทุกวัน หากท้อ ขอให้นึกว่า


อย่างน้อยก็มีผู้เขียนบทความนี้เป็นกำลังใจให้เสมอ นึกถึงภาพวันที่เรารับปริญญา วันที่เราและครอบครัวจะมีความสุข วันที่คุณพ่อคุณแม่จะดีใจที่สุดในชีวิต ต่อไปนี้ต้องทำเพื่อท่านบ้าง อย่าเห็นแก่ตัว อย่าขี้เกียจ อย่าผลัดวันประกันพรุ่ง เลิกนิสัยเดิมๆ เสียที

วันจันทร์ที่ 13 กรกฎาคม พ.ศ. 2552

กลอนให้กำลังใจ

กลอนให้กำลังใจกลอนให้กำลัง ดีๆ เป็นกำลังกับคนพิเศษ ไม่ว่าจะเป็นเพื่อน หรือคนใกล้ตัว ก็สามารถนำ กลอนให้กำลังใจ ไปเป็นกำลังใจให้กับเขาได้ ที่นี่เลยนะคะ

หนึ่งสมอง สองมือ ต้องไขว่คว้า
เมื่อมีปัญหา ขึ้นมา ต้องแก้ไข
เหนื่อยและท้อ ขอพักหน่อย ไม่เป็นไร
ให้มีแรง ลุกขึ้นใหม่ ได้อีกครา

คนเราก็เป็น แบบนี้ กันทั้งนั้น
มีสุขสันต์ โศกเศร้า เท่ากันแหละหนา
ความสำเร็จ แต่ละครั้ง กว่าจะได้มา
ต้องแลกด้วย เหงื่อและน้ำตา แทบทุกคน

ขอเป็นอีก หนึ่งแรงใจ ให้คนสู้
ให้เธอรู้ ว่าเธอ ยังมีหวัง
ขอส่งแรงใจ ให้เธอ มีแรงพลัง
ไปยังฝั่งฝัน ที่เธอวาดหวัง และตั้งใจ

...............................................................................
อย่าเพิ่งยอมแพ้นะคนดีอย่าเพิ่งยอมแพ้ นะคนดี
ที่ตรงนั้น วันนี้ อาจไม่มีฉัน
แต่เธอรับรู้ใช่ไหม ถึงความผูกพัน
ฉันซ่อนตัว อยู่ในนั้น ทุกคืนวันที่ท้อใจ
เธอไม่จำเป็น ต้องต่อสู้เพื่อฉัน
แต่จงฝ่าฟัน เพื่อฝันที่วาดไว้
ต่อจากนี้ อีกแสนนาน หรือแสนไกล
ฉันจะเป็น หนึ่งกำลังใจที่ยิ่งใหญ่ สำหรับเธอ

..............................................................................
เหนื่อยบ้างไหมที่เดินมาถึงวันนี้
อาจอ่อนล้าเบื่อบ้างเป็นบางที
อย่าท้อเลยคนดีขอให้ทน
- - - -
อนาคตสดใส ในภายหน้า
กำลังมาตามเวลา อย่าสับสน
แม้อาจเคยผิดหวังกับบางคน
จะผ่านพ้นไปได้ในสักวัน
- - - -
อนาคตเป็นอย่างไร ใครจะรู้
แต่ให้สู้เพื่อไปสู่สิ่งที่ฝัน
แม้เวลาอาจพาใจให้ลืมกัน
สำหรับฉันไม่มีวันจะเปลี่ยนไป
- - - -
หากเธอหาแห่งใดเป็นที่พึ่ง
ยามเมื่อถึงจุดหนึ่งซึ่งหวั่นไหว
ยังมีฉันคนนี้นะคนไกลคนที่เป็นคนใกล้…ทีไกลเธอ

........................................................................................................

หวังว่าคนที่อ่านกลอนแล้วจะมีกำลังใจบ้างนะค่ะ สู้ๆๆ ^^

วันเสาร์ที่ 11 กรกฎาคม พ.ศ. 2552

3 ความเชื่อผิดๆ เกี่ยวกับผิว


1. กินช็อกโกแลดหรืออาหารมันๆ แล้วจะเป็นสิว ถ้าคุณชอบกินช็อกโกแลตหรืออาหารมันๆก็กินเข้าไปเถอะ เพราะอาหารพวกนั้นไม่มีสารอะไรที่จะก่อให้เกิดสิวในทันทีทันใด ยกเว้นคุณจะเอาอาหารมันๆ ถูหน้าตัวเอง



2. ริ้วรอยเกิดจากผิวแห้ง จริงๆ แล้วริ้วรอยต่างๆ นั้นเกิดจากผิวหลังขาดคอลลาเจน (ซึ่งมักจะทำให้ผิวแห้งมาก) และสูญเสียอิลาสติน (ที่ทำให้ผิวยืนหยุ่นได้ดี) มอยส์เจอไรเซอร์ทั่วๆ ไปจึงช่วยคืนความชุ่มชื้นให้ผิวได้เท่านั้น แต่ไม่สามารถลดเลือนริ้วรอยได้ ถึงแม้จะช่วยให้ผิวหน้าดูดีขึ้นก็ตาม



3. น้ำเย็นช่วยทำให้สิวยุบได้ ความเป็นจริงคือน้ำเย็นจะทำให้เส้นเลือดหดตัว ส่งผลให้ผิวกระชับตัวแน่นขึ้น แต่ไม่สามารถลดขนาดของสิวลงได้เลย ฉะนั้น ถ้าคุณอยากลดเลือนสิวจริงๆ ก็หาผลิตภัณฑ์รักษาสิวที่มีส่วนผสมของกรดซาลิไซลิคมาใช้ดีกว่า จะเห็นผลดีกว่ากันเยอะ ♦
ตอนนี้ดิฉันก็อยากแนะนำเกี่ยวกับผิวค่ะสำหรับคนที่รักสุขภาพก็สามารถนำมาใช้กันได้ค่ะ ^^
.........................................................

ความเชื่อ (ผิดๆ) 10 อย่าง

มีผู้ชายจำนวนไม่น้อยที่รู้ว่า มีอะไรน่าสนใจอีกมากในตัวผู้หญิงยิ่งไปกว่าเสื้อคอลึกหรือช่วงขายาวๆ ต่อไปนี้คือความเชื่อ (ผิดๆ) 10 อย่าง ที่หยิบยกมาให้อ่านกันค่ะ


1. จริงหรือไม่ ผู้ชายไม่จีบสาวใส่แว่น

คนที่คิดแบบนั้นคงไม่เคยเห็นสุดยอดนางแบบสาวสวย คริสตี้ เทอร์ลิงตั้น ใส่แว่นกรอบลายกระ หรือดาราสาวสวยอย่าง คาเมรอน ดิอาซ ผู้หญิงใส่แว่นไม่ได้มีภาพพจน์แบบป้าๆ เด็กเรียนเชยๆหรอกนะ แต่ดูแล้วเฉลียวฉลาดดีออก
เพียงแค่ผู้ชายบางคนไม่ชอบผู้หญิงที่ฉลาดกว่าเท่านั้นเอง


2. จริงหรือไม่ ระวังอย่าให้รอยตะเข็บชั้นในโผล่มาให้ใครเห็น

ถ้าว่ากันตามกฎของวงการแฟชั่นแล้ว นี่อาจเป็นข้อห้ามที่ไม่ควรเผลอทำ แต่หากคุณถามหนุ่มๆธรรมดาทั่วไปแล้ว พวกเขาจะบอว่า "รอยตะเข็บกางเกงชั้นในที่ปรากฎขึ้นมาบนกางเกงนั้นแสนจะเซ็กซี่ การได้เห็นภาพรอยเลือนราง แม้จะไกลสัก 60 เมตร ก็พอแล้วล่ะที่จะทำให้หนุ่มน้อยหนุ่มใหญ่ชะงัก เพราะมันเปรียบเสมือนการเชื้อเชิญกรายๆบอกเป็นนัยว่า คุณจะได้ค้นพบอะไรดีๆอีกมากมาย" แต่ไม่ใช่โผล่มาครึ่งตัวนะ นั่นไม่น่าดูเลยทีเดียวล่ะ


3. จริงหรือไม่ ผู้ชายชอบผู้หญิงผมยาว

ผู้ชายหลายๆคนจะชอบผู้หญิงที่ผมยาว เพราะดูเป็นผู้หญิ๋งผู้หญิง แต่โดยมากแล้วมักจะไม่ได้ใส่ใจกับผมสั้นผมยาว ตราบเท่าที่ผู้หญิงดูแลผมตัวเองได้ดีและมีบุคลิกที่ดี ผู้ชายหลายคนชอบมองผู้หญิงผมสั้นด้วยซ้ำไป ทำไมน่ะเหรอ ก็เพราะพวกเขาชอบมองต้นคอขาวๆยังไงล่ะ


4. จริงหรือไม่ ผู้หญิงต้องแต่งหน้าเข้มๆเพื่อดึงดูดความสนใจ

ถ้าคุณเคยนั่งอยู่หน้ากระจก แต่งหน้าโดยโปะอายแชโดว์ ปัดแก้มเพียบ ใส่ขนตาปลอม และละเลงลิปสติกอย่างเมามันส์ แต่งหน้าจัดจนเป็นงิ้วซะงั้น ลองเปลี่ยนความคิดใหม่เถอะ แน่นอนว่าผู้ชายส่วนใหญ่ชอบผู้หญิงที่ใส่ใจกับความงาม แต่ จริงๆแล้วผู้ชายส่วนมากชอบผู้หญิงที่ไม่แต่งหน้าเลย (ไม่เชื่อลองถามแฟนคุณสิ) เพราะยามไม่แต่งหน้าผู้หญิงจะดูสาวขึ้น หน้าใสขึ้น เวลาจูบก็ให้ความรู้สึกดีกว่า เพราะไม่งั้นเวลาหอมแก้มหรือจูบสาวซักที หนุ่มๆต้องฝ่าด่านเมกอัพหนาเตอะ ที่เธอพอกเอาไว้ทุกที


5. จริงหรือไม่ ผู้ชายไม่ให้เกียรติผู้หญิงที่ดื่มเหล้า

ถ้าดื่มบ้างก็เป็นเสน่ห์อย่างหนึ่งเหมือนกัน หากยังรักษามาดกุลสตรีไว้ได้ ไม่เอะอะโวยวายเหมือนผู้ชาย ดังนั้นสำคัญตรงที่ว่า ดื่มแล้วคุณจะทำตัวอย่างไรมากกว่า ( แต่ทางที่ดีไม่ควรดื่มจะดีกว่านะคร๊า )

6. จริงหรือไม่ ผู้ชายชอบผู้หญิงผอมๆ

รูปร่างผอมแห้งอาจจะดูดีสำหรับการเป็นนางแบบใส่เสื้อผ้าเดินแบบบนแคตวอล์ก แต่ถ้าถามผู้ชายทั่วไปที่ปกติหน่อย พวกเขาจะบอกคุณว่าผู้หญิงเดินดินที่เขาสามารถนอนกอดได้น่ะ เจ๋งกว่าผู้หญิงที่มีแต่กระดูก ผู้หญิงผอมแห้งมองแล้วน่าผวามากกว่า ไม่มีอะไรเด็ดไปกว่าผู้หญิงหุ่นอึ๋มๆเนื้อตัวอบอุ่น น่ากอด น่าเคี้ยว นุ่มนิ่ม ผู้หญิงแบบที่ว่านี้แหละสุดยอด


7. จริงหรือไม่ ต้องใส่ชุดชั้นในเซ็กซี่ถึงจะยั่วหนุ่มได้

แบบนั้นก็ดีอยู่หรอก แต่อย่าได้ดูถูกกางเกงในแบบธรรมดา พวกสีขาวธรรมดานี่แหละ เป็นอะไรบางอย่างที่สดใส ชวนมอง เพราะดูบริสุทธิ์สะอาดช่างไร้เดียงสา เร้าอารมณ์ได้อีกแบบ (อันนี้ไม่ค่อยอยากแนะนำแต่เพื่อนๆก็ใช้พิจารณญานดูนะคะ)


8. จริงหรือไม่ ผู้ชายไม่ชอบผู้หญิงที่มีอำนาจหรือความสามารถ

ผู้ชายแท้ๆ มักจะมองหาสาวมาดเข้มในชุดสูททำงานเนี้ยบๆ ใส่ส้นสูงแหลมเป็นเข็มดั่งอาวุธของเธอ แบบนี้แหละเร้าอารมณ์ ถ้าไม่ตกอยู่ในอำนาจของเธอ ก็ต้องขอลองปราบเธอให้ได้ล่ะ

9. จริงหรือไม่ ผู้หญิงสวยไม่ควรมีเหงื่อออก (เวลาเหนื่อยๆ แค่หน้าแดงก็พอ)

เหลวไหลน่ะ ใครคิดยังงั้นก็บ๊องแล้วล่ะ ไม่มีอะไรจะเทียบได้กับภาพเม็ดเหงื่อที่ไหลช้าๆลงมาบนใบหน้าที่แดงก่ำ หลังจากซาวน่า อาบแดด หรือออกกำลังกายมา เซ็กซี่จริงๆ ให้ตายสิ

10. จริงหรือไม่ ผู้ชายชอบผู้หญิงใส่ชุดสั้นๆรัดรูป

ถ้ามีสาวใส่ชุดสั้นรัดรูปเดินผ่านมา ผู้ชายไม่ไล่ไปหรอก แต่ผู้หญิงในชุดยาวหลวมๆน่าสนใจกว่าเยอะเลย เวลาลมพัดปลิวแนบเนื้อช่างยั่วยวนดีออก อาจจะเห็นช่วงขาอ่อนของเธอ เป็นอะไรที่เซ็กซี่สุดๆ ปล่อยให้เขาจินตนาการต่อ ตรงนี้แหละสำคัญที่สุดแล้วสำหรับหนุ่มๆทั้งหลาย

ก็เอามาให้เพื่อนๆๆพี่ๆๆน้องๆๆศึกษากันค่ะ ก็ต้องใช้ความคิดส่วนตัวกันนิดหนึ่งนะขอบคุณค่ะวันหลังจะมาแนะนำกันใหม่ ^^


.................................................................

วันพุธที่ 8 กรกฎาคม พ.ศ. 2552

สิ่งมีค่า . . . ที่แท้จริง

ความรักบางครั้ง. . . . ไม่จำเป็นต้องพูดพร่ำเพรื่อหากแต่อยู่ที่ . . .
การกระทำ ซึ่งเรา อาจรับรู้ เพียงแค่ฝ่ายเดียว


ถ้าพรุ่งนี้ . . . เราตายไปบริษัท สามารถหาคนมาแทนเราได้ภายในไม่กี่วัน
แต่ครอบครัวเรา . . .ต้องสูญเสียและคิดถึงเรา . . . ไปตลอด


เราได้ใช้ชีวิต . . . กับการทำงาน มากกว่า ครอบครัว . . . หรือเปล่า?
ถ้ามากกว่า . . .ก็เป็นการลงทุนที่ไม่ฉลาดเลยจริง ๆ


ลองหันกลับหลัง . . .มองคนที่เป็นห่วงเป็นใยเราบ้าง
เพราะหากถึงวันที่ เราหรือเขาจากไป. . . จะได้ไม่เสียใจ
กับสิ่งที่เราไม่เคยทำอะไรให้เขาเลย

วันจันทร์ที่ 6 กรกฎาคม พ.ศ. 2552

ความขยันกับความสำเร็จ

ข้อมูลจากหนังสือพิมพ์ คม ชัด ลึก ภาพประกอบทางอินเทอร์เน็ต จริงหรือต้องขยันเป็น จึงจะประสบความสำเร็จ?

นักเรียน นักศึกษาบางคน ขยันเรียน ขยันศึกษาอย่างที่สุด อ่านหนังสือ ดูหนังสือ ทำการบ้าน ทุกขณะเวลา แม้แต่เวลารับประทานอาหาร แต่เมื่อเวลาทดสอบจริงมาถึง คือ เวลาสอบ กลับทำข้อสอบได้ไม่ดีเท่าที่ควร หรืออาจทำข้อสอบแทบไม่ได้เลย…

ในขณะที่นักเรียน นักศึกษาบางคน ดูๆ ก็ไม่ขยันเรียน ขยันศึกษา อย่างทุ่มเทนัก กิจกรรมของสถาบันก็ทำ กีฬาก็เล่น ดูหนังฟังเพลงเป็นประจำ แต่เมื่อถึงเวลาทดสอบ กลับทำข้อสอบได้ดี ขณะที่คนทำงานบางคน ตั้งอกตั้งใจทำงานอย่างขยันขันแข็งเต็มที่ ดูยุ่งกับงานตลอดเวลา แต่…กลับไม่มีผลงานอย่างเป็นชิ้นเป็นอัน ปัญหาของคนขยัน…แต่ไม่ประสบความสำเร็จเหล่านี้ คืออะไร ?


คำตอบหนึ่ง คือ ขยันไม่เป็น ! แล้วจะแก้ปัญหาของการขยันไม่เป็น ได้อย่างไร ?

หัวใจสำคัญที่สุด คือ ต้องค้นหาสาเหตุของความล้มเหลว ทั้งๆ ที่ขยันมากๆ ให้ได้ สาเหตุหนึ่งที่เกิดขึ้นบ่อย คือ ความไม่ยอมแพ้ ความดันทุรัง ซึ่งเกิดกับคนที่มีความมุ่งมั่นในงานที่ต้องทำมาก และถ้าทำงานยังไม่สำเร็จ


เช่น นักเรียน นักศึกษา แก้โจทย์ปัญหายากๆ ยังไม่ได้ ก็ไม่ยอมแพ้ ไม่ยอมหยุดพัก ดึกดื่นเที่ยงคืน หรือจนทะลุสว่าง ถ้ายังทำงานไม่สำเร็จ ก็ไม่ยอมพัก ผลที่เกิดขึ้นจะเป็นความล้าความอ่อนเพลียที่เกิดกับสมองและร่างกาย


วิธีแก้ คือ ต้องรู้จักพัก ต้องรู้ขีดจำกัดของการใช้ร่างกายและสมอง


ทางออกที่ดี คือ เมื่อทำงาน เช่น แก้โจทย์ยากๆ ไม่สำเร็จมาเป็นเวลายาวนาน ก็ควรจะหยุดพักบ้าง หันไปทำอย่างอื่น หรือพักผ่อน แล้วจึงค่อยกลับมาสู้กับปัญหาใหม่


สำหรับคนที่ทำงานอย่างขยันขันแข็งตลอดเวลา แต่ไม่มีผลงานบ่อยๆ สาเหตุคือ ไม่รู้จักการแยกแยะความสำคัญและความจำเป็นเร่งด่วนของงาน และการจัดการเวลา ความขยันเป็นปัจจัยจำเป็นจริงๆ สำหรับความสำเร็จของงานและชีวิต แต่ความสำเร็จจะเกิดขึ้นได้ต้องขยันเป็น !
---------------------------------------------------------------------------------

อ่านแล้ว พอจะสรุปได้ว่า

"ขยันเป็น + สร้างโอกาสให้ตัวเองเป็น = ความก้าวหน้า และความสำเร็จในชีวิต

" แต่ถ้าเพื่อนๆ มีสูตรสำเร็จอื่นใด แนะนำกันบ้างนะคะ... 555+

วันอาทิตย์ที่ 5 กรกฎาคม พ.ศ. 2552

การบินไทย

การบินไทย
ก่อตั้ง
พ.ศ. 2503
ท่าอากาศยานหลัก
ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิท่าอากาศยานดอนเมือง[สิ้นสุดการให้บริการวันที่ 29 มีนาคม พ.ศ. 2552]
ท่าอากาศยานรอง
ท่าอากาศยานนานาชาติเชียงใหม่ท่าอากาศยานนานาชาติภูเก็ต
รายการสะสมแต้ม
รอยัลออร์คิดพลัส
ห้องรับรอง
Royal First LoungeRoyal Silk LoungeRoyal Orchid LoungeRoyal Orchid SPA
พันธมิตรสายการบิน
สตาร์อัลไลแอนซ์
ขนาดฝูงบิน
88 (กำลังสั่งซื้อ 12 รายการ)
จุดหมายปลายทาง
71 (59/12) (ต่างประเทศ/ในประเทศ)
บริษัทแม่
กระทรวงคมนาคม[1]
สำนักงานใหญ่
กรุงเทพ ประเทศไทย
บุคคลหลัก
นายอำพน กิตติอำพล (ประธานกรรมการบริษัท)พล.อ.อ.ณรงค์ศักดิ์ สังขพงศ์ (รักษาการ กรรมการผู้อำนวยการใหญ่)


บริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) (อังกฤษ: Thai Airways International) เป็นสายการบินทั้งภายในและ ระหว่างประเทศ และมีสภาพเป็นกิจการการบินแห่งชาติของประเทศไทย ในปัจจุบัน เริ่มบินเที่ยวแรกวันที่ 1 พฤษภาคม พ.ศ. 2503 การบินไทยเป็นหนึ่งในสมาชิกก่อตั้งของเครือข่ายพันธมิตรสายการบินสตาร์อัลไลแอนซ์ ในประเทศไทยมีฉายาเรียกว่า เจ้าจำปี ซึ่งมีที่มาจากสัญลักษณ์ของการบินไทย การบินไทยได้ระดับความปลอดภัย "A" ซึ่งเป็นระดับที่ปลอดภัยที่สุด วัดจากสถิติสะสมตั้งแต่ พ.ศ. 2513 โดย Air Rankings Online
บริษัทวิจัยในธุรกิจการบินของโลก "สกายแทรกซ์ รีเสิร์ช" เผยผลสำรวจเพื่อจัดอันดับสายการบินแห่งปี 2550 ให้การบินไทยได้รับเลือกให้เป็นสายการบินอับดับ 2 ของโลก ขณะที่ในส่วนของเลานจ์สำหรับผู้โดยสารชั้นหนึ่งของการบินไทย ที่สนามบินสุวรรณภูมินั้น ได้รับการโหวตให้เป็นเลานจ์สำหรับผู้โดยสารชั้นหนึ่งที่ดีที่สุด [2]

วันเสาร์ที่ 4 กรกฎาคม พ.ศ. 2552

Channel Tunnel

แชลแนลเทิลแนว : Channel Tunnel <ติดต่อคมนาคมระหว่างอังกฤษกับฝรั่งเศส>

เป็นอุโมงค์ที่ให้ลอดใต้ ช่องแคบอังกฤษ Channel Tunnel เป็นอุโมงค์ลอดใต้ทะเลที่ยาวที่สุดในโลก คือมีความยาวถึง 49.94 กิโลเมตร อุโมงค์นี้มีทั้งทางวิ่งของรถไฟและรถยนต์ ทำให้การติดต่อคมนาคมระหว่างอังกฤษกับฝรั่งเศส เป็นไปอย่างสะดวกมาก รถไฟที่ใช้วิ่งในอุโมค์นี้ก็เป็นรถไฟด่วนแบบเดียวกับรถไฟด่วน TGV (รถไฟที่เร็วที่สุดในโลกของฝรั่งเศส) มีชื่อว่า ยูโรสตาร์ วิ่งที่ความเร็วเกือบ 280 กิโลเมตรต่อชั่วโมง เมื่ออยู่บนแผ่นดินฝรั่งเศสแต่เมื่อช่วงลอดอุโมงค์และวิ่ง ในอังกฤษจะลดความเร็วลงไปอีกมากด้วยเหตุผลทางด้านกฎเกณฑ์ของอังกฤษ

วันศุกร์ที่ 3 กรกฎาคม พ.ศ. 2552

กำเนิดของเมาส์


เมาส์ถูกประดิษฐ์ขึ้นในปี 1963 โดยดักลัส เองเกลบาท (Douglas Engelbart) ที่สถาบันวิจัยสแตนฟอร์ด (Stanford Research Institute) หลังจากการทดสอบการใช้งานอย่างละเอียด (เมาส์เคยมีอีกชื่อนึงว่า “บัก” (bug) แต่ภายหลังได้รับความนิยมน้อยกว่าคำว่า “เมาส์”) มันเป็นหนึ่งในการทดลองอุปกรณ์ชี้ (Pointing Device) สำหรับ Engelbart's oN-Line System (NLS) ส่วนอุปกรณ์ชี้อื่นออกแบบมาเพื่อการเคลื่อนไหวในร่างกายส่วนอื่น ๆ เช่น อุปกรณ์ที่ใช้ติดกับคางหรือจมูก แต่ท้ายที่สุดแล้วเมาส์ก็ได้รับการคัดเลือกเพราะง่ายต่อการใช้งาน




เมาส์ตัวแรกนั้นเทอะทะ และใช้เฟือง 2 ตัววางในลักษณะตั้งฉากกัน การหมุนของแต่ละเฟืองจะถูกแปลไปเป็นการเคลื่อนที่บนแกนในปริภูมิ 2 มิติ เองเกลบาทได้รับสิทธิบัตรเลขที่ US3541541 ในวันที่ 17 พฤศจิกายน 1970 ชื่อ "X-Y Position Indicator For A Display System" (ตัวระบุตำแหน่ง X-Y สำหรับระบบแสดงผล) ในตอนนั้น เองเกลบาทตั้งใจจะพัฒนาจนสามารถใช้เมาส์ได้ด้วยมือเดียว
เมาส์แบบต่อมาถูกประดิษฐ์ในช่วงต้นทศวรรษที่ 1970 โดย บิล อิงลิช (Bill English) ที่ศูนย์วิจัยของบริษัท ซีรอกส์ (Xerox PARC) โดยแทนที่ล้อหมุนด้วยลูกบอลซึ่งสามารถหมุนไปได้ทุกทิศทาง การเคลื่อนไหวของลูกบอลจะถูกตรวจจับโดยล้อเล็ก ๆ ภายในอีกทีหนึ่ง เมาส์ชนิดนี้คล้าย ๆ กับแทร็กบอล และนิยมใช้กับคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลตลอดทศวรรษที่ 1980 และ 1990 ทำให้การใช้เมาส์และคีย์บอร์ดในเวลาเดียวกันสามารถเป็นจริงได้




เมาส์ในปัจจุบันได้รับรูปแบบมาจาก École polytechnique fédérale de Lausanne (EPFL) ภายใต้แรงบันดาลใจของ ศาสตราจารย์ Jean-Daniel Nicoud ร่วมกับวิศวกรและช่างนาฬิกาชื่อ André Guignard ซึ่งการดำเนินงานครั้งนี้ทำให้เกิดบริษัท โลจิเทค (Logitech) ผลิตเมาส์ที่ได้รับความนิยมสูงเป็นยี่ห้อแรก

วันพุธที่ 1 กรกฎาคม พ.ศ. 2552

จัดการกับความเครียด



1.คิดเชิงบวก และมีอารมณ์ขัน ฝึกตัวเองให้คิดและมองโลกในแง่ดี เชื่อว่าปัญหาทุกอย่างมีทางแก้ไข เปิดใจให้กว้างยอมรับความคิดเห็นของคนอื่น ยอมรับว่าคนเราย่อมผิดพลาดได้และความผิดพลาดคือประสบการณ์ที่ดีที่ทำให้เราได้เรียนรู้และพัฒนาตัวเอง มองแต่ข้อดีของเขาและฝึกการให้อภัย จะทำให้เราสบายใจ


2. ขอคำปรึกษา พูดคุยระบายกับคนที่เราไว้วางใจเช่น แฟน เพื่อน พ่อแม่ เจ้านายหรือโทร ปรึกษาสายด่วนสุขภาพ 1667,1323 ของกรมสุขภาพจิต


3.ออกกำลังกาย นี่เป็นวิธีคลายเครียดที่ได้ผลดีและเป็นที่นิยมเพราะการออกกำลังกายทำให้ ร่างกายหลั่งสารแห่งความสุขและกล้ามเนื้อผ่อนคลาย การออกกำลังกายต้องเลือกให้เหมาะกับตัวเองเช่น เดิน วิ่ง เต้นแอโรบิค โยคะ รำกระบอง เล่นฟุตบอลฯ เป็นต้น


4. ทำกิจกรรมที่ชอบ เช่นฟังเพลง อ่านหนังสือ /หนังสือธรรมมะ สปานวดตัว อาบน้ำอุ่นๆ ท่องเที่ยว ปลูกต้นไม้ หรือทำกิจกรรมที่เราชอบอะไรก็ได้ที่ทำแล้วรู้สึกผ่อนคลายหากว่าทดลองทำมาหลายวิธีแล้วยังไม่หายเครียด หรือเครียดเพิ่มขึ้นให้รีบมาพบแพทย์หรือผู้เชียวชาญเฉพาะด้านอย่าง เช่น โรงพยาบาลจิตเวชนครสวรรค์ราชนครินทร์ คลีนิกคลายเครียด เป็นต้น