วันอาทิตย์ที่ 29 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

Baden


Baden is a historical state on the east bank of the Rhine River in the southwest of Germany, now the western part of the Baden-Württemberg (state) of Germany.[1]
It came into existence in the 12th century as the Margraviate of Baden and subsequently split into different lines, which were unified in 1771. It became the much-enlarged[1] Grand Duchy of Baden through the dissolution of the Holy Roman Empire in 1803–06 and remained a sovereign country until it joined the German Empire in 1871, remaining a Grand Duchy until 1918 when it became part of the Weimar Republic as the Republic of Baden. Baden was bounded to the north by the Kingdom of Bavaria and the Grand Duchy of Hessen-Darmstadt; to the west[1] and practically throughout its whole length by the River Rhine, which separated it from the Bavarian Rhenish Palatinate and Alsace in modern France ; to the south by Switzerland, and to the east by the Kingdom of Württemberg, the Principality of Hohenzollern-Sigmaringen and partly by Bavaria.
After World War II in 1945, the French military government created the state of Baden (originally known as "South Baden") out of the southern half of the former Baden, with Freiburg as capital. This southern half of Baden was declared in its 1947 constitution to be the true successor of the old Baden. The northern half of the old Baden was combined with northern Württemberg as part of the American military zone and formed the state of Württemberg-Baden. Both states became states of West Germany upon its formation in 1949.
In 1952 Baden merged with Württemberg-Baden and Württemberg-Hohenzollern (southern Württemberg and the former Prussian exclave of Hohenzollern) to form Baden-Württemberg. This is the only merger of states that has taken place in the history of the Federal Republic of Germany.
The anthem of Baden is called "Badnerlied" (English: Song of the people of Baden) and consists of usually four or five traditional verses. However, over the years, many more verses have been added - there are collections with up to 591 verses of the anthem.

ใครอยากไปสวิตเซอร์แลนด์ยกมือขึ้น [[6]]

Baden วันนี้เป็นวันเสาร์ ที่ Baden มีตลาดคล้ายตลาดนัดบ้านเรา เขาปิดถนนแล้วก็มีของออกมาวางขายเต็มไปหมด เดินแล้วได้บรรยากาศตลาด..

ดอกไม้ และต้นไม้ มีเยอะมากเลย สวยๆ ทั้งนั้น คนสวิสเขาชอบปลูกต้นไม้กันนะ ทุกบ้าน ทุกมุม ทำให้รู้สึกสดชื่นมากเวลาเดินชมบ้านชมเมืองของเขาน่ะ แล้วเขายังนิยมให้เป็นของขวัญกันด้วย

ศิลปิน ศิลปินก็ออกมาวาดรูประบายสีให้เราดู ที่เห็นเป็นภาพที่ร่างเป็นลายเส้นมาแล้ว ภาพใหญ่มากเขาเอาพลาสติดหุ้มไว้และเจะเป็นช่องเล็กๆ เฉพาะที่จะระบาย เขาลงรายละเอียดได้งดงามมาก ขนาดขนสุนัขจิ้งจอกยังเห็นเป็นเส้นขนเหมือนจริงมาก ถ้าใครจะให้กำลังใจก็ให้ตั้งค์เขาได้ จะมีกล่องและป้ายเขียนว่า "Danke" (ขอบคุณ)

อยากให้มองถุงใส่ของซักกะหน่อยค่ะ ส่วนใหญ่จะเป็นถุงกระดาษ หรือไม่ก็เป็นกระเป๋าไปเลย น้อยมากที่จะเป็นถุงพลาสติก เลย


บ้านพักของพวกเราที่ Baden ตึกนี้มี 8 ครอบครัว พวกเราพักที่ชั้น 4 ....เห็นทีตะต้องอำลากันเสียทีละเด้อ..ค่ะ 6 วันในสวิตเซอร์แลนด์ กับอีก 1 วันสำหรับการเดินทาง เป็นสัปดาห์ที่ต้องจดจำไว้ การเดินทางให้อะไรมากกว่าที่เราคิด นอกจากจะได้มาเห็นและสัมผัสกับความเป็นอยู่ที่แตกต่างออกไป ยังได้มุมมองที่กว้างขวางขึ้น ทำไมบ้านเขาอยู่กันแบบนี้ แล้วบ้านเราอยู่กันแบบนั้น แต่สุดท้ายถ้าให้เลือกว่าอยากอยู่ที่ไหน ก็ต้องขอตอบว่า "สำหรับฉัน เมืองไทยอบอุ่นที่สุด เพียงแต่พวกเราต้องช่วยกันทำให้มันน่าอยู่ให้มากขึ้น"เหมือน บ้าน ก็คือ "บ้าน" เราทุกคนรักบ้าน เพราะมันมีความรักและอบอุ่น แต่เราก็ต้องทำให้มันสะอาด..และสบายกายด้วย


จบแล้วคะบทความที่นำมาให้อ่านกันดู
ก็สำหรับดิฉันก็ว่าสนุกนะคะมีแรงกระตุ้นใจให้เราอยากทำอะไรมากขึ้นก็ต้องขอขอบคุณhttp://www.maemodpuk.4t.com/story/swiss6/swiss6.html

ที่นำมาเล่าและดิฉันก็นำมาให้เพื่อนๆหรือคุณผู้อ่านที่ยังไม่ทราบกันก็น่าจะรู้กันบ้างแล้วนะคะ
อืมใครที่เรียนก็ยากให้ตั้งใจเรียนกันต่อไปเรียนเสร็จแล้วเก็บเงินเราคงได้ไปในที่เราอยากไป

(((โอ้ววว ปารีส ส~)))

555+

อืมไปทำการบ้านต่อแล้วนะคะ
อิอิ

ใครอยากไปสวิตเซอร์แลนด์ยกมือขึ้น [[5]]

บรรยากาศช่วงเช้าของ Interaken ตื่นนอนแต่เช้าตรู่เพื่อขึ้นไปดูหิมะที่ Jungfraujoch และนี่เป็นบรรยากาศช่วงเช้าของ Interaken ที่นี่เป็นจุดที่จะขึ้นรถไฟไต่ภูเขา อากาศค่อนข้างหนาว ที่เห็นบริเวณป้ายรถเมล์ หรือสถานีรถไฟ มักจะมีห้องหรือฉากกั้นแบบที่เห็น ให้คนรอรถเข้าไปนั่งเพราะถ้าหน้าหนาวและมีลมพัดด้วยก็จะหนาวมากเขาเลยทำที่กั้นไว้จะได้ป้องกันความหนาวเย็นได้ส่วนหนึ่ง พวกเราพยายามมีของติดตัวไปน้อยที่สุด เพราะต้องการประหยัดพลังงานในการเดินทาง เนื่องจากข้างบนนั้นมีอากาศให้เราหายใจน้อย ที่นี่มีตู้รับฝากของด้วย เขาทำเป็นตู้ Locker เราเอาของใส่ไว้แล้วก็หยอดเหรียญ 2 Fr., 4Fr., หรือ 6Fr. ตามขนาดของตู้ แล้วก็ปิดกุญแจ ของในตู้ก็จะอยู่อย่างปลอดภัยรอเรามาไขกุญแจเปิดเอาของออก แต่ถ้าลืมของหรือต้องการเปิดตู้ นั่นหมายความว่าเวลาปิดกุญแจอีกครั้งก็ต้องหยอดเหรียญใหม่ค่ะ

จุดเปลี่ยนรถ เราเดินทางมาด้วยรถไฟคันสีเหลือง และมาเปลี่ยนเป็นรถไฟสีแดงที่นี่เลยได้โอกาสเก็บภาพบรรยากาศมาอวด รอบๆ ข้างเริ่มเห็นเป็นสีขาวสลับกับสีเขียวของต้นไม้บนภูเขา จากจุดนี้เราต้องเดินทางด้วยรถไฟสีแดงเพื่อที่จะไต่เขาขึ้นสู่ยอดที่สูงที่สุดของยุโรป และถ้าสังเกตให้ดีรางรถไฟจะมีลักษณะเป็นฟันเฟืองอย่างที่เห็นนี่แหละ

JUNGFRAUJOCHTop of Europe อยู่บนเทือกเขา Elp ความสูง 3454 เมตร หรือ 11,333 ฟุต เหนือระดับน้ำทะเล ที่นี่จะมีหิมะให้ชมได้ตลอดทั้งปี วันที่เราขึ้นไปอุณหภูมิประมาณ -1.60 องศาเซลเซียส ที่นี่เป็นพิพิธภัณฑ์รูปทรงอย่างที่เห็นในรูปเล็ก ฝรั่งนี่ก็ช่างอุตสาหะเสียจริงๆ เห็นแล้วต้องทึ่งในความพยายามและความสามารถ แต่ก็คุ้มเพราะปีหนึ่งๆ ที่นี่นำรายได้เข้าประเทศสวิตเซอร์แลนได้มากทีเีดียว JUNGFRAUJOCH มีความหมายว่า ผู้หญิงสาวบริสุทธิ์

จุดที่ให้นักท่องเที่ยวได้สัมผัสกับหิมะ เป็นลานกว้างพอประมาณ มองไปรอบๆ เห็นแต่ภูเขาที่ปกคลุมไปด้วยหิมะสีขาวโพลน ถูกแสงแดดส่องสะท้อนเข้าตาเล่นเอาแสบตา และมึนศีรษะทีเดียว วันนี้พวกเราโชคดีที่ท้องฟ้าเปิด เพราะถ้าฝนตกอย่างกับเมื่อ 2 วันก่อนนี้เราคงไม่ได้เห็นอะไรไกลมาก เพราะหมอกจะเยอะมาก แต่วันนี้เราเห็นได้ไกลสุดลูกหูลูกตาเลยทีเดียว แถมเรายังเห็นว่าก้อนเมฆลอยอยู่ต่ำกว่าจุดที่เรายืนอยู่เสียอีก (นี่แหละที่มาของคำว่า "มาเหนือเมฆ") เท้าของเราย่ำลงบนหิมะสีขาว ด้วยน้ำหนักตัวที่ไม่น้อยทำให้เท้าของเราจมหายลงไปในหิมะครึ่งน่อง หัวใจตกไปอยู่ที่ตาตุ่ม (ลงไปแช่แข็ง) เพราะเกรงว่าบางจุดอาจจะจมมากกว่านี้หรือมันจะกลืนเราลงไปได้ทั้งตัว.... คิดแล้วยิ่งหนาว...หนาว...หนาว... แต่ก็ยังก้าวต่อไป เพราะจุดหมายของเราก็คือ ธงชาติสวิต ที่ปักไว้ให้เรามาถ่ายรูปเป็นที่ระลึกพวกเราก็ไม่พลาด


รสชาติมันเป็นยังงัยนะ... ลองหยิบหิมะขึ้นมาก้อนหนึ่งใส่ปากชิมดู ก็ไม่ได้ต่างจากน้ำแข็งเกร็ดหิมะที่ราดด้วยน้ำแดงกับนมข้นหวาน เพียงแต่ว่าคราวนี้มันจืดๆ เราใช้เวลาอยู่กับหิมะไม่นานเพราะทนความหนาวไม่ไหว และเท้าที่จมลงไปในหิมะตอนนี้ก็มีเกร็ดน้ำแข็งเกาะเต็มไปหมด (ใส่รองเท้าแบบไม่ได้หุ้มเท้าทั้งหมด) คงเป็นเพราะเท้าเราอุ่นมั้ง หิมะพวกนี้ก็คงจะแสวงหาความอบอุ่นอยู่เหมือนกัน ส่วนเท้าของเราตอนนี้มันเริ่มชาแล้ว คุณมดพาเราไปห้องน้ำแล้วก็ใช้ผ้าที่เตรียมมาชุบน้ำอุ่นมาเช็ดเท้า... ฮ้า...รู้สึกสบายขึ้นนี่ก็เป็นอีกจุดหนึ่งที่เราได้สัมผัสกับบรรยากาศรอบๆ ที่รายล้อมไปด้วยภูเขาน้ำแข็ง ที่นี่ก็อุณหภูมิ -1.60 องศาเซลเซียส เหมือนกัน แต่ฝรั่งพวกนี้หัวใจไม่แข็ง เพราะมีสาวๆ มาคอยเป็นตากล้อง ส่งเสียงร้องวี๊ดว้ายกันใหญ่เมื่อเห็นหนุ่มๆ เปลือยอกท่ามกลางภูเขาน้ำแข็ง เราเลยไม่พลาดเหมือนกัน... ขอเก็บเอามากรี๊ด บ้างนะ

หมากรุกฝรั่ง ที่นี่ก็เป็นที่รวมของคนชอบเล่นหมากรุก แบบสภากาแฟของบ้านเรา สำหรับเป็นที่ชุมนุมชน พูดคุย พบปะสังสรรค์ แต่ที่แปลกเสียหน่อยก็คือหมากรุกตัวใหญ่มาก เขาเล่นกันหลายกลุ่มมีทั้งกลุ่มวัยสูงอายุ จนกระทั่งกลุ่มเด็กวัยรุ่นก็มี


เครดิต http://www.maemodpuk.4t.com/story/swiss5/swiss5.html ที่ให้ข้อมูลในการค้นคว้าค่ะสนุกดีนะคะ ^^ ขอขบอบคุณคะ

ใครอยากไปสวิตเซอร์แลนด์ยกมือขึ้น [[4]]

มาต่อกันนะคะตอนที่สี่ค่ะ^^

LUZERN ที่นี่เป็นเมืองท่องเที่ยว เมืองเศรฐกิจ และเมืองประวัติศาสตร์ ที่แรกที่เราเข้าถึงคือ สะพานไม้ Luzern เป็นสะพานไม้เก่าแก่ที่อนุรักษ์ไว้ ใครไปใครมาต้องไม่พลาดที่จะแวะมาเยี่ยมชมและเดินข้ามซะ จะได้ชื่อว่ามาถึงแล้ววันนี้ฝนตกปรอยๆ ทั้งวัน จะเห็นฝรั่งเดินถือร่ม แต่พวกเราถือกล้อง เสื้อกันหนาว แล้วก็เป้ ความจริงถ้าอยู่เมืองไทยเดินตากฝนแบบนี้คงมีคนว่าเราสติไม่ดี เพราะนอนจากจะเปียกแล้วอุณหภูมิยังต่ำอีกตางหาก ทั้งฝนทั้งหนาวมันเข้าถึงกระดูกเชียวนา แต่ว่าเราก็เดินกันตลอดเลยรู้สึกว่าความหนาวมันลดลง



Dead Lion นี่ก็เป็นอีกที่หนึ่งที่นักท่องเที่ยวไม่ควรพลาด เป็นอนุสรณ์ให้ระลึกถึงความเด็ดเดี่ยว ความกล้าหาญ ความซื่อสัตย์ในหน้าที่ของทหารสวิส ตามท้องเรื่องซึ่งเป็นประวัติอย่างย่อๆ ว่าในสมัยพระเจ้าหลุยที่ 16 ของฝรั่งเศษ ประชาชนของฝรั่งเศษไม่ชอบพระเจ้าหลุยที่ 16 และต้องการล้มบัลลังก์เสีย ซึ่งทหารสวิสที่ไปเป็นทหารของฝรั่งเศษในช่วงนั้น จำนวน 1000 นาย ได้ต่อสู้ปกป้องพระเจ้าหลุยที่ 16 ทั้งๆ ที่รู้ว่าสู้ไม่ได้และต้องแพ้อย่างแน่นอน สุดท้ายก็ตายในหน้าที่ บ้านเราก็มีนะ อย่างสมัยที่พระเจ้าตากสินมหาราชสั่งให้ทหารทุบหม้อข้าวงัย


HERGISWILL "พิพิธภัณฑ์ Glasi" ที่นี่เป็นโรงงานผลิคเครื่องแก้วที่ยังใช้แรงงานคนทำอยู่ เขาเอาทรายซิลิกาไปหลอมแล้วนำมาขึ้นรูปโดยใช้ที่ปั๊ม หรือถ้าเป็นจำพวกขวดก็ใช้วิธีเป่า ไปยืนดูเขาทำอยู่พักหนึ่งมันร้อนหน้าดูเพราะอยู่กับหน้าเตาหลอม คนงานแต่ละคนท่าจะเป็นช่างฝีมือเก่าแก่ (พิจารณาตามอายุ) แต่ไกด์ของเราเล่าว่าคนงานที่เห็นเป็นฝรั่งไม่ใช่คนสวิต เป็นคนงานที่มาจากประเทศอื่นๆ


ล่อทะเลสาบ Brienz คืนนี้เราจะไปพักที่ Interlaken ต้องเดินทางโดยนั้งเรือข้ามทะเลสาบ Brienz เรื่อเป็นเรือ 2 ชั้น ชั้นบนเป็นที่นั่งสามารถชมบรรยากาศรอบข้างที่สวยงาม อย่างในรูปน้ำใสมากๆ อากาศเย็นซึ่ง 2 ฝั่งแม่น้ำก็บ้านเรือนและทิวทัศน์ ที่เห็นนี่ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าหนาวแค่ไหน หิมะกำลังละลาย แต่ก็ได้สูดอากาศบริสุทธิ์เต็มปอด ถ้าหนาวมากก็ลงไปนั่งชั้นล่างเป็นห้องกระจกให้ชมวิวได้เหมือนกัน และก็มีบริการอาหารหรือเครื่องดื่มไว้บริการด้วยถ้าต้องการ


INTERLAKEN ที่นี่เป็นเมืองเศรฐกิจเหมือนกัน มีแหล่งช๊อปปิง และซื้อของฝาก เพราะเป็นทางผ่านที่จะไป Jungfraujoch บรรยากาศตอนกลางคืน ใกล้กับที่พัก คืนนี้เรานอนแบบ Backpack service hotel เพิ่งรู้ว่ามีที่พักแบบนี้ด้วยสำหรับนักท่องเที่ยวที่รักการเที่ยว แต่จ่ายถูกกว่าโรงแรมทั่วไปบริการก็มีห้องนอน ห้องเล็กๆ มีเตียง 2 ชั้น 2 เตียง ก็นอนได้ 4 คน คิดค่าที่พักเป็นต่อคน (ห้องนอน 2 คนก็มี) ห้องน้ำรวม ถ้ามาคนเดียวก็นอนรวมกะคนอื่น แต่ถ้าอยากนอนเป็นส่วนตัวก็จ่ายค่าเตียงที่เหลือด้วย



Shopping ที่ Luzern และ Interlaken ตัวอย่างสินค้า และการจัดแต่งร้าน นาฟิกาที่ขึ้นชื่อของสวิสต้องมาช๊อปกันที่นี่ มีตั้งแต่ราคาย่อมเยาว์จนราคาเป๋าแตก แต่ซื้อแล้วไม่ผิดหวังแน่เพราะจะได้ของแท้ คุณภาพดี เหมาะสำหรับเป็นของฝากที่ถูกใจผู้รับอย่างแน่นอน มีดพก และของมีคม อย่าง "Victorinox" ก็เหมาะที่จะเป็นของฝากเพราะเขาล่ำลื่อกันว่าคุณภาพดีนักแล นอกจากนี้ยังมีของฝากอื่นๆ ที่น่าสนใจโดยเฉพาะของที่ระลึก มักจะเป็นกระพรวนผูกคอวัว แต่ของทุกอย่างต้องมีสัญญลักษณ์เป็นรูปธงชาติสวิส กากบาทสีแดง
เย็นนี้ได้กินข้าวในร้านอาหารจีนที่ Interlaken มีต้มยำกุ้ง ผักกะเพรากุ้ง แกงเขียวหวาน รสชาติจีดๆ แต่ก็รู้สึกดีที่ได้กิน...ข้าว อาหารจานละประมาณ 25 Fr. (1 Fr.= 30+ บาท)


เครดิตขอขอบคุณhttp://www.maemodpuk.4t.com/story/swiss4/swiss4.html นะคะที่ให้ข้อมูลเพื่อที่จะได้ทราบว่าไปเที่ยวนั้นเป็นอย่างไรค่ะ

ใครอยากไปสวิตเซอร์แลนด์ยกมือขึ้น [[3]]

เรื่องราวของคนที่ไปมาเอามาให้อ่านกันนะคะต่อค่ะ

APPENZELL เป็นอีกเมืองหนึ่งที่มีงานศิลปะวาดอยู่ตามฝาผนังบ้าน ร้านค้า คล้ายกับที่ STEIN AM RHEIN แต่จะแตกต่างกันที่งานของที่นี่จะเป็นรูปแบบน่ารักๆ เช่น ดอกไม้ หรือลายตุ๊กตา เน้นความน่ารักและเรียบง่ายมากกว่า ที่นี่เป็นแหล่งช๊อปปิ้งอีกที่หนึ่ง มีสินค้าประเภท ขนม งานศิลปะ ตุ๊กตา ร้านกาแฟ เสื้อผ้าก็มี พวกเราก็ทำเหมือนเดิม..ช๊อปด้วยสายตา ความทรงจำ และกล้องถ่ายรูป

รูปปั้นแบบนี้..มีให้เห็นเยอะ (ซ้าย) แต่รูปนี้มีความหมายค่ะ ถ้ามองจากตรงจุดที่ยืน Action อยู่นี่จะเห็นเป็นลานกว้าง ชาวเมืองเขาใช้เป็นลานสำหรับประชุมปรึกษาหารือกัน แล้วก็มีการลงคะแนนเสียงโดยการยกมือ อ๊ะ..อ๊ะ..ประชาธิปไตยเต็มขั้น (ขวา) ไม่รู้ความหมายหรอกค่ะ แต่ก็จะเห็นมีน้ำพูทุกอัน และอันนี้ก็เอาไว้ให้รถวิ่งรอบ..มั้ง แถมมีนักท่องเที่ยวผมดำๆ มาประดับรูปให้ดูเก๋ขึ้นอีกเยอะ

วันนี้พวกเราช้าไป 1 ชม. เนื่องจากไกด์ไม่รู้เส้นทาง... ไม่ใช่..ไม่ใช่..เนื่องจากพวกเรามัวแต่ชมวิวทิวทัศน์ข้างทางกันจนเพลิน ชมเมืองไป ถ่ายรูปไป วาดรูปไป คุยกันไป ฯลฯ ทำให้เรานั่งรถไฟเลยไปจนสุดสาย รถจอดสนิทแล้วยังไม่ยอมลงขอชมวิวต่อจนคนขับรถไฟเดินมาบอกว่า "ลงได้แล้ว"

ที่นี่ WASSERAUEN เป็นชนบท มีแม่น้ำไหลผ่าน อยู่ติดภูเขาซึ่งบนนั้นก็มีหิมะสีขาวสะอาดที่กำลังละลายให้เห็นเป็นหย่อมๆ คนชนบท ส่วนใหญ่มีอาชีพเกษตรกรรม บ้านเขามีเครื่องทุ่นแรงในการทำเกษตรเยอะ เช่น เครื่องหว่าน เครื่องตัดหญ้า เครื่องพรวนดิน เครื่องเก็บผลผลิต สะดวกจัง.. ที่สวิส..คนของเขาสามารถตัดต้นไม้ในป่าเอาไปใช้ประโยชน์ได้ แต่ตัดแล้วต้องปลูกคืน 5 ต้น ป่าบ้านเขาจึงยังคงแน่นไปด้วยต้นไม้...


บ้านของเกษตรกรมักมีโรงนาอยู่หลังบ้าน ซึ่งคล้ายยุ้งฉางบ้านเรา หลังเล็กๆ เอาไว้เก็บผลผลิตและฟืนซึ่งต้องเก็บสะสมไว้ใช้ในหน้าหนาวเพื่อให้ความอบอุ่นภาพวาดเมือง WASSERAUENออกนอกเส้นทางเสียบ้าง ชีวิตมีรสชาติขึ้นอีกเยอะ..พวกเราต้องขี้นรถไฟย้อนกลับไปซึ่งทำให้เสียเวลาไป 1 ชม. แต่ได้ชมสวิสเพิ่มขึ้นอีก 1 ที่ เห็นไหมไม่เคยเสียอะไรไปเปล่าๆ และก็ไม่เคยได้อะไรมาฟรีๆ อีกต่างหาก (win-win)

ST.GALLEN ที่นี่เป็นศูนย์รวมทางศาสนาคริสต์ ทั้งนิกายคาทอริค และโปรแตสแตน โบสถ์แห่งนี้เป็นมรดกโลก ใหญ่และสวยงามมาก (บรรยายไม่ถูกเลย..ดูรูปเอาแล้วกันนะ) (รูปขวา) ด้านนอกโบสถ์แห่งนี้ซึ่งสวยงามไม่แพ้ด้านใน


SAENTIS PARK หลังจากที่เดินเมื่อยมา 2-3 วัน ได้มาแช่น้ำอุ่นที่ SAENTIS PARK ทำให้รู้สึกสบายขึ้นเยอะ ที่นี่เป็นสวนน้ำในห้างสรรพสินค้า มีบ่อน้ำพุร้อนให้นั่งแช่ นอนแช่, สระว่ายน้ำ (อุ่น) จุดนี้จะมีที่ให้นอนแช่ในน้ำแล้วมีรูพ่นอากาศออกมาตามจุดต่างๆ เช่น คอ แขน ขา เหมือนให้น้ำมานวดตัวเราอย่างงั้นเลย มีช่วงน้ำวน น้ำพุ, อีกจุดหนึ่งเป็นสระน้ำเย็น เวลาเล่นน้ำถ้าได้ยินเสียงนกหวีดเป่า..ปี๊ด...จะมีคลื่นยักษ์ให้เล่นคลื่นกันสักพักประมาณ 15 นาที มีห่วงยางให้เล่นฟรี แต่ห่วงยางเมืองฝรั่งนี่ทำไมมันห่วงโตจัง กอดไม่รอบเลย มี Spa ด้วยละ เขาแยกห้องชาย-หญิง และห้องรวม พวกเราเลือกเข้าห้องหญิง พอเดินเข้าไปต้องตกกะใจ ตะลึกกับภาพที่ได้พบเห็น ในห้องนี้เขาไม่ใส่เสื้อผ้ากัน มีแต่พวกเรา 3 คน เท่านั้นที่ใส่ชุดว่ายน้ำ ก็รู้สึกแปลกๆ แต่ที่จริงเราตางหากที่แปลก ถูกเขามองด้วยสายตา...ที่บรรยายไม่ถูก... เดินออกมาดีกว่า
เย็นนี้เรากินอาหารที่ร้านอาหารแบบแขกๆ ไกด์ของเราบอกว่าราคาไม่แพง เดี๋ยวรู้..เดี๋ยวรู้.. จัดร้านเหมือนแขก หรือจีน เนี่ยแยกไม่ค่อยออก เอาเป็นว่าพูดถึงอาหารเลยแล้วกันเห็นข้าวผัดรวมมิตรแล้วอยากกิน แต่เราเลือก เส้นผัด เขาถามว่าราดแกงไหม? เราเห็นคนที่เขาสั่งก่อนหน้าเราสั่งราดแกงด้วยก็เลยเป็นขุนพลอยพยัก คนขายบอกว่า เส้นผัดราคา 14 Fr. แต่ราดแกงด้วยราคาจึงเปลี่ยนเป็น 18 Fr. (1 Fr. = 30+ บาท) ตักอาหารให้เยอะมากถ้าอยู่บ้านเราก็เท่ากับ 2 จานเลยทีเดียว เกือบกินไม่หมดแต่พอคิดถึงราคาแล้วก็ต้องเก็บใส่ท้องไปให้หมดเราซื้ออาหารเขาให้แต่ซ่อมกับกระดาษทิชชู 1 แผ่น เราจึงร้องขอ Spoon และแล้วก็ได้อาวุธที่ถนัดที่สุด คนฝรั่งเขาไม่ใช้ช้อนตักอาหารจะใช้ในกรณีตักซุป ...เห็นฝรั่งใช้ซ่อมตักข้าวใส่ปากแต่ก็ต้องคอยเอามืออีกข้างหนึ่งเขี่ยข้าวด้วย ...นี่ถ้าใช้ช้อนซ่อมซะก็หมดเรื่อง

และขอบคุณhttp://www.maemodpuk.4t.com/story/swiss3/swiss4.htmlที่ให้ข้อมูลนะคะ ^^

ใครอยากไปสวิตเซอร์แลนด์ยกมือขึ้น [[2]]

ค่ะก็นำมาต่อกันตอนที่สองมาอ่านกันต่อนะคะก็สนุกดีเหมือนกันค่ะ

เดินจนกระหายน้ำ หยิบขวดน้ำจากเป้ที่แบกติดตัวมาด้วย เล่าอย่างไม่อายพกมาจากเมืองไทยเลยเชียวนะ เพราะพี่ที่เขาเคยมาเที่ยวเล่าให้ฟังว่า ไปซื้อน้ำเปล่าสำหรับดื่ม บอกคนขายว่า Drinking water คนขายก็ไม่เข้าใจ ก็ส่งภาษากลาง (ภาษามือ) กว่าฝรั่งจะถึงบางอ้อ "Tap water" แปลเป็นไทยว่า "น้ำก๊อก" เลยแนะนำให้เราเอาขวดน้ำติดตัวไปด้วยแล้วเวลาน้ำหมดก็เปิดก๊อกเติมให้เต็ม แค่นี้ก็อุ่นใจ (ระหว่างการเดินทางก็หาน้ำได้จากก๊อกน้ำในห้องน้ำนี่เอง) แต่ยังมีเทคนิคอีกเล็กน้อยค่ะ ไกด์ของเราแนะนำว่า เวลาเอาน้ำก๊อกมาดื่มให้เปิดก๊อกน้ำเย็นจนเย็นจัด แล้วจึงจะใช้ดื่มได้ (โดยปกติแล้วที่นี่จะมีก็อกน้ำร้อนและน้ำเย็น) ถ้าเราเปิดน้ำแบบไม่เย็นจัดน้ำร้อนที่ปะปนมาจะเป็นน้ำที่ไม่สะอาดเพราะผ่านการต้มจากหม้อต้มหรือเครื่องทำความร้อนมักจะมีตะกรัน แต่ก็ดื่มไม่สนิทใจหรอกคิดถึงน้ำ RO ที่บ้านจัง น้ำดื่ม 300 cc. ขวดละ 3.5 Fr น้ำส้ม 500 cc. ขวดละ 2.6 Fr นม 250 cc. ขวดละ 2.8 Fr 1 Fr = 30 บาทกว่าๆ (จำได้เปล่า?)

ปราสาท MUNOTเป็นปราสาทเก่าแก่ ไกด์ของเราเล่าว่าสมัยก่อนเขาใช้เป็นป้อมปราการ จะสังเกตเห็นว่าบนหอจะมีช่องเล็กๆ เยอะมาก คงไว้ใช้แอบดูข้าศึกหรืออะไรประมาณนี้มั้ง ปัจจุบันเขามักใช้พื้นที่บนปราสาทซึ่งเป็นลานกว้างจัดคอนเสิร์ท หรือจัดงานต่างๆ


นั่งเรือล่องแม่น้ำไรน์ แม่น้ำไรน์ใสมากๆ และรู้สึกว่าจะเย็นมากๆ ด้วย เป็นแม่น้ำสายสำคัญในยุโรปเลยทีเดียว สะพานที่เห็นเป็นสะพานเชื่อมระหว่างประเทศสวิตเซอร์แลนด์กับประเทศเยอรมัน ฝั่งซ้ายมือเป็นเยอรมัน ขวามือเป็นสวิส บรรยากาศ 2 ฝากแม่น้ำไม่แตกต่างกัน จะมีแตกต่างกันก็คือ "ธงชาติ"


RHEINFALLเป็นน้ำตกที่สวยงาม ใหญ่ และที่น่าสนใจคือเกาะตรงกลางน้ำ 2 ก้อนที่เห็นนั่น ฝรั่งเขาไปสร้างจุดชมวิวไว้บนนั้น นั่งเรื่อข้ามมาตามลูกศร เวลานั่งก็ไม่ได้มองว่ามันน่ากลัว แต่พอมายืนอยู่ตรงกลางน้ำตกนี่ซี่ เห็นเรือขับไป-มาอยู่กลางน้ำตกที่เชี่ยวกราด เรือแกว่งไปมาน่ากลัว แต่คนขับเรื่อเขาก็ทำหน้าตาเฉยๆ แบบว่าคงผ่านร่องน้ำตกนี้มาเป็นพันๆ หมื่นๆ เชี่ยวแล้วละ ตอนที่เขากลับมารับพวกเรามีนักเรียนมาทัศนศึกษากันเต็มลำเรือ ตอนที่เรือเหวี่ยวไปเหวี่ยวมายังได้ยินเสียงกรีดเป็นระยะๆ คิดถึงสวนสยาม


ขอขอบคุณข้อมูล http://www.maemodpuk.4t.com/story/swiss2/swiss2.html นะคะ^^

ใครอยากไปสวิตเซอร์แลนด์ยกมือขึ้น[[1]]

วันนี้ก็จะหาคนที่มีประสบการณ์ที่เคยไปแล้วมาให้ดูกันเพื่อจะได้ทริปเล็กๆน้อยๆ ^55^

ลองอ่านดูนะคะ

อืม ดิฉันอ่านดูแล้วก็มีแรงกระตุ้นใจนะคะ อิอิ อ่านแล้วก็สนุกด้วย^[o]^


วันที่ 31 อันยาวนาน เคยอยากให้ 1 วันมีมากกว่า 24 ชั่วโมง แต่ก็เป็นไปไม่ได้ แต่คราวนี้เหมือนฝัน วันที่ 31 ก.ค. 47 มี 29 ชม. จริงๆ ยกนาฬิกาข้อมือขึ้นมาดูตอนนี้เวลา 17.30 น. แต่เราต้องหมุนเข็มนาฬิกาใหม่ให้ชี้ที่เลข 12.30 น. ตอนเดินมาถึงสถานีรถถไฟ อ่านป้ายต่างๆ ไม่ค่อยออกเลย เพราะไม่คุ้นเคย ตอนแรกคิดว่าเป็นภาษาอังกฤษ แต่ที่จริงเป็นภาษาเยอรมัน และคนที่นี่ยังใช้ภาษาฝรั่งเศษ อิตตาลี อังกฤษ อีกด้วย แบบว่าอยู่ใกล้ประเทศอะไรก็ใช้ภาษานั้นวันที่ 1 มิ.ย. จะเป็นวันแรกของปีที่เข้าหน้าร้อน แต่อากาศยังกับหน้าหนาวบ้านเรา 15 องศาเซลเซียล สถานทรงสูงแบบนี้ มีนาฬิกาทุกยอด นี่แหละถึงแล้วของจริงเมืองแห่งนาฬิกา ไม่ต้องเดาเลยว่านี่คือโบสถ์ มีให้เห็นเป็นระยะๆ

Zurich เป็นเมืองเศรษฐกิจ เราเหยียบแผ่นดินสวิสกันที่นี่เอง ถนนสายธุรกิจที่ Zurich ตลอดแนวมีแต่ร้านขายของซึ่งราคาแพงมากๆ อย่างเราไปก็เรียกได้ว่า For see only แต่ก็มีคนไทยหลายคนนะที่ชอบไปช๊อปกันที่นี่ จะสังเกตเห็นเขาเอาก้อนหินก้อนโตๆ มาวางไว้ข้างถนน ไม่ใช่อะไรเอาไว้กันรถวิ่งมาชนร้านค้าพวกนี้ ถ้าจะชนก็ต้องผ่านก้อนหินนี้ไปก่อน เดี๋ยว.. หันมาดูกะตังค์ในกระเป๋าก่อน 1 Fr (1 CHF) = 30.70 บาท 1 Fr (1CHF ) = 100 Rappen อ้อ.. ลืมบอกไป ชื่อเดิมของ swiss คือ Helvetia

นี่ละ.. ของขึ้นชื่อของ swiss ละ ช็อคโกแล็ตนม แสนอร่อย แต่คนไทยอย่างเราชอบแบบใส่ถั่วประปรายเพิ่มรสชาติกรอบๆ มันๆ สำหรับคนสวิสแล้วการใส่ถั่วทำให้ได้เนื้อช็อคโกแล็ตน้อยลงในขณะที่ต้องจ่ายเท่ากันเดินไปเห็นไอติมวอล์ล คอนเน็ตโต แท่งละ 2.8 Fr เขาว่าไอติมที่นี่รสชาติอร่อยกว่าบ้านเรา เลยต้องควักกระเป๋าพิสูจน์ ปรากฏว่า แง็บ..แง็บ.. (บอกไม่ถูกว่าอร่อยกว่ายังงัย..ก็ลิ้นจระเข้อ่ะ.) กลับไปจะซื้อไอติมวอล์ล (อมแล้วดูด) เลี้ยงเด็กซักโขยงหนึ่ง


ถนน ตรอก ซอก ซอย เขายังคงอนุรักษ์บ้านแบบเก่าๆ เอาไว้ ถนนเล็กๆ ยังคงเป็นแบบเดิมคือ ลักษณะเป็นหินก้อนเล็กวางเรียงกัน ถนนแบบนี้จะไม่ให้รถยนต์ผ่าน เขามีไว้ให้เดินและขี่จักรยานได้เท่านั้น พูดถึงคนเดินเท้าแล้วรู้สึกว่าคนที่โน่นเขาใจดีกันจังเลย ตรงไหนที่เป็นทางม้าลายสีเหลืองๆ แค่เราคิดว่าจะข้ามถนน แบบว่ายืนเรียบๆ เคียงๆ ทางม้าลาย รถยนต์ที่วิ่งมาเร็วแค่ไหนก็หยุดให้เรา แต่ถ้าไม่มีทางม้าลาย..เจ้าอย่าหวัง มารู้ทีหลังว่าเป็นกฎหมายของบ้านเขา ถ้าเขาไม่หยุดให้คนข้าม ถูกปรับเยอะเลย


รถรางไฟฟ้า ผู้คนที่นี่เขานิยมใช้รถไฟฟ้า รถรางไฟฟ้า รถบัส กันทั้งเมือง เนื่องจากสะดวกมาก วิ่งเร็ว ตรงเวลาเผง อยู่ที่โน่นสิ่งที่ขาดเสียไม่ได้เลยคือ นาฬิกา ที่สถานีรถไฟบางทีจะเห็นคนวิ่ง หรือเดินอย่างเร็ว ก็ถ้ามัวเดินทอด... อยู่ก็ต้องเคล็ดขัดยอก เพราะตกรถ แต่ถ้าอยู่บ้านเราก็ไม่ต้องกลัวเจ็บเพราะคนไทยใจดี๋ดี รอได้ครับพี่.. คนที่ใช้รถส่วนตัวคือพวกที่มีเงินเยอะๆ หรือไม่ก็คนที่อยู่นอกเมืองเดินทางไม่สะดวกจริงๆ ราคาน้ำมันแพงมาก แถมที่จอดรถก็แพงอีกตางหากที่จอดรถเขาจะตีเส้นแบบบ้านเราแหละ จอดแล้วก็เอาเหรียญไปหยอดที่ตู้เล็กๆ ข้างๆ กับที่จอดรถ คิดค่าจอดเป็นชั่วโมง ที่เห็นก็ตกชั่วโมงละ 4 Fr มั้ง


วันหยุด บนถนนแทบไม่มีรถ หนุ่มสาว วัยโก๋(แก่) ก็มี มักจะออกมาเล่นสเก็ตกันให้ทั่วเมือง มากันเป็นกลุ่มๆ น่าสนุก บางกลุ่มก็ขี่จักรยานไปรอบๆ เมือง จะเห็นได้บ่อยๆ ที่เขาแบกเป้กันไปเที่ยว มักจะมีรองเท้าสเก็ตผูกติดกระเป๋าไปกันเกือบทุกคน หรือบางคนก็ขี่จักรยานไปเที่ยว เวลาเดินทางไกลๆ ก็เอารถจักรยานขึ้นรถไฟ ซึ่งบนรถไฟจะมีที่สำหรับแขวนจักรยานด้วย พูดถึงเรื่องนี้เลยให้นึกถึงหมา (สุนัข) เขาก็เอาขึ้นรถไฟ รถบัส ตัวใหญ่หรือเล็กก็ไม่เกี่ยง แต่หมาพวกนี้คนเลี้ยงเขาต้องจายตังค์ค่ารถให้นะ และต้องฝึกมาแล้วด้วย (รับรองไม่กัด) แต่ก็อยู่ห่างๆ ไว้แหละดี


กิจกรรมZurich lake ทะเลสาบกลางเมือง กว้างขวางไม่น้อยทีเดียว ผู้คนออกมาพักผ่อน เดินเล่น นั่งเล่น เล่นสเก็ต ขี่จักรยาน อาบแดด แต่วันนี้เรือจอดอยู่เฉยๆ หลายลำ ไม่เห็นถูกใช้เลย ที่นี่คงเหมือนกับสวนสาธารณะบ้านเรา ชวนให้คิดถึงสนามหลวงภาพเล็ก Copy ท่าจากคนที่นั่งอยู่ด้านขวามือถัดจากเราไปหน่อย เขานิยมมานั่งอาบแดดกัน นี่ถ้าเจอแดดเมืองไทยละก็ คงนั่งได้ไม่นาน

ขอขอบคุณhttp://www.maemodpuk.4t.com/story/swiss1/swiss1.html ที่ให้ข้อมูลค่ะ

ยังมีอีกเยอะนะคะเอามาเพียงบางส่วน^^

25 วิธีที่จะทําให้มีความสุขในชีวิต

25 วิธีที่จะทําให้มีความสุขในชีวิต

ถ้าอยากมีความสุข คุณต้องรู้จักซึมซับความรู้สึกอื่นๆ ด้วย ไม่ว่าจะเป็นความโศกเศร้าหรือความโกรธที่เกิดขึ้นในแต่ละวัน รวมทั้งยอมรับในสิ่งที่คุณมีและสถานภาพที่คุณเป็น เพื่อจะได้มีความสุขกับชีวิตมากที่สุดเท่าที่จะทำได้ หากคุณหาสาเหตุไม่ได้ว่าทำไมจึงไม่มีความสุขทั้งที่ตัวเองก็ไม่ได้ลำบาก ยาก แค้นอะไร ลองอ่านข้อคิดต่อไปนี้เพื่อจะได้ระลึกว่า

"เราเองก็มีชีวิตที่ดีทีเดียว"

1 คิดใหม่ ใช้ชีวิตราวกับว่าวันนี้เป็นวันสุดท้าย คนที่ป่วยหนักหรือเผชิญกับอุบัติเหตุใกล้ตาย เห็นโศกนาฏกรรมหรือสูญเสียบุคคลผู้เป็นที่รักมักมีมุมมองชีวิตที่ต่างออกไป หลายคนบอกว่าจะไม่ปล่อยเวลาให้สายเกินไปอีกแล้ว จะท่องเที่ยวไปในโลกกว้างหรือติดต่อพบปะเพื่อนฝูง เราทุกคนก็ควรตระหนักว่าอาจไม่มี "พรุ่งนี้" ก็ได้

2 จดบันทึก เขียนเล่าถึงสิ่งดีๆ ที่เกิดขึ้นกับคุณทุกวัน การจดบันทึกยังช่วยแก้ปัญหาและขจัดเรื่องไม่ดีที่รกสมองออกไปได้ด้วย ลองเริ่มเขียนตั้งแต่วันนี้ รับรองได้ผลแน่

3 มองในแง่มุมอื่นบ้าง ลองคิดว่าคุณอยากให้คนอื่นจดจำคุณในด้านใด หรือหากวันหนึ่งต้องเล่าเรื่องชีวิตตนเองให้หลานๆ ฟัง คุณจะเล่าอะไร คุณจำเป็นต้องเปลี่ยนผ้าปูที่นอนทุกสัปดาห์และถูบ้านทุกวันหรือ แล้วที่คุณพลาดการแสดงละครของลูกที่โรงเรียนเมื่อปีที่แล้วเพราะติดประชุม เล่า ตอนนี้คุณรู้สึกอย่างไรบ้างเมื่อมองย้อนกลับไป

4 อย่าให้เรื่องเล็กน้อยกวนใจ ไม่คุ้มหรอกที่จะหัวเสียกับเรื่องไม่เป็นเรื่อง หากคนขับรถคันข้างๆ ไม่ยอมให้คุณเบียดเข้าเลนก็ยิ้มและโบกมือให้เขาไปเลย แล้วจะหงุดหงิดไปทำไมหากพลาดรถเที่ยวเช้า หากาแฟดื่มขณะนั่งรอคันต่อไปดีกว่า

5 ทำงานยากให้เสร็จ ลงมือได้แล้วอย่าผัดวันประกันพรุ่ง โอ้เอ้ไปก็มีแต่ทำให้หนักใจเหนื่อยกาย ไหนๆ งานนี้ก็ต้องทำโดยไม่มีทางหลีกเลี่ยง ก็น่าจะทำให้เสร็จแทนที่จะมัวกังวลและคิดจนรกสมอง

6 เลิกทำตัวจำเจ ชีวิตคงหน้าเบื่อหากทำอะไรซ้ำซากทุกวันทุกสัปดาห์ เราน่าจะมีเรื่องแปลกใหม่มาทำให้หัวใจกระชุ่มกระชวยบ้าง ถ้าเอาแต่นอนตื่นสายทุกวันอาทิตย์ก็น่าจะลุกขึ้นมาแต่เช้าไปกินอาหารอร่อยๆ นอกบ้าน หรือไปตลาดแล้วจ่ายกับข้าวมาทำอาหารมื้ออร่อยกินกันที่บ้าน

7 อย่าเปรียบตัวเองกับคนอื่น ใครจะมีสระว่ายน้ำ เครื่องเสียงแพงๆ รุ่นล่าสุด หรือรถหรูใหม่เอี่ยมไม่ต้องสนใจ หากดูให้ดีๆ คุณอาจพบว่าคนพวกนี้ต้องทำงานสัปดาห์ละเจ็ดวัน ไม่มีเวลาเจอหน้าคนในบ้านหรือเพื่อนฝูง หรืออาจต้องผ่อนหนี้สินไปอีกหลายสิบปี แล้วชีวิตอย่างนี้ดีจริงหรือ

8 กำจัดข้าวของรกในบ้าน เสื้อผ้าที่ไม่เคยใส่มาเป็นปี เครื่องครัวที่ตั้งอยู่ตรงนั้นจนน้ำมันจับเป็นคราบหนา ไหนจะของเล่น หนังสือเก่า และเครื่องเรือน ยกไปบริจาคเถิด นอกจากจะได้บุญแล้ว ชั้นวางของและห้องต่างๆ ในบ้านจะโล่งและเป็นระเบียบมากขึ้น

9 รู้จักเอ่ยคำว่า "ไม่" ไม่ต้องลงมือทำเองทุกเรื่องเพราะชีวิตคุณก็วุ่นวายพออยู่แล้ว ไหนจะต้องทำเรื่องโน้น สะสางเรื่องนี้ ปล่อยให้สมองมีที่ว่างเพื่อคิดหรือทำอะไรเพื่อตัวเองบ้าง

10 รดน้ำต้นรัก รักคู่ครองของคุณอย่างที่เขาเป็น ที่คุณคิดว่าเขาเปลี่ยนไปนั้นเป็นความจริงหรือ (คิดให้ดีก่อนตอบ) ของทุกอย่างเมื่อใช้งานไปได้ระยะหนึ่งก็ต้องบำรุงรักษาหรือซ่อมแซมเป็น ธรรมดา ความสัมพันธ์ฉันสามีภรรยาก็เช่นกัน ต้องมีการดูแลใส่ใจกันบ้าง

11 อย่าให้ความคุ้นเคยกลายเป็นไม่ไว้หน้า หากคุณให้เกียรติเพื่อนหรือผู้อื่น คู่ครองหรือคนในครอบครัวคุณก็ควรได้รับการปฏิบัติแบบเดียวกัน และคุณเองก็ควรได้เกียรติจากคนในครอบครัวเช่นกัน

12 มอบความรักให้ครอบครัวและเพื่อนๆ อย่าเขินที่จะบอกคนเหล่านี้ว่าคุณรักพวกเขาตรงไหน เมื่อเขาทำอะไรดีๆ ให้ก็กล่าวคำชื่นชมบ้าง คำชมเล็กๆ น้อยๆ ไม่เคยทำร้ายใคร

13 อย่ารับปรับทุกข์ทุกเรื่อง หากปัญหาของเพื่อนเริ่มมีผลกระทบต่อตัวคุณ ก็ไม่ต้องฝืนทำตัวเป็นเสาหลักให้เขาพิงอยู่เรื่อยไป ให้เพื่อนหัดแก้ปัญหาและก้าวเดินไปข้างหน้าด้วยตัวเอง

14 ติดต่อเพื่อนเก่า คุณอาจขาดการติดต่อกับเพื่อนไปนาน แต่ก็ยังไม่สายเกินไปที่จะโทรศัพท์ ส่งอีเมล์ หรือเขียนจดหมายถึงเขา และนานแค่ไหนแล้วที่คุณไม่ได้คุยกับป้า ท่านอยากได้ยินเสียงคุณจะแย่แล้ว

15 บำรุงอารมณ์ด้วยสีเขียว ดอกไม้สดจากสวน หรือตื่นแต่เช้าไปตลาดซื้อดอกไม้ ผักผลไม้ราคาไม่แพงมาแต่งบ้านให้สดใส คุณเคยมีสวนกระถางในบ้านไม่ใช่หรือ นำกลับมาอีกครั้ง แล้วบ้านคุณจะชุ่มชื่นมีชีวิตชีวาแน่นอน

16 ไปทะเลกันดีกว่า ทิวทัศน์กว้างไกล สายลม เกลียวคลื่น สองเท้าเปลือยเปล่าย่ำบนผืนทราย และแสงแดดระยับ ไม่มีอะไรทำให้จิตใจเริงรื่นชื่นบานได้ดีกว่านี้อีกแล้ว

17 สร้างสรรค์ผลงาน จะเป็นภาพเขียน งานปั้น เย็บปักถักร้อย อบขนม จัดสวน หรืออะไรก็ได้

18 สูดอากาศบริสุทธิ์ ออกไปข้างนอกหรือเปิดหน้าต่างกว้างๆ สูดหายใจให้เต็มปอด คุณจะรู้สึกว่าอากาศเสียถูกขับออกจากตัว

19 ออกไปเดินเล่น การออกกำลังเบาๆ จะช่วยเติมชีวิตชีวาให้คุณทั้งร่างกายและจิตใจตั้งแต่เดินเล่นครั้งแรกเลยที เดียว การออกกำลังสม่ำเสมอจะทำให้คุณกระปรี้กระเปร่าและรู้สึกดีขึ้นทุกวัน

20 ดูหนังตลกและหัวเราะให้สบายใจ ร้านให้เช่าวิดีโอมีหนังเบาสมองให้เลือกมากมาย จะเป็นหนังไทยหรือฝรั่งไม่สำคัญ ปล่อยเสียงหัวเราะออกมาบ้าง

21 ย้ายเครื่องเรือนและของแต่งบ้าน หรืออาจทาสีห้องและผนังใหม่ด้วย รับรองว่าบรรยากาศที่ได้คุ้มค่าไม่แพ้วันหยุดเลยทีเดียว

22 รอคอยสิ่งดีๆ เช่นวันหยุดพักร้อน ออกไปเที่ยวกับเพื่อนฝูง หรือแม้แต่ไปนวดแผนโบราณ

23 ชวนเพื่อนมากินมื้อค่ำ จัดห้องและโต๊ะอาหารที่บ้านให้แปลกไปจากเดิม เสิร์ฟเครื่องดื่มค็อกเทลหรือแชมเปญ เปิดเพลงเสริมบรรยากาศ สนุกกับการเตรียมอาหาร ทุกคนจะปลาบปลื้มหากเห็นว่าคุณทุ่มสุดฝีมือ แล้วค่ำคืนนั้นก็จะครึกครื้น

24 ยิ้มไว้ ยิ้มเป็นโรคติดต่อ ไม่เชื่อก็ลองยิ้มดูสิ

25 ทำให้คนอื่นมีความสุขบ้าง ทำเพื่อตัวเองมามากแล้วก็น่าจะทำเพื่อคนอื่นบ้าง เริ่มจากอดกลั้นไม่บีบแตรไล่รถที่วิ่งเหมือนเต่าคลาน หรืออาสาช่วยงานกุศล เพียงเท่านี้ การใช้ชีวิตให้สุดคุ้มก็ไม่ยากอย่างที่คิด


ที่มา..http://www.everykid.com/worldnews3/2...ess/index.html

>//<

เอาหล่ะคะทีนี้เพื่อนๆๆหรือท่านผูอ่านคงรู้กันแล้วว่าทำอย่างไหร่จึงจะมีความสุข^^

ขอให้มีความสุขนะคะ

^^"

วันศุกร์ที่ 27 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

วิธีรักอย่างถูกวิธี

1. จงใช้เวลาแก่ความสัมพันธ์ที่ค่อยๆ เติบโตอย่างช้าๆ อย่าใจเร็วด่วนได้ ความชอบพออย่างแท้ จริงจะค่อยๆ เป็นไปอย่างช้าๆ


2. จงซื่อสัตย์และเปิดเผยกับคนรัก การโกหก ไม่ซื่อสัตย์จะทำลายมิตรภาพ


3. จงกระทำต่อผู้อื่นเหมือนอย่างที่คุณอย่างให้ผู้อื่นเขากระทำต่อตัวคุณ


4. นึกไว้เสมอว่าคนรักของคุณไม่ใช่คนดีพร้อม ไม่มีใครดีหมดทุกอย่าง บางทีข้อบกพร่องเล็กๆ น้อยๆ ของคนรัก ก็กลายเป็นความน่ารักได้ ถ้าคุณใจกว้างพอ


5. จงภูมิใจในความสำเร็จของคนที่คุณรักอย่านำไปเปรียบเทียบกับความสำเร็จของคุณหรือคนอื่นๆ เป็นอันขาด จงมองเฉพาะที่คนรักของคุณทำได้จะมากกว่าคุณหรือน้อยกว่าคุณก็ “ดีมาก” ทั้งนั้น


6. อย่าคาดหวังว่าทุกอย่างจะราบรื่นเสมอ แม้คนที่กำลังรักกันแทบจะกลืนกินก็ยังมีข้อขัดแย้งหรือไม่ลงรอยได้บ้าง


7. ถ้าคุณพบคู่รักบางคู่คุยว่า เขาไม่เคยทะเลาะกันเลยก็อย่าไปใส่ใจมากนัก เพราะเขาอาจไม่ได้ พูดกันเลย หรือไม่รักกันเลยก็ได้


8. ในกรณีที่ยังไม่มีคู่รักที่แท้จริง จงเปิดใจให้โอกาสพบปะผู้คนอื่นๆ ให้มากขึ้น คุณจะได้มีโอกาสพบคนที่คุณอยากรักจริงๆ ได้


9. จงมีส่วนร่วมต่อการสร้างความสัมพันธ์ อย่าคิดถึงความได้เปรียบเสียเปรียบ ถ้าคุณให้ของขวัญราคาแพงแก่คนรัก แต่เขาตอบแทนด้วยของขวัญราคาด้วยกว่าก็ไม่เป็นไรเพราะเขาอาจไม่ สามารถให้อะไรกับตัวคุณได้เท่าที่คุณคาดหวังเอาไว้ ฝ่ายที่รับของจากคนรัก จงหาทางตอบแทนเสมอ แม้จะไม่เท่าและไม่เหมือนกันก็ไม่เป็นไร อย่าเป็นฝ่ายรับฝ่ายเดียว



10. จงเป็นนักฟังที่ดี แสดงว่าคุณเอาใจใส่และสนใจเขา เท่ากับแสดงว่าเขาเป็นคนสำคัญ


11. จงยิ้มกับคนรักเสมอ การยิ้มทำให้รู้สึกว่าคุณเป็นคนมีมิตรไมตรี


12. อย่าเปิดเผยความลับ หรือนินทาคนรักลับหลัง เพราะจะเป็นพิษต่อความรักอย่างยิ่ง


13. อย่าใช้ความรักไปหลอกลวงคนอื่น


14. จงถามเพื่อนที่สนิทว่า คุณมีจุดเด่นที่น่าประทับใจ หรือจุดอ่อนตรงไหนบ้าง ทุกคนมีจุดอ่อนในตัว คุณจะได้พัฒนา ปรับปรุงตัวเองให้น่ารักมากขึ้น


15. จงให้เวลาสำหรับความรักและคนรัก อย่าโหมทำงานมาก หรือออกสังคมมากไป จนทำให้สูญเสียคนที่เรารักและห่วงใยไป



16. จงบอกคนรักว่า เขาทำให้คุณสุขหรือสบายใจอย่างไร เขาพอใจที่จะได้ยินถ้อยคำเหล่านั้นเช่น “อยู่กับคุณแล้วรู้สึกสบายใจและมั่นใจดีมาก”


17. อย่าพูดตัดพ้อ หรือต่อว่าโดยไม่คิด เช่น “คุณผิดเวลาอีกแล้ว” หรือ หรือ “คุณไม่รักฉันจริง” แต่จงบอกคนรักว่า “ไม่รู้ว่าเป็นอะไร ใจคิดถึงคุณจัง” ทำนองนั้น


18. อย่าท้อแท้เมื่อเกิดความเข้าใจผิดหรือขัดใจกัน จงทำสิ่งที่เลวร้ายให้กลายเป็นสิ่งที่ดีงามต่อไป โดยมุ่งมั่นถึงการรักษาสัมพันธภาพที่ดีเอาไว้ และพยายามควบคุมช่วงเวลาเลวร้ายเหล่านั้นเอาไว้ ให้ได้


19. เรียนรู้อารมณ์ของคนที่คุณรัก อย่าหวังว่าเขาจะสดชื่น หรือเอาใจเก่งตลอดเวลาในยามเขาเคร่งเครียดเหน็ดเหนื่อยจงอย่าสั่ง แต่จงให้ความสบายกายและความสบายใจแก่เขาตลอด


20. อย่าลืมคำชมเชย ซึ่งเป็นสิ่งที่ดีแก่ทุกคน จงชมคนที่คุณรัก คำชมจะทำให้ความรักยั่งยืน


21. จงมีกิจกรรมร่วมกันที่สนุกสนาน เช่น การเดินทางท่องเที่ยวที่ไม่ลำบากนัก เล่นกีฬาบางอย่างด้วยกันหรือเดินเล่นด้วยกัน เป็นต้น


22.กิจกรรมบางอย่างที่เราไม่ชอบแต่คนรักชอบก็น่าจะลองกิจกรรมเหล่านั้นดูบ้าง


23. สนใจและช่วยจัดการในสิ่งจำเป็นของอีกฝ่ายหนึ่งเช่น ถ้ารู้ว่าอีกฝ่ายจะเดินทางไปไกล จงคิดว่าเขาน่าจะต้องการอะไรเพิ่มเติมบ้าง จงช่วยจัดหาหรือเพิ่มเติมให้เขานั้นแสดงถึงความเอาใจใส่ เขาอย่างแท้จริง


24. อย่าคาดหวังว่าคนรักจะให้สิ่งที่คุณต้องการได้ครบถ้วน เพราะจะทำให้คุณผิดหวัง และเป็นอันตรายต่อความรัก


25. อย่าดูหมิ่นหรือดูถูกคนรักว่าด้อยกว่า หรือเป็นหนี้บุญคุณ จงมองคนรักเหมือนคนที่เพิ่งพบและรู้ จักกัน และรักกันใหม่ๆ ทำให้เกิดความสนใจใยดีอยู่เสมอๆ ทุกๆ วัน ไม่เกิดความเบื่อหน่าย จำเจ


26. อย่าบีบบังคับความรัก เพราะความรักไม่อาจสร้างขึ้นตามความต้องการได้ แต่จงปล่อยให้มันพัฒนาไปตามเงื่อนไขของมันเอง อาจจะเริ่มจากมิตรภาพก่อนแล้วกลายเป็นความรักก็ได้ หลายๆ คนอ่านแล้วบอกว่าทำได้ยาก แต่อยากจะบอกว่าไม่มีสิ่งใดยากเกินไปหรอก ถ้าเราทำเพื่อการพัฒนาตนเอง และพัฒนาความรักจงใช้หลักง่ายๆ


อีก 4 ข้อ คือ

1.ฝืนทำบ่อยๆ แรกๆ ทำไม่คล่อง ก็จงฝืนทำไป

2.ฝึกบ่อยๆ จนเป็นนิสัยที่ดีงาม

3.ข่มใจ อย่าเพิ่งเลิก อย่าเพิ่งท้อถอย ถ้าผลออกมาไม่ถูกใจหรือเกิดความโกรธหรือเบื่อหน่ายกลางคันเสียก่อน ก็จงข่มใจทำต่อไป ช่วยทำให้เกิดการฝืนและการฝึกบ่อยๆ ได้ดีขึ้น



4.ลดตัวเองลง ต้องหมั่นลดตัวเอง อย่าอีโก้สูงนักหรือคิดถึงแต่ตัวเองหรือมาตรฐานของตัวเองตลอดเวลา เพราะจะทำให้คุณทำสิ่งใหม่ๆที่ดีๆ ไม่ได้เลย


ลองดูนะคะ แล้วคุณจะมีความรักที่งดงามในหัวใจ และความรู้สึกได้แน่ๆเป็นความสุขที่ใครๆ ก็อยากได้ เราขอให้ทุท่านจงมีชีวิตใหม่ มีความรักใหม่ที่ดีๆ ตลอดไป

วันจันทร์ที่ 23 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

วานิลลา


วานิลลา (Vanilla fragrans) อยู่ในวงศ์กล้วยไม้ (Orchidaceae) และเป็นพืชพื้นเมืองแถบอเมริกากลางและใต้ ซึ่งเป็นที่ที่ใช้วานิลลาเป็นกลิ่นปรุงรสมาตั้งแต่สมัยอารยธรรมแอซเท็คและมายา การปลูกต้นวานิลลาจะปลูกแบบการปลูกไวน์ คือ ปลูกอยู่บนต้นไม้ที่เป็นที่อาศัยของกาฝาก และต้นวานิลลานี้จะมีความยาวได้ถึง 30 เมตร
ปัจจุบันนี้เราสามารถหาวานิลลาได้จากแหล่งต่าง ๆ นอกจากแถบอเมริกากลางได้ที่บริเวณรียูเนี่ยนและมาดากัสการ์ อินโดนีเซีย ศรีลังกา และตาฮิติ ซึ่งสถานที่เหล่านี้มีสภาพอากาศเหมาะสมกับการผลิตวานิลลาเพื่อการค้า
โดยปกติแล้ววานิลลาที่ทำการเพาะปลูกจะต้องได้รับการผสมเกสรจากมนุษย์ด้วยมือ ดอกของวานิลลาค่อนข้างสวยงามและมีความบอบบาง ส่วนที่ทำให้เกิดกลิ่นและรสชาติจริง ๆ ของพืชชนิดนี้อยู่ที่ส่วนของผล หรือฝักวานิลลา (ซึ่งบางครั้งเรียกว่า วานิลลาบีน) ที่มีความยาว 10 - 25 ซม. ซึ่งจะได้มาจากการนำผล (ฝัก) ของวานิลลาไปหมักและบ่ม
ชาวยุโรปเริ่มรู้จักวานิลลาจากชาวสเปน นอกจากนั้นยังมีความเกี่ยวข้องกับธรรมเนียมปฏิบัติที่โด่งดังในเรื่องการดื่มชอคโกแลต ซึ่งเป็นประเพณีของทางอเมริกากลางและใต้ โดยชาวยุโรปจะดื่มนมแทนการดื่มน้ำ และราว ๆ ปลายศตวรรษที่ 19 มีการผลิตชอคโกแลตนมแท่งขึ้น การใช้วานิลลาให้ความหวานและกลิ่นหอมกำลังเป็นที่แพร่หลายอย่างกว้างขวางในการทำอาหารแบบตะวันตก โดยนิยมใช้กันมากที่สุดในการทำไอศครีมวานิลลา
การสังเคราะห์วานิลลาให้มีคุณสมบัติตรงตามความต้องการนั้นกระทำได้ยาก ส่งผลให้วานิลลาที่ได้จากการสังเคราะห์มีคุณภาพไม่เทียบเท่ากับวานิลลาได้ที่มาจากธรรมชาติ
กระบวนการในการทำวานิลลานั้นค่อนข้างยุ่งยากต้องใช้กระบวนการที่เกี่ยวข้องกับเอนไซม์ ซึ่งกินระยะเวลานานหลายเดือนทำให้วานิลลาเป็นเครื่องเทศที่มีราคาแพงที่สุด ถึงแม้ว่าจะมีการใช้วานิลลากันอย่างแพร่หลายแล้วก็ตาม
วานิลลาของประเทศศรีลังกาเป็นที่ต้องการของโลกเรามาโดยตลอด ต้นวานิลลาของทัชวู๊ดจะให้ผลตอบแทนแก่ลูกค้าหลังจากปีที่ 4 จนถึงปีที่ 20 โดยโครงการนี้ได้รับการอนุมัติจาก
คณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน ประเทศศรีลังกา (BOI) ด้วย

วันศุกร์ที่ 20 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

“ ลดบางอย่าง เพื่อเพิ่มบางสิ่ง ”

“ ลดบางอย่าง เพื่อเพิ่มบางสิ่ง ”

หากลดบางอย่างให้น้อยลง คุณจะได้บางสิ่งมากขึ้น

ลดความโกรธให้น้อยลง คุณจะได้ (สติ) กลับมามากขึ้น

ลดค่าใช้จ่ายให้น้อยลง คุณจะได้ (เงินเก็บ) มากขึ้น

ลดความคิดที่จะหาคนที่ถูกน้อยลง คุณจะได้ (คำตอบ) สำหรับทำเรื่องที่ถูกต้องมากขึ้น

ลดการพูดให้น้อยลง คุณจะได้ (ทำหลายอย่าง) ได้มากขึ้น

คิดถึงคนที่คุณรักให้น้อยลง คุณ (เข้าใจ) คนที่คุณรักมากขึ้น

รักตัวเองให้น้อยลง (คนอื่นรักคุณ) มากขึ้น

พูดให้ร้ายคนอื่นให้น้อยลง (มีคนพูดถึงคุณในแง่ดี) มากขึ้น

แสดงความฉลาดให้น้อยลง คุณได้ (ความรู้) เพิ่มมากขึ้น

ออกนอกบ้านให้น้อยลง คุณได้ (ความอบอุ่น) ในครอบครัวมากขึ้น

นอนให้น้อยลง คุณ (ทำหลายอย่าง) ได้มากขึ้น

คิดเรื่องเครียดให้น้อยลง คุณ (ยิ้ม) ได้มากขึ้น

ลดความอายให้น้อยลง คุณได้ (ความกล้า) มากขึ้น

ดูละครให้น้อยลง คุณ (อ่านหนังสือ) ได้มากขึ้น

คุณวิ่งให้ช้าลง คุณ (มองเห็นคนข้างหลัง) มากขึ้น

เชื่อให้น้อยลง คุณ (มองเห็นอะไร) ได้มากขึ้น

ลดทิฐิให้น้อยลง คุณ (รู้จักอภัย) มากขึ้น

กระโดดให้น้อยลง คุณ (เดินได้มั่นคง) มากขึ้น

กินให้น้อยลง คุณ (อิ่ม) ได้มากขึ้น

ก้มหน้าให้น้อยลง คุณ (มองเห็น) ได้ไกลขึ้น

พักเหนื่อยให้น้อยลง คุณรู้จัก (ความสบาย) มากขึ้น

เห็นแก่ตัวให้น้อยลง มีคน (รอดชีวิต) มากขึ้น

แบกของหนักให้น้อยลง ชีวิตคุณ (เบา) มากขึ้น

ทะเลาะกับเด็กให้น้อยลง คุณ (โตเป็นผู้ใหญ่) มากขึ้น

ทะเลาะกับผู้ใหญ่ให้น้อยลง คุณได้รับ (การเอ็นดู) มากขึ้น

เป่าลมออกให้น้อยลง คุณ (สูดลมเข้า) ได้มากขึ้น

แอบฟังให้น้อยลง คุณ (ได้ยินอะไร) มากขึ้น

คุณคิดคำถามให้น้อยลง คุณเห็น (คำตอบ) มากขึ้น...........

แล้วคุณลดอะไรไปบ้างแล้ว ............

วันพฤหัสบดีที่ 12 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

3G สามจี หรือ ทรีจี







ในปี ค.ศ. 1979 ได้มีการเริ่มพัฒนาระบบโทรศัพท์มือถือที่เป็นแบบเซลลูล่า หรือที่เรียกว่า โมบายโฟน มีการนำไปใช้งานครั้งแรกพร้อมกันที่โตเกียว ประเทศญี่ปุ่น และชิคาโก ประเทศสหรัฐอเมริกา หลังจากนั้นต่อมา โทรศัพท์มือถือก็แพร่หลายอย่างรวดเร็ว แพร่กระจายเข้าสู่ทุกประเทศ
โดยเฉพาะประเทศไทย มีจำนวนผู้ใช้โทรศัพท์มือถือหลายล้านราย และมียอดการขยายตัวที่ต่อเนื่องตลอดเวลา ระบบโทรศัพท์มือถือในยุคแรก (1G) เป็นระบบโทรศัพท์ที่ใช้สัญญาณวิทยุ ระบบการนำสัญญาณเสียงผ่านคลื่นวิทยุย่านความถี่สูงมาก (VHF และ UHF) และระบบการรับส่งยังเป็นแบบอะนาล็อก พัฒนาการทางอะนาล็อกของโทรศัพท์มือถืออยู่ได้ไม่กี่ปีก็พัฒนา
กลุ่มที่พัฒนาโทรศัพท์มือถือแบบ wireless มีด้วยกันสามกลุ่มคือ กลุ่มอเมริกา ยุโรป และญี่ปุ่น โดยใช้ย่านความถี่การเชื่อมโยงกับสถานีแม่ที่ความถี่ไมโครเวฟประมาณ 1-2 จิกะเฮิร์ทซ์
การใช้งานในรุ่นแรกหรือ 1G มีข้อจำกัดในเรื่องการขยายช่องสัญญาณให้รองรับผู้ใช้จำนวนมาก ดังนั้นจึงต้องเปลี่ยนจากระบบอะนาล็อกมาเป็นดิจิตอล ในยุคที่สอง (2G) การพัฒนาเน้นในเรื่องการแบ่งเวลาในช่องสัญญาณโดยใช้เทคโนโลยีที่เรียกว่า TDMA - Time Division Multiple Access หรือ CDMA - Code Division Multiple Access เป็นการเรียกเข้าถึงช่องสัญญาณ โดยแบ่งช่องสัญญาณออกเป็นสล็อตของเวลาเล็ก ๆ เพื่อให้การรับส่งข้อมูลผ่านช่องเล็ก ๆ ทางด้านเวลานี้ าการเข้าสู่ ยุคที่สอง (2G) ซึ่งเป็นยุคดิจิตอล และกำลังพัฒนาต่อเนื่องเข้าสู่ยุค 3G ลองนึกดูว่า
การครอบคลุมพื้นที่ใช้หลักการของสถานีฐานหนึ่งสถานีคลุมพื้นที่บริเวณหนึ่ง เชื่อมโยงกันเป็นเซลแบบรังผึ้ง (Cellular) ทุกครั้งที่เปิดโทรศัพท์มือถือ เครื่องในมือเราก็จะติดต่อกับสถานีฐาน เพื่อลงทะเบียนตำแหน่ง หลังจากนั้นก็ติดต่อกับระบบได้ การกระจายเซลฐานจะมีมากมาย โดยเฉพาะในปัจจุบันจำนวนเซลฐานได้รับการกำหนดให้มีขนาดเล็กลง ซึ่งต้องใช้เซลฐานจำนวนมากขึ้น และเมื่อเคลื่อนที่ผ่านกรอบของเซลฐานเข้าสู่เซลต่อไป ระบบการโอนสัญญาณติดต่อระหว่างเซลจะกระทำอย่างต่อเนื่องโดยให้มีการใช้งาน ได้โดยไม่มีปัญหา
เพื่อรองรับตลาดที่เติบโตเร็วมาก สิ่งที่โทรศัพท์ระบบนี้จะพบคือ ทำอย่างไรจึงจะรองรับความหนาแน่นของสัญญาณให้ได้มากที่สุด และต้องได้คุณภาพของสัญญาณดี อีกทั้งความเร็ว (จำนวนบิตต่อวินาที) ที่ใช้ต้องสูงขึ้น เพื่อรองรับการประยุกต์ในรูปแบบต่าง ๆ ที่มีจำนวนมากมายตามความต้องการของผู้ใช้ ในเดือนมิถุนายน 1998 สหภาพโทรคมนาคมระหว่างประเทศได้ร่างข้อเสนอการพัฒนาระบบโทรศัพท์เซลลูลาร์ ในรูปแบบที่จะพัฒนาต่อเนื่องให้เข้าสู่ยุค 3G โครงร่างที่สำคัญคือแนวทางการพัฒนาระบบโทรศัพท์เซลลูลาร์ที่มีการใช้งานกันหลายเทคโนโลยี
โดยเน้นในเรื่องความหลากหลายของระบบ เพื่อเป็นแนวทางของการรวมระบบ จนกระทั่งในเดือนพฤศจิกายน 1999 แนวทางการก้าวเข้าสู่ยุค 3G ก็เริ่มเด่นชัดขึ้น โดยเน้นการใช้ระบบ CDMA - Code Division Multiple Access และทุกระบบที่มีอยู่มีแนวโน้มในการปรับเปลี่ยนเข้าสู่ระบบ IMT2000


บริษัท โดโคโม ของญี่ปุ่น มีการประกาศอย่างชัดเจนว่า ในเดือนพฤษภาคม 2001
ระบบ 3G ของญี่ปุ่นจะเริ่มใช้งานได้ และ แนวทางของบริษัท โดโคโม จะเป็นหนึ่งในผู้นำทางด้าน 3G การพัฒนาระบบ IMT 2000 ซึ่งเป็นการออกแบบระบบ 3G ได้รับการตอบรับในทุกบริษัทที่ผลิตเครือข่ายโทรศัพท์มือถือ ระบบ IMT 2000 เน้นการใช้เทคโนโลยี CDMA ทั้งนี้เพราะต้องการใช้แถบความถี่ที่มีจำกัดในย่าน 1-2 จิกะเฮิร์ทซ์ ให้ได้ประโยชน์สูงสุด โดยเน้นให้ใช้งานได้ด้วยอัตราการรับส่งข้อมูลที่สูงขึ้น และมีแนวทางของการสร้างความคอมแพตติเบิ้ลในระดับพื้นฐานเดิมได้
โดยเฉพาะการเชื่อมโยงกับเครือข่ายเดิมที่มีอยู่ โดยเฉพาะการเชื่อมระหว่างเครือข่ายโทรศัพท์กับอินเทอร์เน็ต ระบบ 3G ที่ได้พัฒนาขึ้นครั้งนี้เป็นแบบดิจิตอลแพ็กเก็ต โดยเน้นการรองรับระบบมัลติมีเดียที่ให้ทุกคนเข้าถึงข้อมูลข่าวสารได้ทุกที่ ทุกเวลา เป้าหมายของความเร็วการเชื่อมต่อเครือข่ายแบบ 3G อยู่ที่ 2 เมกะบิตต่อวินาที ในอาคารหรือในบ้าน และหากอยู่ในรถยนต์ที่เคลื่อนที่ อัตราการรับส่งข้อมูลอยู่ที่ 144 กิโลบิตต่อวินาที แต่บริษัท โดโคโม ได้ประกาศการใช้งานที่ 2 เมกะบิต ในอาคาร และ 384 กิโลบิต ในรถยนต์ที่เคลื่อนที่ ซึ่งเป็นมาตรฐานที่สูงกว่าของทั่วไป การรับส่งข้อมูลของโทรศัพท์มือถือจะรองรับการประยุกต์ใช้งานทุกรูปแบบ ตั้งแต่การโทรศัพท์แบบวิดีโอคอนเฟอเรนซ์ การส่งโทรสารแบบ G4 (ส่งภาพสี แบบความละเอียดสูง) การเชื่อมต่อระบบ WAP เพื่อระบบ 3G ของญี่ปุ่นจะพัฒนาและรองรับการใช้งาน กลุ่มโดโคโมจึงต้องสร้างพันธมิตร โดยร่วมมือการพัฒนาและทดลองใช้กันบริษัท SK เทเลคอม ของเกาหลี เทเลคอมอินโดนีเซีย สิงค์เทล (สิงค์โปร์) TOT (ประเทศไทย) จีน








วันจันทร์ที่ 9 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

ผู้หญิงเป็นแบบนี้ จริงไหม ??

1.ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหนแต่มีของ 4 อย่างที่ผู้หญิงต้องหยุดดู..ตุ้มหู กระเป๋า รองเท้า และเสื้อผ้า

2.ผู้หญิงชอบกินเค้กช็อกโกแลตและชอบบ่นว่าาตัวเองอ้วน

3.เวลาเธอถามว่าเธออ้วนไปหรือเปล่า? ถ้าคุณตอบว่าเปล่า เธอจะไม่เชื่อ แต่ถ้าคุณตอบว่าอ้วน เธอก็จะโกรธ

4.หากจะอธิบายเรื่องเวรกรรมให้ผู้หญิงเข้าใจให้ยกเรื่องสลิปบัตรเครดิตมาเป็นตัวอย่าง

5.ผู้หญิงชอบให้คนมาจีบ แต่ไม่ได้ชอบทุกคนที่เข้ามาจีบ

6.ผู้หญิงเกิดมาคู่กับครีมทาผิวและโฆษณาครีมทาผิวทุกตัวได้ผลเสมอ

7.ผู้หญิงไม่เคยเหน็ดเหนื่อยจากการเดินช็อปปิ้ง และหากนับก้าวระหว่างที่เธอเดิน คุณคงไม่เชื่อในระยะทางที่วัดได้

8.เวลาที่ผู้หญิงบอกว่าไม่มีอะไร แปลว่ามีอะไร และผู้ชายไม่รู้หรอก (เฉลยไปเลย)

9.เวลาผู้หญิงร้องไห้ เธอจะต้องการการปลอบโยน แต่ถ้าไปถาม เธอจะบอกว่า "ไม่ต้อง"

10.ผู้หญิงสนใจ ในรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ ของสิ่งต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นลายของกระเป๋าหรือตุ้มหู อย่าถามความเห็นของคุณผู้ชายเลยเพราะเขามองไม่ออกจริงๆ

11.ผู้หญิงใช้ลิปสติกไม่เคยหมดแท่ง

12. ผู้หญิงชอบ สมัครฟิตเนสและจินตนาการว่าตัวเองจะฟิตแอนด์เฟิร์มขึ้นในสามเดือนข้างหน้า แต่หลังสมัครเสร็จเธอจะแวะไปที่ร้านกิฟท์ช็อปที่อยู่หน้าฟิตเนสและนานๆ จะมาที่นี้สักที

13.ผู้หญิงเกิดมาคู่กับดอกไม้ เมื่อได้รับดอกไม้ยิ่งช่อใหญ่ยิ่งดี

14.ผู้หญิงจำ วันทุกวันเก่งมาก ไม่ว่าจะเป็นวันแรกที่เจอ วันแรกที่คบ วันครบรอบ วันเกิด และวันอะไรอีกมากมายและนี่ก็เป็นหนึ่งในสาเหตุหลักที่ทำให้เธอทะเลาะกับแฟน

15.ผู้หญิงชอบอ่านดวงในแมกกาซีนและบอกว่าแม่นมาก โดยที่ผู้ชายไม่ค่อยเชื่อ

16.คำขอโทษที่ดีที่สุดคือ "ไปช็อปปิ้งมั้ย?"

17.ผู้หญิงไม่รู้ว่าที่เปิดกระโปรงรถอยู่ไหน เพราะไม่รู้ว่าจะเปิดมันไปทำไม หรือถึงเปิดเป็นก็ไม่รู้จะทำอะไรกับมันดี

18.เวลา ทะเลาะกัน เธอจะบอกว่าไม่ต้องโทรมาอีกแล้ว แต่หลังจากวางหู เธอจะหันไปมองโทรศัพท์มือถือบ่อยๆ พอกลับมาดีกัน เธอจะต่อว่าๆ พอกลับมาดีกัน เธอจะต่อว่า ว่าตอนนั้นทำไมไม่โทรมา (อ้าว)

19. ผู้หญิงสนใจเรื่องราวของ เพื่อนเรากับแฟน(ของเพื่อนเรา)มากกว่า ตัวเรา(ที่เป็นเพื่อนมันจริงๆ) เสียอีก

20.ผู้หญิงกินข้าวเป็นมื้อจริงๆ น้อย กินขนมระหว่างมื้อเยอะ

21.ผู้หญิงผมตรงอยากผมหยิก ผู้หญิงผมหยิกอยากผมตรง

22.กระเป๋าถือของผู้หญิง มีน้ำหนักมากกว่าสายตาประเมิน และข้างในบรรจุของไว้มากมาย แม้เธอจะไม่ใช้ทุกอย่างก็ตาม

23.เวลากลุ่มเพื่อนผู้หญิงนัดกัน มักจะเม้าท์เรื่องของแฟนอย่างสนุกสนาน ผู้ชายรู้ดีเลยแค่ขับรถไปส่งแล้วค่อยไปรับตอนจะกลับอีกครั้ง

24.ตุ๊กตาส่วนใหญ่ไม่มีปาก เพราะมีผลการวิจัยว่า การไม่มีปากทำให้ผู้หญิงรู้สึกเหมือนว่าตุ๊กตากำลังรับฟังและเข้าใจความรู้สึกของธอ ไมว่าเธอจะรู้สึก สุข เศร้า เหงา และรัก

25.ในที่ทำงาน มักจะมีเพื่อนร่วมงานผู้หญิงที่ไม่ค่อยถูกกับเพื่อนร่วมงานผู้หญิงด้วยกัน อย่างน้อยก็คู่หนึ่งละ

26.เวลาผู้หญิงนินทากันเอง แม้ผู้ชายจะทำหน้าเฉยๆ แต่ก็อยากรู้อยู่เหมือนกัน

27.ผู้หญิงทุก คนต้องมีตู้เสื้อผ้าสองตู้ขึ้นไป และเมื่อถึงสี่ตู้เมื่อไหร่จะเริ่มบริจาคเสื้อผ้าที่ไม่ใช้ให้คนอื่น และตอนที่เริ่มโละของจะมีประโยคประเภท "เสื้อตัวนี้ยังไม่ได้ใส่เลย!!!"

28.ผู้หญิงมี เคล็ดลับในการแสดงความเป็นเจ้าของ เช่นติดรูปถ่ายคู่ไว้ในกระเป๋าตังค์ของเขาเอาตุ๊กตาไว้หน้ารถเขา วางตุ้มหูระยิบระยับไว้ที่ห้องรับแขกในบ้านเขา ถือเป็นสิ่งเล็กน้อยที่แฝงไปด้วยเทคนิคล้ำเลิศ

29.เริ่มต้นวันใหม่ด้วยประโยค "วันนี้คุณสวยจัง" จะทำให้เธออารมณ์ดีไปทั้งวัน

30.ดูเหมือนว่าผู้หญิงทุก คนจะชอบช็อปปิ้ง ฝันอยากขึ้นปกแมกกาซีนและอยากรักกับพระเอกฮอลลีวู้ด



แต่ความจริงคงยากที่ชีวิตจริงจะเป็นอย่างนั้น ผู้หญิงทุกคนจึงมีอีกความฝันเล็กๆ อีกอันซ่อนอยู่ นั่นก็คือ การได้ทำกับข้าวเย็นให้แฟน นั่งดูทีวีด้วยกันตอนค่ำ นอนกอดกันตอนหลางคืน ตื่นมาจัดที่นอนและตื่นขึ้นมาเตรียมข้าวเช้าให้ และอยากให้เขาบอกว่า "ผมรักคุณ" และหอมแก้มหนึ่งทีก่อนไปทำงาน (คุณว่าจริงมั้ย)

9 วิธีเด็ด แก้หลับเวลากวดวิชา

1. ถ้ารู้ว่าตัวเองต้องเข้าเรียนแต่เช้า : ก็อย่าดูหนังดูละครจนดึกเกินสี่หรือห้าทุ่ม เพราะเวลานอนที่ขาดไปมันมักจะมาเอาคืนช่วงเรียนพิเศษที่มีอาจารย์ในดีวีดีมากล่อมเสมอ ข้อนี้สำคัญมาก เพราะหากนอนดึกแล้ว ก็ไม่มีวิธีไหนที่จะมาทำให้เราหายง่วงได้ นอกจากไปกินกระทิงแดง (แต่ก็ไม่แนะนำว่าไม่ดีต่อสุขภาพ)

2. พกขนมหรือน้ำเข้าไปด้วย : แต่ !!! ห้ามกินตั้งแต่เริ่มเรียน เพราะจะทำให้ง่วงง่ายมากกกกก ให้กินเมื่อเริ่มง่วงเท่านั้น (บางทีลองซื้อขนมที่เวลาแกะแล้วเสียงดังๆ เพราะเวลาแกะขนมนั้นจะทำให้เราตื่นเต้นและกลัวว่าคนข้างๆ จะด่า (มันมีวิธีอย่างนี้ด้วยเรอะ) ทำให้ตาสว่าง แต่ถึงอย่างไร ถ้าคิดว่าจะรบกวนคนข้างๆ ละก็ ก็ให้ซื้อขนมจุกจิกเล็กๆน้อยๆไปแทน) เมื่อหายง่วงก็ให้หยุดกินแล้วตั้งใจเรียนต่อไปซะ

3. อุปกรณ์สำหรับเรียนกวดวิชา : สำคัญนะคะ เพราะเวลาเราง่วงๆ ก็หยิบปากกาสี หรือพวกไฮไลท์มาวาดๆ เขียนในหนังสือให้มันคัลเลอร์ฟูลไปเลย แต่อย่าทำให้เลอะเทอะไป เพราะเวลาทบทวนหนังสืออาจจะทำให้เรามึนได้ ให้วาดๆ เขียนๆ ด้านหลังหนังสือก็ได้ หรือไม่ก็เวลาอาจารย์ให้เน้นอะไรก็ใส่สีให้พอสวยงามก็ทำให้เราหายง่วงได้เช่นกันค่ะ แต่ถึงยังไงก็ต้องตั้งใจฟังอาจารย์อย่ามัวแต่วาดเพลินนะคะ

4. ฝึกจินตนาการผ่านกวดวิชา : ลองมองดูอาจารย์สอนกวดวิชาสิคะ ท่านจะมีอะไรให้เราได้จินตนาการไปเรื่อยเปื่อยอยู่เสมอ ตั้งแต่คำพูดติดปากของอาจารย์ สีเสื้อผ้า ทรงผม เสียงหัวเราะของอาจารย์ บางที...มุขฝืดๆของอาจารย์ก็ช่วยพวกเราจากความง่วงงันได้เหมือนกันนะ 5. สำหรับคนที่ชอบหลับคาโต๊ะกวดวิชา : เราขอแนะนำ!! ให้ลองก้มลงไปนอนโต๊ะคนอื่นดูค่ะ (หา!!) แล้วจะไม่ง่วงอีกเลย (แต่จะได้เบ้าตาหมีแพนด้ามาแทน ...อ้าว)

6. ตั้งใจฟังอาจารย์ : เรียนให้เต็มที่ คำนวณอะไรก็คิดๆๆๆๆๆ คิดผิดก็คิดมันไป อาจารย์เฉลยว่าผิดแล้วก็ลบแอบๆ หน่อย (อายคนข้างๆ) พอเวลาคำนวณถูกก็เปิดมันเลย! ดูเส่ะๆพวกหล่อน ฉันคิดถูก ว่ะฮ่าๆๆๆ

7. สำหรับคนที่กินขนมแล้วชอบหลับ : แนะนำค่ะ ลูกอมรสเปรี้ยวๆ กินแล้วตื่นเต็มตาเลยค่ะ (แต่ถ้ากินบ่อยๆอาจทำให้คุณชินและหลับได้แม้กระทั้งในปากเปรี้ยวจี้ด) หรือไม่ก็ลูกอมมิ้นท์เย็นๆ แบบว่าเย็นสุดขั้ว กินแล้วเย็นไปถึงรูขุมขนได้ยิ่งดี นั่นจะทำให้คุณตื่น (แต่บางคนอาจจะหลับ) เรื่องลูกอมต้องค่อยๆลองไปสลับไปได้เรื่อยๆ ยิ่งดี วันนึงก็รสนึง อีกวันก็รสใหม่ จะทำให้เราไม่คุ้นและไม่ง่วง

8. หากเรียนไปแล้วเริ่มจะเข้าเฝ้าเทวดา : ให้นึกถึงเวลาที่ใกล้จะหมดสิคะ นั่นอาจจะทำให้รู้สึกลัลล้าและตื่นเต็มตาได้ แต่ถ้าหากเพิ่งจะเริ่มเรียนแล้วง่วงละก็ ลองไปล้างหน้าล้างตาดูนะคะ

9. บรรยากาศในห้องเรียน : เป็นส่วนหนึ่งทำให้เคลิ้มได้ บางทีก็เย็นจนปอดจะแข็งตาย บางทีก็ร้อนตับจะออกมานอกร่าง ขอแนะนำว่าให้ลองใจกล้าเดินไปบอกพี่ที่คุมเลยค่ะ ว่าร้อนหรือหนาว จะได้ไม่รู้สึกเคลิ้มหรือไม่เครียดขณะเรียน

แต่ละข้อที่ว่ามา ก็สามารถทั้งนั้นเลยนะคะ อย่างข้อพกขนมหรือน้ำเข้าไป คงมีหลายคนปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัดแน่เลย (ฮ่าๆ) แต่ถ้าลองแล้วยังไม่ได้ผล นะนำอีกข้อให้ลองยืนเรียนดูนะคะ แต่ระวังบังคนข้างหลังด้วยหล่ะ อิอิ ล้อเล่นนะคะ

รู้ไหมอ่านหนังสือช่วงไหน "นาทีทอง"


ในทางวิทยาศาสตร์ด้านสมองเค้าบอกว่า การท่องหนังสือในเวลากลางคืนเป็นสิ่งที่ไม่แนะนำค่ะ เพราะว่าเวลากลางคืนเป็นเวลาที่เราควรนอนหลับ ซึ่งการนอนหลับ สมองเราจะมีการจัดระเบียบความทรงจำและบันทึกเรื่องราวต่างๆ ที่เราตื่นนอนจนเราเข้านอนค่ะ ซึ่งการจำอะไรให้มีประสิทธิภาพ ก็จำเป็นต้องนอนให้เพียงพอด้วย
ส่วนเวลาที่เหมาะสมเป็น "นาทีทอง" ในการจำนั่นก็คือ เวลาช่วงเช้านั่นเองค่ะ เพราะการจัดระเบียบความจำเกิดขึ้นตอนที่เรานอนหลับ เพราะฉะนั้นสมองของเราในช่วงเช้าจะปลอดโปร่ง เหมาะสำหรับการใช้งานอย่างเต็มที่ ซึ่งถ้าอ่านหนังสือช่วงนี้ได้ ก็เรียกว่าการจำก็จะมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้นค่ะ แถมยังเป็นช่วงที่เหมาะสำหรับงานที่ต้องใช้การสร้างสรรค์หรืองานเขียนต่างๆ อีกด้วยนะ
อิอิ ในเมื่อตอนกลางคืนอ่านแล้วก็ชวนง่วงให้หลับ ทีนี้จะลองมาอ่านตอนเช้าบ้างหล่ะ ดูสิว่า จะยังหลับอยู่อีกไหม แต่....คาดว่าคงไม่หลับหรอกค่ะ น่าจะยังไม่ตื่นมากกว่า ฮ่าๆ
เด็กที่อ่านหนังสือตอนกลางคืนแล้วง่วงหลับอย่างลองเปลี่ยนมาอ่านตอนเช้าดูบ้างก็ได้นะคะ เผื่อจะได้ผล อิอิ

วันศุกร์ที่ 6 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

6 ขั้นตอนการง้อเพื่อนแบซึ้งสุดๆ

สังเกตไหมว่าพอเราสนิทกับใครมากๆ เราจะให้ความเกรงใจและนึกถึงเขาน้อยลง ยิ่งถ้าเป็นเพื่อน เราคงไม่ค่อยระวังคำพูด หรือการกระทำว่าเขาจะเสียความรุ้สึกกับเรารึเปล่า อยากแนะนำให้คุรคืนดีกับเพื่อนได้เร็วๆแล้วกลับมารักกันเหมือนเดิม ลองทำดูนะคะ

1. รู้ตัวให้เร็วที่สุด ขอโทษจะได้ผลดีถ้าใช้หลังจากที่ทำผิดทันที

2. พูดว่าตัวเองทำอะไรผิด อย่าใช้ภาษาที่คุลมเคลือ หรือโบ้ยความผิดให้คนอื่น พูดให้ตรงประเด็น บอกเหตุผลคำอธิบายว่าทำไมคุณถึงทำ

3. มองตาและขอโทษ จุดไคลแมกซ์อยู่ตรงที่คุณใช้ ความจริงใจดันคำพูดนี้ออกมาได้ดีแค่ไหน สบตาเขาแล้วพูดว่า " เรารุ้สึกไม่ดีมากๆ กับสิ่งที่เราทำ " จะดีกว่าพูดว่า "ทั้งหมดคือความผิดของเราเอง" ฟังดูเหมือนนางเอกที่รับทุกอย่างไว้ที่ตัว ประโยคบอกว่าเรารุ้สึกสำนึกผิดในส่วนที่เราทำจริงๆ

4.ผ่อนความกดดัน นี่เป็นส่วนที่ยากที่สุด พอหลังจากที่คุณพูดคำว่าขอโทษแล้วใช้ความเงียบและฟังสิ่งที่เพื่อนคุณ พุดว่าเขาไม่พอใจอะไรบ้าง ทำใจรับฟัง ถ้าโกรธก็บอกตัวเองว่าตอนที่คุณทำกับเพื่อน เขาก็โกรธแบบนี้เหมือนกัน

5. จับมือสื่อความเป็นเพื่อน แค่แตะมือเบาๆแล้วพูดสิ่งที่คุณรู้สึกและไม่อยากเสียมันไป ถ้าคุณทำให้เพื่อนร้องไห้ก็เข้าไปกอดเลยแล้วพูดขอโทษเค้าด้วยความจิงใจ

6. เก็บไว้เป็นบทเรียนจำไว้ว่าวันหลังต้องคิดให้ดีก่อนจะพูดหรือแสดงอะรัยออกไป เพราะทำผิดได้ง่าย แต่แก้ไขมันยากกว่าเป็นร้อยเท่า