วันอาทิตย์ที่ 20 ธันวาคม พ.ศ. 2552

ชนิดของช็อกโกแลต


ช็อกโกแลตเป็นส่วนผสมที่นิยมมาก และมีให้เลือกในหลากหลายรูปแบบ รูปแบบและรสชาติของช็อกโกแลตนั้นแตกต่างกันได้โดยส่วนผสมและปริมาณของส่วนผสมในช็อกโกแลต นอกจากส่วนผสมแล้วรสชาติยังแตกต่างกันโดยระยะเวลาและอุณหภูมิของการคั่วเมล็ดโกโก้ด้วย
ช็อกโกแลตที่ไม่ได้เพิ่มความหวาน
ช็อกโกแลตที่ไม่ได้เพิ่มความหวาน (unsweetened chocolate) คือ ช็อกโกแลตเหลวบริสุทธิ์หรือที่รู้จักกันในนาม ช็อกโกแลตฝาด ใช้ในการอบอาหาร และเป็นช็อกโกแลตที่ไม่มีการเจือปนใด ๆ ทั้งสิ้น ช็อกโกแลตชนิดนี้จะมีรสชาติเข้มข้มและลุ่มลึกของช็อกโกแลตบริสุทธิ์ แต่อย่างไรก็ดีเมื่อมีการเพิ่ม
น้ำตาลเข้าไป ช็อกโกแลตชนิดนี้จะใช้เป็นส่วนผสมหลักในการทำบราวนี เค้ก ลูกกวาด และคุกกี้
ช็อกโกแลตดำ
ช็อกโกแลตดำ (dark chocolate) คือช็อกโกแลตที่ไม่ได้เพิ่มนมเป็นส่วนประกอบ ซึ่งบางครั้งก็ถูกเรียกเป็นช็อกโกแลตธรรมดา แต่ว่าทางรัฐบาลสหรัฐฯ เรียกเป็นช็อกโกแลตหวาน และกำหนดให้มีส่วนผสมของช็อกโกแลตเหลวบริสุทธิ์เข้มข้น 15% แต่ทางยุโรปได้กำหนดให้มีส่วนผสมของเมล็ดโกโก้อย่างน้อย 35% ช็อกโกแลตดำมีสาร
ฟลาโวนอยด์ ซึ่งเป็นสารแอนติออกซิแดนท์ป้องกันมิให้เกิดคราบไขมันสะสมที่ผนังหลอดเลือดหัวใจ สาเหตุของโรคหัวใจเลือดตีบ และช่วยป้องกันไม่ให้เกล็ดเลือดแข็งตัว สาเหตุของการอุดตันในหลอดเลือด และป้องกันความดันโลหิตสูง [1]
ช็อกโกแลตนม
ช็อกโกแลตนม (milk chocolate) คือช็อกโกแลตที่ผสมนมหรือ
นมข้นหวาน รัฐบาลสหรัฐฯ กำหนดว่าหากจะเรียกว่าช็อกโกแลตนม ต้องมีส่วนผสมของช็อกโกแลตเหลวบริสุทธิ์เข้มข้น 10% แต่ทางยุโรปได้กำหนดให้มีส่วนผสมของเมล็ดโกโก้อย่างน้อย 25%
ช็อกโกแลตชนิดนี้มีส่วนผสมของเนยโกโก้ (cocoa butter) นม และยังเพิ่มความหวานและรสชาติลงไปด้วย ช็อกโกแลตนมนี้ใช้สำหรับแต่งหน้าขนมได้เป็นอย่างดี ช็อกโกแลตนมที่ทำในประเทศสหรัฐฯ ต้องประกอบด้วยน้ำช็อกโกแลตอย่างน้อย 10% และนมที่ไม่ได้เอามันเนยออก 12%


Chocolate Liquor
เป็นผลผลิตจากเมล็ดโกโก้นำมาบดละเอียด แล้วนำมาคั้นเอาแต่น้ำ น้ำช็อกโกแลตนี้สามารถทำให้เย็นและทำให้แข็งตัวโดยใส่พิมพ์ไว้ แต่ช็อกโกแลตที่ได้เป็นชนิดที่ไม่หวาน น้ำช็อกโกแลตนี้จะมีส่วนผสมของโกโก้บัตเตอร์ประมาณ 53% กลมกล่อม
ช็อกโกแลตกึ่งหวาน
ช็อกโกแลตกึ่งหวาน (semi-sweet) อยู่ในรูปของเหลวแล้วเพิ่มความหวานและใส่เนยโกโก้ลงไปด้วย สีของช็อกโกแลตชนิดนี้สีจะเข้ม ตามมาตรฐานของสหรัฐฯ จะมีส่วนผสมของน้ำช็อกโกแลตประมาณ 35% และมีไขมันประมาณ 27% ช็อกโกแลตชนิดนี้จะมีรสชาติความหวานเล็กน้อย และกลมกล่อมลิ้นอย่างมากก
ช็อกโกแลตหวาน
ช็อกโกแลตหวาน (sweet chocolate) ช็อกโกแลตชนิดนี้จะเพิ่มความหวานลงไปมากกว่าช็อกโกแลตแบบหวานน้อย และมีส่วนผสมของน้ำช็อกโกแลตอย่างน้อย 15 % ช็อกโกแลตชนิดนี้ใช้เป็นส่วนประกอบสำคัญในการทำขนมและตกแต่งขนม และยังมีไขมันเท่า ๆ กับช็อกโกแลตแบบหวานน้อย

ช็อกโกแลตขาว (white chocolate) ชนิดนี้มีส่วนผสมของเนยโกโก้ แต่ไม่มีโกโก้ที่อยู่ในรูปของไขมัน แต่จะประกอบไปด้วยน้ำตาล เนยโกโก้ นมสด และใส่กลิ่นวานิลลาลงไปด้วย ช็อกโกแลตขาวนี้จะแตกหักง่าย หากเป็นของปลอมจะทำมาจากน้ำมันพืชมากกว่าเนยโกโก้
Liquid Chocolate
เป็นช็อกโกแลตที่ไม่หวาน ส่วนใหญ่จะบรรจุขายเป็นขวด ขวดละ 1 ออนซ์ และเนื่องจากมันไม่ละลายจึงสะดวกในการใช้มาก โดยพัฒนาขึ้นมาสำหรับใช้ทำขนมอบ อย่างไรก็ดีเนื่องจากมีส่วนผสมของน้ำมันพืชมากกว่าเนยโกโก้ ซึ่งเนื้อช็อกโกแลตจะแตกต่างกัน ปกติแล้วช็อกโกแลตชนิดนี้จะมีรสไม่หวาน
กูแวร์ตูร์
ช็อกโกแลตชนิดกูแวร์ตูร์ (couverture) เป็นชนิดที่มีลักษณะพิเศษเฉพาะตัวคือจะเป็นมันเงา โดยปกติจะมีส่วนผสมของเนยโกโก้อย่างน้อยที่สุด 32% ทำให้มันสามารถคงตัวอยู่ในรูปของไขได้ดีกว่าชนิดเคลือบ ปกติแล้วจะใช้เฉพาะในร้านที่ทำขนมหวานเท่านั้น ส่วนใหญ่จะพบอยู่ในรูปของส่วนที่เคลือบอยู่ภายนอกผลไม้หรือหุ้มไส้ช็อกโกแลตอยู่ มีรสเผ็ด
Ganache
ช็อกโกแลตชนิดนี้จะมีลักษณะ ข้นมาก เป็นที่นิยม นำไปทำเค้กช็อกโกแลต Ganache ทำโดยการเทวิปปิงครีมที่นำไปอุ่นลงไปในชอคโกแลตสับในปริมาณที่เท่ากัน ทิ้งไว้สักครู่จนชอคโกแลตเริ่มละลายและคนให้เข้ากัน จะได้ส่วนผสมที่ข้นขึ้น อาจเติมเนยในปริมาณเล็กน้อยเพื่อเพิ่มความเงาให้กับกานาชด้วย
Confectionery Coating
เป็นช็อกโกแลตที่ใช้เคลือบลูกกวาด โดยนำไปผสมกับน้ำตาล นมผง น้ำมันพืช และสารปรุงแต่งรสชาติต่าง ๆ มีสีสันหลากหลาย ลูกกวาดที่ได้นี้ผงโกโก้จะมีไขมันต่ำ แต่จะไม่มีส่วนผสมของเนยโกโก้ เหมือนชนิดอื่น ๆ จึงแยกออกมาเป็นอีกประเภทหนึ่งได้

ยางพารา


ต้นยางพาราเป็นต้นไม้ยืนต้น มีถิ่นกำเนิดบริเวณลุ่มน้ำอเมซอน ประเทศบราซิล และเปรู ทวีปอเมริกาใต้ โดยชาวพื้นเมืองเรียกว่า คาอุท์ชุค [Caoutchouc] แปลว่าต้นไม้ร้องไห้ จนถึงปี พ.ศ. 2313 (1770) โจเซฟ พริสลี่ จึงพบว่า ยางสามารถนำมาลบรอยดำของดินสอได้ จึงเรียกว่าว่า ยางลบหรือตัวลบ [Rubber] ซึ่งเป็นศัพท์ใช้ในอังกฤษและฮอลแลนด์เท่านั้น ในอเมริกาใต้มีศูนย์กลางของการซื้อขายยางก็อยู่ที่เมืองท่าชื่อ พารา (Para) จึงมีชื่อเรียกว่า ยางพารา

กาแฟ


คำว่ากาแฟ เป็นคำที่มาจากคำว่า "เกาะหฺวะหฺ" ในภาษาอาหรับ (อาหรับ: قهوة‎)[10][11] ซึ่งสันนิษฐานว่าเพี้ยนมาจากแคว้นคัฟฟาของเอธิโอเปีย ซึ่งมีการเพาะปลูกกาแฟ หรือไม่ก็มาจากคำว่า qahwat al-būnn ซึ่งหมายถึง "ไวน์แห่งถั่ว" ในภาษาอารบิก แล้วเพี้ยนเป็น กาห์เวห์ ในภาษาตุรกี ก่อนที่จะเป็น caffè ในภาษาอิตาเลียน และเป็น คอฟฟี (Coffee) ในภาษาอังกฤษ ซึ่งได้มีการใช้ครั้งแรกในช่วงต้นถึงกลางคริสต์ศตวรรษที่ 16 หลังจากนั้นก็เป็นคำว่า กาแฟ ในภาษาไทย

เชื่อกันว่ากาแฟถูกค้นพบครั้งแรกโดยเด็กเลี้ยงแพะชาวอาบิสซีเนีย ที่ชื่อว่า คาลดี ในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 9 จากการสังเกตพบว่า แพะดูกระปรี้กระเปร่าขึ้นเมื่อกินเมล็ดกาแฟป่า จากเอธิโอเปีย กาแฟได้แพร่กระจายไปยังอียิปต์และเยเมน และในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 15 กาแฟได้แพร่ไปทั่วตะวันออกกลางทั้งหมด รวมทั้ง เปอร์เซีย ตุรกีและแอฟริกาเหนือ

ในปี ค.ศ. 1583 เลโอนาร์ด เราวอล์ฟ แพทย์ชาวเยอรมัน ได้บรรยายถึงกาแฟหลังจากท่องเที่ยวในดินแดนตะวันออกใกล้เป็นเวลากว่าสิบปีไว้ว่าดังนี้


“ เครื่องดื่มที่มีสีดำเหมือนหมึก ใช้รักษาโรคภัยได้หลายชนิด โดยเฉพาะอย่างยิ่งโรคที่เกี่ยวกับท้อง ผู้ดื่มจะดื่มในตอนเช้า มันเป็นการนำน้ำและผลไม้จากไม้พุ่มที่เรียกว่า bunnu ”

ในช่วงก่อนศตวรรษที่ 16 กาแฟถูกปลูกโดยชาวอาหรับเท่านั้น ชาวอาหรับหวงแหนพันธุ์กาแฟมาก แต่ในที่สุดเมล็ด กาแฟก็ออกมาสู่โลกกว้าง เนื่องจากการค้าขายระหว่างเวนิซกับแอฟริกาเหนือ อียิปต์และตะวันออกกลางที่เจริญขึ้น ทำให้อิตาลีได้รับสินค้าใหม่ ๆ เข้ามา ซึ่งรวมไปถึงกาแฟด้วย หลังจากนั้น กาแฟก็ได้แพร่กระจายไปทั่วยุโรป

เนื่องจากได้รับการยอมรับว่าเป็นเครื่องดื่มของคริสเตียนโดยสมเด็จพระสันตะปาปาคลีเมนต์ที่ 8 ในปี ค.ศ. 1600 แม้ว่าจะมีการร้องเรียนให้ยกเลิก "เครื่องดื่มมุสลิม" ก็ตาม


ร้านกาแฟแห่งแรกในทวีปยุโรปเปิดในอิตาลีในปี ค.ศ. 1645 ชาวดัตช์เป็นชนชาติแรกที่นำเข้ากาแฟ เป็นจำนวนมาก และฝ่าฝืนข้อห้ามของอาหรับเกี่ยวกับการส่งออกพืชและเมล็ดที่ยังไม่ได้คั่ว


เมื่อ Pieter van den Broeck ลักลอบนำเข้ากาแฟจากเอเดนไปยังยุโรปในปี ค.ศ. 1616 ในภายหลังชาวดัตช์ยังได้นำไปปลูกในเกาะชวาและซีลอน ซึ่งผลผลิตกาแฟจากเกาะชวาสามารถส่งไปยังเนเธอร์แลนด์ได้ในปี ค.ศ. 1711 และด้วยความพยายามของบริษัทอินเดียตะวันออกของอังกฤษ ทำให้กาแฟได้รับความนิยมในประเทศอังกฤษเช่นเดียวกัน

กาแฟเข้าสู่ประเทศฝรั่งเศส ในปี ค.ศ. 1657 และเข้าสู่ประเทศออสเตรียและโปแลนด์ หลังจาก ยุทธการแห่งเวียนนา เมื่อปี ค.ศ. 1683 หลังจากที่ทหารสามารถยึดเสบียงของทหารออตโตมานเติร์กที่พ่ายแพ้ในการรบครั้งนั้น

หลังจากนั้น กาแฟได้เข้าสู่ทวีปอเมริกาเหนือในช่วงของยุคอาณานิคม แต่ว่าไม่ได้รับความนิยมมากเท่ากับในทวีปยุโรป

อย่างไรก็ตาม ในช่วงสงครามปฏิวัติอเมริกัน ปริมาณความต้องการกาแฟได้เพิ่มสูงขึ้นอย่างรวดเร็วจนพวกพ่อค้ากักตุนสินค้าเอาไว้และปั่นราคาขึ้นอย่างกะทันหัน ซึ่งบางส่วนเป็นผลมาจากการที่พ่อค้าชาวอังกฤษไม่สามารถนำเข้าชาได้มากนัก


หลังจากสงครามปี 1812 ในช่วงที่อังกฤษงดการนำเข้าชาเป็นการชั่วคราว ชาวอเมริกันจึงหันมาดื่มกาแฟแทน และมีปริมาณความต้องการสูงมากในช่วงสงครามกลางเมืองอเมริกัน ไปพร้อม ๆ กับการพัฒนาของเทคโนโลยีการต้มเหล้าทำให้กาแฟกลายเป็นสินค้ายอดนิยมในสหรัฐอเมริกาจนถึงปัจจุบัน

วันจันทร์ที่ 14 ธันวาคม พ.ศ. 2552

สาเหตุที่ทำให้การอ่านหนังสือขาดประสิทธิภาพ

การอ่านทีละคำ

การอ่านออกเสียง

ปัญหาเกี่ยวกับศัพท์เฉพาะ

การใช้วิธีเดียวกันตลอดในการอ่านทุกประเภท

การใช้นิ้วชี้ข้อความตามไปด้วยในขณะอ่าน

การอ่านซ้ำไปซ้ำมา

การขาดสมาธิในการอ่าน

5 เคล็ดลับการอ่านหนังสือสอบ

1. คนที่อ่านหนังสือคนเดียวมักจะเสียเปรียบ คนที่อ่านเป็นกลุ่มมักจะได้เปรียบ เนื่องจากอ่านคนเดียวอาจเข้าใจคลาดเคลื่อน หรืออ่านไม่ตรงจุด หรือ(บางคน)อาจอ่านไม่รู้เรื่อง ถ้าอ่านเป็นกลุ่มโอกาสอ่านผิดจุดจะยากขึ้น และยังพอช่วยกันฉุดได้

** แต่วิธีนี้ไม่เหมาะสำหรับคนชอบแชตนะค่ะ อิอิ

2. ควรอ่านเองที่บ้านก่อน 1 รอบ และจับกลุ่มติว เสร็จแล้วกลับไปอ่านทบทวนเองที่บ้านอีก 1 รอบ (ต้องรับผิดชอบตัวเอง)


3. ผลัดกันติว ใครเข้าใจเรื่องใดมากที่สุดก็ให้เป็นผู้ติว ข้อสำคัญ อย่าคิดแต่จะเป็นผู้รับอย่างเดียว จงคิดว่าเป็นผู้ให้ก่อน แล้วคนอื่น (ถ้าไม่แล้งน้ำใจเกินไป) ก็จะให้ตอบเอง


4. ผู้ติวจะได้ทบทวนเนื้อหา และจะรู้ว่าตัวเองขาดอะไร บกพร่องอะไร จากคำถามของเพื่อนที่สงสัย บางครั้งเพื่อนก็สามารถเสริมเติมเต็มในบางจุดที่ผู้ติวขาดหายได้


5. การติวจะทำให้เกิดการ Share ความคิด และฝึกวิธีทำงานร่วมกับผู้อื่น ช่วยพัฒนาทั้งด้าน IQ และ EQ (อ่านเองจะพัฒนาแต่ IQ)


เป็นยังไงบ้างคะ กับวิธีอ่านหนังสือที่เน้นการจับกลุ่มซะหน่อยนึง แต่ลองทำดูสิ อาจจะได้ผลนะ

10 เคล็ดลับ จำง่าย การอ่านหนังสือสอบ CoolYellLaughing

1. ปิด ทีวี คอมพิวเตอร์ อินเตอร์เน็ต mp3 มีสติอยู่กับหนังสือ

2. นั่งสมาธิสัก 5 นาที

3. อ่านหนึ่งรอบ แล้วสรุป โดยไม่เปิดหนังสือ

4. เช็คคำตอบ

5. อ่านอีกหนึ่งรอบ

6. สรุปใหม่ เปิดหนังสือได้เอาไว้อ่าน

7. ถ้าทำเป็น Mind Mapping จะอ่านง่ายขึ้น

8. มีเอกสารอะไรที่ครูแจก อย่าคิดว่าไม่สำคัญ

9. ท่องในส่วนที่ครูพูดย้ำบ่อยๆ อย่างน้อย 2 ครั้ง/คาบ

10. ก่อนวันสอบ ห้ามหักโหมอ่านหนังสือถึงเที่ยงคืน เพราะสมองจะไม่รับรู้อะไรทั้งสิ้น

-------------------------------------------------------------------------------------------------

วันอังคารที่ 8 ธันวาคม พ.ศ. 2552

เตือนภัย “รองเท้าส้นสูง” ก่อโรค


สาวๆ ที่ชื่นชอบ รองเท้าส้นสูง ต้องระวังโรคร้าย ที่มากับ รองเท้าส้นสูง อ่าน บทความ สุขภาพ เรื่อง รองเท้าส้นสูง ก่อนที่จะเสียเงิน ...



เสี่ยงนิ้วเท้าเก-งอ และเข่าเสื่อมก่อนวัย


“โอย! ปวดเหลือเกิน ใส่รองเท้าส้นสูงเนี่ย ทำอย่างไรดี”


รองเท้า เป็นปัจจัยที่สำคัญในการดำรงชีวิต เพราะนอกจากช่วยป้องกันเท้าจากการบาดเจ็บ ความสกปรก และเชื้อโรคต่างๆ แล้ว ปัจจุบันรองเท้ายังมีข้อดี ช่วยเสริมสร้างบุคลิกที่ดีแก่ผู้สวมใส่ด้วย


จะเห็นได้ว่ารองเท้ามีหลายแบบหลายลักษณะ แต่ที่นิยมในหมู่สุภาพสตรีเวลานี้คือ “รองเท้าส้นสูง” เพราะ เมื่อสวมใส่แล้วนอกจากช่วยเพิ่มความสูง น่องดูเรียว ขาดูยาวขึ้นในขณะที่เท้าดูเล็กลง ยังทำให้ผู้ใส่รู้สึกมั่นใจขึ้น สวยขึ้น แต่ถ้ารองเท้าสูงมากเกินไปอาจก่อให้เกิดโทษได้ภัยจากรองเท้าส้นสูง



สิ่งแรก คือ เกิดอาการปวดเท้า เจ็บเท้า เนื่องจากเท้าต้องเขย่งตลอดเวลา และถ้ารูปของรองเท้าส้นสูงเป็นแบบหน้าแคบ หัวแหลม จะทำให้บีบหน้าเท้า ยิ่งเพิ่มความเจ็บปวดแก่ผู้สวมใส่ยิ่งขึ้น และอาจเกิดเท้าผิดรูปตามมา เช่น นิ้วหัวแม่เท้าเก นิ้วเท้างอ เป็นต้น



นอกจากนี้ การใส่รองเท้าส้นสูงจะทำให้น้ำหนักลงบริเวณฝ่าเท้าด้านหน้ามากกว่าส้นเท้า ทำให้เกิดอาการเจ็บบริเวณฝ่าเท้าด้านหน้า อาจมีหนังด้านแข็ง หรือการอับเสบของเอ็นที่เท้าตามมาด้วย



บาง คนใส่รองเท้าส้นสูงเดินทั้งวัน จนเกิดอาการปวดน่องในเวลากลางคืน และบางคนถึงกับเป็นตะคริวเพราะการยืนเขย่งบนรองเท้าส้นสูงนานๆ ทำให้กล้ามเนื้อน่องต้องทำงานหนักขึ้น จนน่องเกร็งเป็นลูกก็มี




ฉะนั้น การใส่รองเท้าส้นสูง นอกจากมีผลกระทบต่อเท้าและน่องแล้ว อาจทำให้ปวดเข่า เข่าเสื่อมก่อนวัย เนื่องจากการเดินบนรองเท้าส้นสูงจะมีแรงกระแทกมาที่ข้อเข่ามากกว่าการใส่ รองเท้าส้นเตี้ย ซึ่งถ้าใส่รองเท้าส้นสูงแล้วเดินจ้ำเร็วๆ หรือลงบันไดด้วยแล้ว แรงกระแทกก็ยิ่งมากขึ้นตามน้ำหนักตัวและความเร็วในการเดิน และหากใส่รองเท้าที่สูงมากๆ เวลายืนมักจะตามมาด้วย หลังจะแอ่นมากขึ้น และเกิดอาการปวดหลังตามมาอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้



ข้อแนะนำดีๆ ในการใช้รองเท้าส้นสูง แน่นอนว่าสิ่งที่ดีที่สุด คือ หลีกเลี่ยงการใส่รองเท้าส้นสูง แต่อาจเป็นวิธีที่ทำไม่ได้ในผู้หญิงบางคน เนื่องจากหน้าที่การงานบังคับให้ต้องใส่รองเท้ามีส้น หรือถ้าไม่ใส่รองเท้าส้นสูงก็อาจทำให้ขาดความมั่นใจ


เรามี 8 วิธีดีๆ มาแนะนำดังนี้ค่ะ


1.ใส่รองเท้าส้นสูงเฉพาะเวลาจำเป็น โดยเฉพาะรองเท้าสูงมากๆ อาจมีรองเท้าส้นเตี้ยสำหรับเปลี่ยนในรถหรือที่ทำงาน



2.เลือกรองเท้าอย่าให้ส้นสูงเกินไป เช่น 1 1/2 - 2 1/2 ก็พอ


3.เลือกรองเท้าที่มีความกว้างของหน้ารองเท้าพอๆ กับหน้าเท้าของเรา พยายามเลี่ยงรองเท้าหัวแคบ หัวแหลม


4. ถ้าต้องการเพิ่มความสูงให้กับตนเองมากๆ ควรเลือกรองเท้าส้นตึกที่มีส้นทั้งทางด้านหน้าและด้านหลัง เพราะความสูงจริงๆ จะไม่มาก ไม่ต้องเขย่งเท้ามาก แต่ถ้าเลือกรองเท้าส้นตึกสูงๆ แนะนำรองเท้าที่มีสายรัดทางด้านหลังหรือรองเท้ารัดส้น เปลือยส้นเพราะช่วยให้รองเท้ากระชับกับเท้า จะได้ไม่ต้องเกร็งเท้ามากขณะก้าวเดิน



5.เลือกรองเท้าส้นหนาดีกว่าส้นเข็ม เพื่อป้องกันเท้าพลิก


6.ส้นรองเท้าที่ทำจากยางดีกว่าไม้แข็งๆ เพราะช่วยดูดซับแรงกระแทกได้


7.หลังจากใส่รองเท้านานๆ ถ้ามีอาการปวดเท้า ควรแช่น้ำอุ่นเพื่อผ่อนคลายกล้ามเนื้อเท้า


8. ถ้าน่องตึง ควรบริหารน่องโดยการใช้มือ 2 ข้างยันกำแพง ย่อเข่าข้างหนึ่งชิดกำแพง ส่วนขาอีกข้างยืดให้ตึงค้างไว้พอทนได้ ทำสลับข้างท่าละ 10 ครั้ง เพื่อยืดกล้ามเนื้อจะช่วยให้ไม่ปวดน่อง ปัญหา สุขภาพเท้าป้องกันได้ แน่นอนที่สุด รองเท้าที่ดีที่สุดของแต่ละคน แต่ละสถานการณ์ ย่อมไม่เหมือนกัน



ถ้าต้องไปงานราตรี เดินบนพรมไม่กี่ก้าว การเลือกสวมรองเท้าส้นสูง ส้นเข็ม ก็ไม่มีปัญหา แต่ถ้าต้องเดินถนน วิ่งไล่รถเมล์ รองเท้าส้นเตี้ยหน่อยน่าจะดีกว่า