วันอังคารที่ 28 กันยายน พ.ศ. 2553

รู้ทันกลโกงเครื่องสำอางในอินเตอร์เน็ต

ในยุคสังคมไซเบอร์เฟื่องฟู กิจกรรมทุกอย่างดำเนินได้ด้วยอินเตอร์เน็ต

เพียงปลายนิ้วสัมผัสก็สามารถทำให้คุณได้เห็นหน้าพูดคุยกับคนที่อยู่ไกลถึงอีกฟากของ

โลกได้อย่างง่ายดาย การสื่อสาร ค้นหาข้อมูล หรือทำธุรกิจต่างๆ ไม่ใช่เรื่องยุ่งยากหรือ

เปลืองค่าใช้จ่ายอีกต่อไป นับได้ว่าสะดวกสบายมากทีเดียวค่ะ


ในปัจจุบันมีธุรกิจเครื่องสำอางที่หันมาเอาดี ประชาสัมพันธ์กันในอินเตอร์เน็ต

มากเพราะประหยัด ไม่มีค่าเช่าหน้าร้าน สามารถอัพเดทข้อมูลต่างๆได้จำนวนมาก

เราจะเห็นได้ว่าธุรกิจนี้เติบโต ขยายวงกว้างอย่างรวดเร็ว

แต่ก็น่ากังวลพอๆ กับการ
ขยายข้อมูลของการหลอกลวง...


ผู้บริโภคจะรู้ได้อย่างไรว่าสินค้าชนิดนี้ดีจริงเหมือนที่โฆษณา ?
ซื้อของทางอินเตอร์เนตจะได้ของจริงหรือเปล่า?
มั่นใจได้อย่างไรว่าไม่ถูกหลอก?
มีแต่คนรีวิวว่าใช้แล้วดี ดีจริงหรือ หน้าม้าหรือเปล่า จะรู้ได้อย่างไร?
ของถูก ของดี หรือแจกฟรีไม่มีในโลก
วันนี้ เรามีคำตอบ มาช่วยให้ทุกท่านไม่หลงกลตกเป็นเหยื่อของมิจฉาชีพในวงการไซเบอร์

และฉลาดในการเลือกซื้อผลิตภัณฑ์ด้วยค่ะ

1. ผู้บริโภคจะรู้ได้อย่างไรว่าสินค้าชนิดนี้ดีจริงเหมือนที่โฆษณา ?

คำตอบง่ายๆ คือ ไม่มีใครตอบได้ว่าสินค้านั้นดีจริง จนกว่าจะได้ลองใช้ด้วยตนเองค่ะ เพราะผิวหน้าของแต่ละคน แตกต่างกัน เพื่อนเราใช้ดี เรามาใช้ตามเพื่อนอาจไม่ดีแบบที่เพื่อนบอกก็ได้ ยี่ห้อที่เพื่อนแพ้เรามาใช้งานอาจหน้าเด้ง ไปเลยก็มี ดังนั้น ความคาดหวังว่าจะใช้ให้เห็นผลดี ขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายอย่าง เช่น สภาพผิวหน้าของแต่ละคน

การใช้ครีมอย่างสม่ำเสมอต่อเนื่อง วิธีการใช้งานที่ถูกต้อง
พึงระลึกอยู่เสมอว่า เครื่องสำอางที่ดี คนขายที่มีจรรยาบรรณจะไม่ใช้คำทำนองว่า

“หน้าขาวใน7วัน” , “รักษาสิว ฝ้า
หายขาด” ,“เปลี่ยนสีผิวถาวร” , “ได้ผล100 %” เนื่องจากเป็นลักษณะต้องห้ามประกาศโฆษณาของทาง
อย.มีความผิดตามกฏหมาย เพราะเครื่องสำอางไม่ใช่ยาจึงไม่มีผลในการรักษา และในกรณีเปลี่ยนสีผิวก็ไม่เป็น
ความจริงเพราะพื้นฐานผิวคนเราไม่อาจเปลี่ยนแปลงเมลานินที่มาแต่กำเนิดได้ โฆษณาดังกล่าวจึงเข้าข่ายหลอกลวง

2. ซื้อของทางอินเตอร์เนตจะได้ของจริงหรือเปล่า? จะมั่นใจได้อย่างไรว่าไม่ถูกหลอก?
ปัจจุบันมีมิจฉาชีพที่ใช้ช่องทางทางอินเตอร์เนตในการหลอกลวงอยู่มาก เราจะพบเห็นข่าวได้บ่อยๆ ว่ามีผู้ถูกหลอกให้ ซื้อสินค้าทางอินเตอร์เนต เมื่อโอนสตางค์เสร็จกลับไม่ได้ของที่สั่งซื้อ โทรตามติดต่อไม่ได้ ปิดเว็บหนีไป หรืออาจได้ของที่ไม่มีคุณภาพ ไม่ตรงกับที่ตกลงไว้ แล้วไม่รู้จะตามหาคนขายที่ไหน สิ่งที่สามารถใช้ประกอบการตัดสินใจ สั่งซื้อได้ คือ

2.1 ให้ดูความน่าเชื่อถือว่าเว็บไซท์นั้นมีคนเข้ามาใช้งานนานหรือยัง ดูจำนวนคนเข้า วันที่เปิดใช้งานที่หน้าแรก

(เว็บไซท์ขายของออนไลน์มาตรฐานทั่วไปจะมีข้อมูลเหล่านี้แสดงอยู่) บางเว็บไซท์มีรูปผู้ใช้งานจริง มีการถามตอบ
อัพเดทตลอดทุกวัน ก็แสดงถึงความนิยมของผู้ใช้งานและความใส่ใจจากคนขาย หากเป็นเว็บที่ไม่มีการอัพเดทข้อมูล

ข้อมูลที่อัพเดทล่าสุดแสดงไว้เมื่อหลายเดือนก่อนก็ให้สันนิษฐานว่าไม่มีการดูแลจากเจ้าของเว็บหรือคนขายไซท์เลย

( แต่ก็อย่าประมาทนะจ๊ะ เพราะมีโปรแกรมเปลี่ยนตัวเลขจำนวนคนเข้าให้ดูเยอะๆน่าเชื่อถือได้เหมือนกัน)

2.2 ปัจจุบันเว็บไซท์ที่ทำการค้าจดทะเบียน ขายของออนไลน์อย่างถูกต้อง มีความน่าเชื่อถือต้องลงทะเบียนเปิดเผยข้อมูล

ตัวตนในกรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์ อาจสังเกตที่เครื่องหมายถูก

trust ที่ปรากฏอยู่ที่หน้าเว็บไซท์
หรืออาจลองสอบถามข้อมูลว่าคนขายนั้นมีการจดทะเบียนการค้าพาณิชย์ถูกต้องหรือไม่ ขอดูเอกสารราชการผ่านทางอีเมล

เพราะหากเขามีความจริงใจแก่ผู้บริโภคก็จะจดทะเบียนแสดงข้อมูลตัวตนได้ และไม่กลัวที่จะแสดงเอกสารให้คุณทราบ
หรืออาจสอบถามว่ามีการจดทะเบียนบริษัทหรือไม่ เพราะผู้ขายที่มุ่งทำการค้าอย่างจริงจัง มีที่อยู่หลักแหล่งเชื่อถือได้แน่นอน
จะจดทะเบียนบริษัท ทำให้ผู้ซื้อมั่นใจในกรณีที่ต้องการสอบถามปัญหาการใช้งานก็สามารถติดตามได้ไม่ยาก
หากเว็บไซท์ใดไม่ลงชื่อที่อยู่บริษัท หรือที่อยู่ประกอบการเลย มีแต่เบอร์มือถือก็สันนิษฐานได้ว่าอาจไม่มีตัวตนอยู่จริง
และไม่มีความจริงใจในการเปิดเผยแหล่งที่อยู่ของตน


2.3สินค้าที่อ้างว่าใช้ดี เห็นผลไว เป็นคนละเรื่องกับการมี อย.
ถามคนขายเลยค่ะว่ามี อย ไหม เครื่องสำอางทุกตัวแม้แต่
ส่วนผสมสมุนไพรก็ต้องมี อย.ค่ะ ให้ตรวจสอบก่อนทุกครั้งว่าสินค้าผ่านการจดแจ้ง มีเลขทะเบียน อย จริงหรือไม่
เข้าไปดูตัวอย่างวิธีค้นว่าเครื่องสำอางไหนที่ได้รับอย.จากเว็บไซท์ของ อย.เอง ได้ที่ http://www.fujicream.com/

customize-ความมั่นใจกับฟูจิ(full)-87826-1.html เพื่อความแน่ใจ เชื่อตัวเอง เชื่อ อย. อย่าเชื่อโฆษณาหรือบุคคล
กล่าวอ้างโดยไม่มีหลักฐานค่ะ
3. มีแต่คนรีวิวว่าใช้แล้วดี ดีจริงหรือ หน้าม้าหรือเปล่า จะรู้ได้อย่างไร?
ต้องยอมรับว่ากระแสความปรารถนาดี ใช้ดีแล้วบอกต่อ การแสดงตัวตนความเป็นเพื่อน เพื่อ ถาม-ตอบ ในเวบบอร์ด
กำลังเป็นที่น่าเชื่อถือ และนิยมใช้เพื่อความ “เนียน” มากกว่าการแม่ค้าจะซื้อแบนเนอร์ พื้นที่โฆษณากันแบบตรงๆ
เมื่อคุณพบเห็นข้อความแสดงความหวังดี หรือบอกต่อ ต้องใช้วิจารณาฟังความมากๆ หลายๆ ด้าน อย่าเพิ่งปักใจ
เชื่อคำพูดของการถามตอบในเวบบอร์ด เพราะนั่นอาจทำให้คุณกำลังตกเป็น “เหยื่อ” อยู่ก็ได้
3.1 มีการตั้งกระทู้ มักมีคนเข้ามาตอบกระทู้บอกว่า

“ เมื่อก่อนหน้าเรามีสิวเยอะเลย แต่ใช้อันนี้แล้วดีหายเกลี้ยง
ลองโทรมาคุยกะเราสิ…”
3.2 เมื่อมีการถามถึงเครื่องสำอางยี่ห้ออื่นๆ ที่ตนเองไม่ได้ขาย หรือที่ตนเองไม่ชื่นชอบ ไม่อยากเชียร์
จะใช้วิธีตอบว่า
“ใช้แล้วไม่ดี ใช้...ดีกว่า” , “อย่าใช้เลย ยี่ห้อนี้ชื่อเสียงไม่ดีนะ” , “ขอเตือนด้วยความหวังดีว่า
อย่าเสี่ยงดีกว่า” หรือแม้แต่สร้างกระแสด้วยการโพสหัวข้อโจมตีซ้ำๆ ให้คนเข้าใจว่าเครื่องสำอางยี่ห้อนั้นไม่ดีจริงๆ
มีการแทคทีมกันถามตอบ ชงเรื่องแบบเป็นกระบวนการ คนหนึ่งถาม อีกคนหนึ่งเข้ามาตอบ อีกคนหนึ่งอาจทำทีเข้ามา
กล่าวหาให้เสียหาย ดิสเครดิต ในระยะเวลาใกล้กัน และเมื่อตรวจสอบดู ip address อาจพบว่ามาจากหน่วยงานเดียวกัน
หรือปลอมไอพีเอา
3.3 สำหรับเวบบอร์ดใหญ่ๆที่มีระบบสมาชิก หากสงสัยชื่อเมมเบอร์ใดที่มักตอบกระทู้โจมตีเรื่องใดเป็นพิเศษ
คุณอาจเสริชชื่อเมมเบอร์คนนั้นตามกูเกิ้ลดู บางครั้งจะพบว่าชื่อสมาชิกนั้นๆ ขายหรือมีความเกี่ยวข้องกับเครื่องสำอาง
ยี่ห้ออื่นอยู่ตามเว็บอื่น เท่านี้คุณก็ทราบแล้วว่าสาเหตที่เขาโพสเชียร์ยี่ห้อใด หรือรีวิวยี่ห้อใดเป็นพิเศษนั้นเพราะ...อะไร
หรือบางคนอาจไม่ได้เป็นแม่ค้าแต่เคยใช้เครื่องสำอางนั้น(แต่ใช้ถูกของปลอมแล้วหน้าพัง) ทำให้เกิดอคติเหมารวมว่า
เครื่องสำอางนั้นไม่ดี แท้ที่จริงแล้วตัวเองไปซื้อของปลอมราคาถูกมาใช้ หรือแม้แต่ทำไม..เขาจึงจงเกลียดจงชังใส่ร้าย
อีกยี่ห้อเสียนี่กระไร... ก็เพราะเป็นคู่แข่งมาแกล้งกันนี่ไง เป็นต้น
4. จำไว้ว่าของถูก ของดี ของฟรีไม่มีในโลก
4.1 อย่าใช้เครื่องสำอางที่ราคาถูกกว่าท้องตลาดเกินจริง ยกตัวอย่าง เช่น มีเว็บไซท์กล่าวอ้างว่าสามารถนำเข้ามา
ได้ถูกกว่าเคาท์เตอร์ตามห้างราคาถูกกว่าครึ่งถึงครึ่ง หรือกลุ่มคนที่อ้างว่าหิ้วของมาขายเองก็ใช่ว่าจะเป็นของแท้เสมอไป
ตรวจสอบความน่าเชื่อถือก่อนว่าสามารถไว้วางใจได้หรือไม่ จำไว้ว่าไม่มีใครขายของขาดทุน เขาขายคุณราคาไหน
ต้นทุนเขาต้องถูกกว่าที่ขายให้คุณอยู่แล้ว หากว่างอาจลองไปเดินหาข้อมูลแหล่งขายของปลอมแถวตลาดโรงเกลือ
ตลาดบินไทยดอนเมือง ที่ทางตำรวจและ อย.ประสานงานจับของละเมิดลิขสิทธิ์บ่อยๆ จะพบว่าของที่คุณเข้าใจว่านำมา
จากเมืองนอก อาจกวนครีมผสมกันเองแถวนี้แหละค่ะ
4.2 ของดี นั้นดีจริงไหม ดีเว่อร์ขนาดทาหน้าแล้วสิวยุบใน 1 วัน หน้าขาวภายใน 3วัน 7 วัน ครีมอะไรจะดีอย่างนี้...
ฝ้าที่เคยเป็นก็หาย หน้าขาวเร็วสมใจ ราคาสบายกระเป๋า ซื้อครีมกระปุกเป็นพันเป็นหมื่นยังไม่ขาวไวเท่ากับครีมตัวนี้เลย เจอแบบนี้ให้ระวังนะคะ ลองเลิกใช้ครีมตัวนั้นสิคะ เลิกสัก10-15 วัน อาการจะเริ่มออกชัดเจน คือ หน้าดำ สิวขึ้น
มีผื่นแดงคัน พวกนี้คืออาการของการติดสารอันตรายพวกปรอท ไฮโดรควินโนน สเตียรอยด์ พวกนี้ทำให้หน้าขาวไว แต่หยุดใช้ไม่ได้ อาการออกค่ะ ต้องตกเป็นทาสเครื่องสำอางเถื่อนผิดกฏหมายแถมใช้ไปหน้าพังถาวรรักษาไม่ได้
ไม่คุ้มกับของราคาถูกเลยค่ะ คำกล่าวอ้างว่าของดี ของถูกอย่าเชื่อจนกว่าจะมีหลักฐานยืนยัน เช่น ตรวจสอบ อย ได้ มีช่องทางการจำหน่ายที่น่าเชื่อถือ ชัดเจน (ไม่ใช่ขายแผงลอยตามตลาดนัดแบกะดิน) มีcall center บริการตลอดเวลา มีหน้าร้านแบบเปิด เผยในห้างสรรพสินค้า ขายในร้านสะดวกซื้อทั่วประเทศ (เพราะกว่าห้างจะให้นำไปวางขายได้ต้องมีกระบวนการ ตรวจสอบที่เข้มงวดมากหลายชั้นอยู่แล้ว ก็เป็นความมั่นใจอย่างหนึ่งว่ามีคนตรวจสอบรับรองให้เราระดับนึงแล้วว่าครีมปลอดภัย)
หรือ มีสาขาที่ถูกต้องลงทะเบียนอย่างเป็นทางการตรวจสอบได้ว่าขายที่ไหนบ้าง มีสำนักงานใหญ่ มีเบอร์โทร 02
ไม่ใช่เบอร์มือถือเติมเงินทั่วไป ประสานงานได้ชัดเจน ทำตามกฏและให้ความร่วมมือกับหน่วยงานราชการ
จำไว้ว่าแม่ค้าเขาเห็นเรารู้ และตรวจสอบเองเป็นก็จะไม่กล้าหลอกเรา เพราะไม่ใช่หมูให้เชือดกันได้ง่ายๆ ดังนั้นใช้เกณฑ์คร่าวๆ ตามนี้ในการคุ้มครองสิทธิให้ตัวคุณเองนะคะ เพื่อจะได้มีใบหน้าที่ขาวใส ไร้สิว มีสุขภาพผิวที่ดีแบบ
ปลอดภัย ไม่เจอใครหลอกค่ะ
ขอขอบคุณข้อมูลจากบริษัทฟูจิครีมดอทคอมจำกัด
www.fujicream.com ค่ะ

วันศุกร์ที่ 17 กันยายน พ.ศ. 2553

The Little Prince




The Little Prince (French: Le Petit Prince), published in 1943, is French aviator Antoine de Saint-Exupéry's most famous novella. Saint-Exupéry wrote it while living in the United States. It has been translated into more than 190 languages and has sold more than 80 million copies,[1][2] making it the biggest selling French-language book and one of the best selling books ever.

An earlier memoir by the author recounts his aviation experiences in the Saharan desert. He is thought to have drawn on these same experiences for use as plot elements in The Little Prince. Saint-Exupéry's novella has been adapted to various media over the decades, including stage, screen and operatic works.[3][4]


Plot
The narrator's point of view is interwoven in the first nine chapters and he makes alternating use of first person, second person, and third person narrative styles. In the first chapter, we meet the narrator who, as a young boy, uses his imagination to draw pictures. But, when he shows them to the adults, they spurn them, and he quickly decides to abandon his drawing and grow up. As such, he decides to become a pilot, which eventually leads to his crash in the Sahara desert and his meeting with the Prince.

The prince asks the narrator to draw a sheep. Not knowing how to draw a sheep, the narrator shows the prince a picture that he had previously drawn: a boa with an elephant in its stomach (a drawing which previous viewers mistook for a hat). "No! No!" exclaims the prince. "I don't want a boa constrictor from the inside or outside. I want a sheep!" He tries a few sheep drawings, which the prince rejects. Finally he draws a box, which he explains has the sheep inside. The prince, who can see the sheep inside the box just as well as he can see the elephant in the boa, says "That's perfect."

The home asteroid or "planet" of the little prince is introduced. His asteroid (planet) is the size of a house and named B612, which has three volcanoes (two active, and one dormant) and a rose, among various other objects. The actual naming of the asteroid B612 is an important concept in the book that illustrates the fact that adults will only believe a scientist who is dressed or acts the same way as they do. According to the book, the asteroid was sighted by a Turkish astronomer in 1909 who had then made a formal demonstration of asteroid B612 to the International Astronomical Congress. "No one had believed him on account of the way he was dressed." Then, a Turkish dictator forced him and his people to dress like Europeans. He went again with his new European style dress to present asteroid B612 to the International Astronomical Congress and they fully believed him and this time credited him with the work.

The prince spends his days caring for his "planet", pulling out the baobab trees that are constantly trying to take root there. The trees will make his little planet turn to dust if they are not removed. Throughout the book he is taught to be patient and to do hard work to keep his "planet" in order. The prince falls in love with a rose that takes root in his planet, who returns his love but is unable to express it due to her own pettiness.

The prince leaves to see what the rest of the universe is like, and visits six other asteroids (numbered from 325 to 330) each of which is inhabited by an adult who is foolish in his own way:

The King who can "control" the stars, but only by ordering them to do what they would do anyway. He then relates this to his human subjects; it is the citizens' duty to obey, but only if the king's demands are reasonable. He orders the prince to leave as his ambassador.
The Conceited Man who wants to be admired by everyone, but lives alone on his planet. He cannot hear anything that is not a compliment.
The Drunkard/Tippler who drinks to forget that he is ashamed of drinking.

The Businessman, chapter 13The Businessman who is constantly busy counting the stars he thinks he owns. He wishes to use them to buy more stars. The prince then goes on to define property. The prince owns the flower and volcanoes on his planet because he cares for them and they care for him, but because one cannot maintain the stars or be of use to them, he argues, the Businessman cannot own them.
The Lamplighter who lives on an asteroid which rotates once a minute. Long ago, he was charged with the task of lighting the lamp at night and extinguishing it in the morning. At that point, the asteroid revolved at a reasonable rate, and he had time to rest. As time went on, the rotation sped up. Refusing to turn his back on his work, he now lights and extinguishes the lamp once a minute, getting no rest. The prince empathizes with the Lamplighter, the only adult he has met who cares about something other than himself.
The Geographer who spends all of his time making maps, but never leaves his desk to examine anywhere (even his own planet), considering that is the job of an explorer. The Geographer is in any case very doubting of any explorer's character and would most likely disregard the report. He does not trust things he has not seen with his own eyes, yet will not leave his desk. Out of professional interest, the geographer asks the prince to describe his asteroid. The prince describes the volcanoes and the rose. "We don't record flowers," says the geographer, "because they are only ephemeral". The prince is shocked and hurt to learn that his flower will someday be gone. The geographer then recommends that he visit the Earth.
[edit] The Visit to Earth
Chapter 16 begins: "So then the seventh planet was the Earth." On the Earth, he starts out in the desert and meets a snake that claims to have the power to return him to his home planet (A clever way to say that he can kill people, thus whomever he touches, he can "send back to the land from whence he came.") The prince meets a desert-flower, who, having seen a caravan pass by, tells him that there are only a handful of men on Earth and that they have no roots, which lets the wind blow them around making life hard on them. The little prince climbs the highest mountain he has ever seen. From the top of the mountain, he hopes he will see the whole planet and find people, but he sees only a desolate, craggy landscape. When the prince calls out, his echo answers him, and he mistakes it for the voices of humans. He thinks Earth is unnecessarily sharp and hard, and he finds it odd that the people of Earth only repeat what he says to them.

Eventually, the prince comes upon a whole row of rosebushes, and is downcast because he thought that his rose was the only one in the whole universe. He begins to feel that he is not a great prince at all, as his planet contains only three tiny volcanoes and a flower he now thinks of as common. He lies down in the grass and weeps.

Chapter 21: is the author's statement about human love in that the prince then meets and tames a fox, who explains to the prince that his rose is unique and special, because she is the one whom he loves. He also explains that in a way he has tamed the flower, as she has tamed him, and that this is why he now feels responsible for her.

Chapter 22–23: The prince then meets a railway switchman and a merchant who provide further comments on the ridiculousness and absurdity of much of the human condition. The switchman tells the prince how passengers constantly rush from one place to another aboard trains, never satisfied with where they are and not knowing what they are after, only the children amongst them bothering to look out of the windows. The merchant tells the prince about his product, a pill which eliminates thirst and is therefore very popular, saving people fifty-three minutes a week; the prince replies that he would use the time to walk and find fresh water.

Chapter 24: the narrator's point of view changes again from third person to first person. The narrator is dying of thirst, but then he and the prince find a well. After some thought, the prince bids an emotional farewell to the narrator, explaining to him that while it will look as though he has died, he has not, but rather that his body is too heavy to take with him to his planet. He tells the narrator that it was wrong of the narrator to come and watch, as it will make him sad. The narrator, at this point, is so devastated with grief, as he realizes what will inevitably happen, that he can barely speak. He tries to commit to not leaving the prince's side. The prince allows the snake to bite him and the next morning, when the narrator looks for the prince, he finds the boy's body has disappeared. The story ends with a portrait of the landscape where the meeting of the prince and the narrator took place and where the snake took the prince's life. The picture is deliberately vague but the narrator also makes a plea that anyone encountering a strange child in that area who refuses to answer questions should contact the narrator immediately.

The little prince is represented as having been on Earth for one year, and the narrator ends the story six years after he is rescued from the desert.

[edit] Inspiration
In The Little Prince, Saint-Exupéry talks about being stranded in the desert beside a crashed aircraft. This account clearly draws on his own experience in the Sahara, an ordeal he described in detail in his book Wind, Sand and Stars.

On December 30, 1935 at 14:45, after 18 hours and 36 minutes in the air, Saint-Exupéry, along with his navigator André Prévot, crashed in the Libyan Sahara desert. They were attempting to break the record for the Paris-to-Saigon flight and win a prize of 150,000 francs. Their plane was a Caudron C-600 Simoun n° 7042 (serial F-ANRY). The crash site is thought to have been located in the Wadi Natrum. Both survived the crash, only to face rapid dehydration. Their maps were primitive and ambiguous. Lost in the desert with a few grapes, a single orange, and some wine, the pair had only one day's worth of liquid. After the first day, they had nothing. They both began to see mirages, which were quickly followed by more vivid hallucinations. Between the second and the third day, they were so dehydrated that they stopped sweating altogether. Finally, on the fourth day, a Bedouin on a camel discovered them and administered a native rehydration treatment that saved Saint-Exupéry and Prévot's lives.

In the desert, Saint-Exupéry had met a fennec (desert sand fox), which most likely inspired him to create the fox character in the book. In a letter written to his sister Didi from Cape Juby in 1918, he tells her about raising a fennec that he adored.

Patachou, Petit Garçon, by Tristan Derème, is another probable influence for The Little Prince.[citation needed]

Antoine may have drawn inspiration for the little prince's appearance from himself as a youth. Friends and family would call him "le Roi-Soleil" ("Sun King"), due to his golden curly hair.

The little prince's reassurance to the Pilot that his dying body is only an empty shell resembles the last words of Antoine's younger brother François: "Don't worry. I'm all right. I can't help it. It's my body" (Airman's Odyssey).


http://www.lepetitprince.com/

เจ้าชายน้อย

เจ้าชายน้อย (ฝรั่งเศส: Le Petit Prince; อังกฤษ: The Little Prince) เป็นนวนิยายที่มีชื่อเสียงมากที่สุดของอองตวน เดอ แซง-เตกซูเปรี นักเขียนชาวฝรั่งเศส ตีพิมพ์ครั้งแรกในปีค.ศ. 1943 อองตวน เดอ แซง-เตกซูเปรีเขียนงานเขียนชิ้นนี้ขณะพำนักอยู่ที่นิวยอร์ก เจ้าชายน้อยถือได้ว่าเป็นหนังสือขายดีติดอันดับโลก นวนิยายชุดนี้ได้รับการจัดแปลกว่า 190 ภาษาและมียอดจำหน่ายกว่า 80 ล้านเล่มทั่วโลก[1][2] ในหลายประเทศได้มีการนำเอาเนื้อเรื่องจากหนังสือไปสร้างเป็นการ์ตูน ภาพยนตร์ ละครเวที อุปรากรและการแสดงรูปแบบอื่นๆ

เนื้อเรื่องย่อ


เจ้าชายน้อยได้ออกเดินทางเพื่อค้นหาถึงคุณค่าของมนุษย์โดยได้พบกับผู้คนมากหน้าหลากหลาย และเห็นพฤติกรรมที่ไร้คุณค่าอย่างแท้จริง จนกระทั่งมาพบกับคนจุดแสงตะเกียงที่ทำคุณประโยชน์ให้กับเพื่อนมนุษย์นี้เองที่ทำให้เจ้าชายน้อยเกิดความประทับใจ

รูปแบบวรรณกรรม
แรกเริ่มเดิมที อองตวน เดอ แซง-เตกซูเปรีผู้ประพันธ์มีจุดประสงค์เขียนเพื่อเสียดสีสังคมเท่านั้น ทว่าเนื้อหาที่มีแง่คิดดีๆเหล่านี้ได้ถูกนักวิจัยจัดให้งานเขียนชิ้นนี้อยู่ในกลุ่มของวรรณกรรมเยาวชนแทนในเวลาต่อมา นอกจากนี้ยังมีข้อคิดสอดแทรกดีๆที่คล้ายคลึงกับหลักพุทธธรรมด้วยเช่นกัน เช่น หลักอนิจจัง

แด่ เลออง แวร์ท


ฉันต้องขอโทษคุณหนูทั้งหลาย ที่ได้อุทิศหนังสือเรื่องนี้ให้แก่ผู้ใหญ่คนหนึ่ง ฉันมีเหตุผลแก้ตัวอย่างจริงจังหลายข้อทีเดียว กล่าวคือ ผู้ใหญ่คนนี้เป็นเพื่อนดีที่สุดที่ฉันมีอยู่ในโลก ข้อแก้ตัวอีกข้อหนึ่งคือ ผู้ใหญ่คนนี้สามารถเข้าใจอะไรได้ทุกอย่าง แม้แต่หนังสือสำหรับเด็ก ฉันมีข้อแก้ตัวข้อที่สามด้วย คือ ผู้ใหญ่คนนี้อาศัยอยู่ในประเทศฝรั่งเศส ที่ซึ่งเขาได้พบกับความหิวโหยและหนาวเย็น เขาต้องการคำปลอบประโลม ถ้าหากว่าข้อแก้ตัวดังกล่าวนี้ยังไม่เพียงพอ ฉันก็อยากจะอุทิศหนังสือเล่มนี้ให้แก่เด็กที่ผู้ใหญ่คนนี้เคยเป็นมาก่อน ผู้ใหญ่ทุกคนเคยเป็นเด็กมาก่อนทั้งนั้น (แต่น้อยคนนักที่จะหวนระลึกได้) ฉะนั้นฉันจึงขอแก้คำอุทิศใหม่เป็น


แด่ เลออง แวร์ท
เมื่อครั้งที่เขายังเป็นเด็กเล็ก ๆ

เกี่ยวกับผู้เขียน

เกี่ยวกับผู้เขียน แซงเตกซูเปรี เกิดที่เมืองลียอง เมื่อวันที่ ๒๙ มิถุนายน พ.ศ.๒๔๔๓ เป็นคนที่มีนิสัยชอบเล่นมาแต่เยาว์วัย อายุมากเขาก็ยังชอบเล่นอยู่ เขามักหวนระลึกถึงเวลาอันสนุกสนานในวัยเด็ก ๆเสมอ โดยเฉพาะมารดาผู้อ่อนหวานซึ่งได้เลี้ยงดูอบรมเขามาโดยตลอด เพราะบิดาถึงแก่กรรมเมื่อเขาอายุได้เพียง ๔ ขวบ หลังจากนั้นเขาได้เข้าเรียนในโรงเรียนประจำแห่งหนึ่ง ในระยะแรกเขาไม่สู้ชอบใจนัก ดังที่เคยเขียนในหนังสือเล่มหนึ่งว่า
เขาแกล้งทำเป็นไม่สบายเพื่อไม่ต้องเข้าชั้นเรียนเมื่อได้ยินเสียงระฆังตีเวลาเข้าเรียน ส่วนเวลาพักออกมาเล่นและเวลารับประทานอาหาร เสียงระฆังนั้นฟังดูมีชีสวิตชีวาและมีความหมายสำหรับเด็กนักเรียนคนอื่น ๆ ตั้งแต่นั้นมาเขาก็เลิกทำเป็นไม่สบายอีก เพราะเขารู้สึกเหมือนตนเองถูกลงโทษ ถูกทอดทิ้งไม่มีใครเหลียวแล ต้องกินยาขม นอนอยู่บนเตียงชุ่มด้วยเหงื่อ วันเวลาผ่านไปอย่างเชื่องช้าเหมือนไม่มีโมงยาม

เมื่อสอบชั้นมัธยมศึกษาตอนปลายได้แล้ว เขาตั้งใจเรียนต่อเตรียมทหารเรือที่โรงเรียนแซงต์หลุยส์ในกรุงปารีส แต่สอบเข้าไม่ได้เพราะไม่ยอมทำเรียงความเรื่อง “ความรู้สึกของทหารที่กลับจากสงคราม” เขาบอกว่าเขาไม่สามารถบรรยายความรู้สึกซึ่งเขาไม่เคยประสบนั้นได้ เขาจึงไปรับราชการทหารเป็นนักบินอยู่ที่เมืองสตาร์บูร์คและฝึกหัดบินจนได้รับใบอนุญาตเป็นนักบินอาชีพ เริ่มทำงานที่เมืองตูลูส เป็นนักบินประจำเส้นทางสาย ตูลูส-คาซาบลังกา แล้วต่อมาถูกส่งไปเป็นหัวหน้าหน่วยประจำสถานีที่กางจูบีในแอฟริกา
ณ ที่นี้เอง แซงเตกซูเปรี ได้ตระหนักว่า อาณาจักรของมนุษย์เรานี้อยู่ในใจของเราแต่ละคนนั่นเอง ทั้งนี้เนื่องจากเขามีชีวิตอยู่ในวงสังคมที่จำกัด มีเพียงเพื่อนนักบินด้วยกันไม่กี่คน ซึ่งนาน ๆ จะบินผ่านมาและมีผู้บังคับการป้อมที่มาเยี่ยมเยียนเป็นครั้งคราว นอกจากนั้นก็มีแต่ทะเลทรายสุดลูกหูลูกตา งานของเขามีหน้าที่ส่งวิทยุติดต่อกับศูนย์หน่วยงาน คอยให้อาณัติสัญญาณนักบิน จัดถุงพัสดุไปรษณีย์ และหน้าที่ที่สำคัญที่สุดคือคอยช่วยเหลือออกค้นหานักบินที่ประสบอุบัติเหตุซึ่งมีเป็นประจำทุกเดือน เพราะสมัยนั้นเป็นสมัยเริ่มบุกเบิกทางด้านการบิน ซึ่งทั้งนี้เขาต้องเป็นทั้งช่างซ่อมเครื่องบินและแพทย์ไปในขณะเดียวกันด้วย จากประสบการณ์เหล่านี้ เขาได้นำมาเขียนเป็นนวนิยายเรื่องแรกของเขา คือ เรื่อง Courrier Sud พิมพ์ในปี พ.ศ.๒๔๗๐

หลังจากการไปฝึกฝนเพิ่มเติม เขาได้รับแต่งตั้งให้เป็นผู้จัดการบริษัทขนส่งทางอากาศบริษัทหนึ่งที่กรุงบัวโนสไอเรสในอเมริกาใต้ ในปี พ.ศ.๒๔๗๓ เขาได้รับอิสริยาภรณ์ เลซียอง ตอนเนอร์ ในฐานะนักบินพลเรือนที่ปฏิบัติได้ผลดีที่กางจูบี
ต่อมาเมื่อมีการเปิดสายการบินเพิ่มถึงอเมริกาใต้ ทำให้นักบินจำต้องเสี่ยงชีวิตปฏิบัติการในตอนกลางคืนด้วย เพื่อแข่งขันกับการขนส่งทางเรือ เละเพื่อผลประโยชน์ต่อส่วนรวม นวนิยายเรื่องใหม่ของเขาจึงได้ชื่อว่า “บินกลางคืน” (Vol de Nuit) เรื่องนี้ได้รับรางวัล Grix F?mina ประจำปี พ.ศ.๒๔๗๔

ต่อมาเขาได้แต่งงานกับแม่หม้ายชาวอเมริกาใต้ชื่อ Consuelo Suncin แล้วกลับมาเป็นนักบินขับเครื่องบินสะเทินน้ำสะเทินบกระหว่างเมือง มาร์แซย และอัลเช และประสบอุบัติเหตุครั้งหนึ่งเนื่องจากปีกเครื่องบินหัก เขาจึงหันไปสนใจการถ่ายทำภาพยนตร์โฆษณาให้แก่บริษัท Air France ต่อมาไปเป็นผู้สื่อข่าวหนังสือพิมพ์ Paris Soir ประจำกรุงมอสโก แล้วย้ายไปเป็นผู้สื่อข่าวสงครามกลางเมืองสเปนที่กรุงมาดริด

ในปี พ.ศ.๒๔๗๘ เขาทดลองบินรวดเดียวจากปารีสถึงไซ่ง่อนเป็นระยะทางถึง ๑๒,๐๐๐ กม. เพื่อทำลายสถิติ แต่เครื่องบินขัดข้องต้องร่อนลงกลางทะเลทรายห่างจากกรุงไคโรประมาณ ๒๐๐ กม. เขาต้องเดินฝ่าทะเลทรายอยู่ห้าวันจึงพบกับกองคาราวาน

เมื่อเขาทราบข่าวว่ามีการเปิดเส้นทางบินไปสหรัฐอเมริกา แซงเตกซูเปรี ก็อดไม่ได้ที่จะเข้าร่วมบุกเบิกสายกานบินใหม่นี้ด้วย ครั้งหนึ่งเครื่องบินเกิดอุบัติเหตุขณะร่อนลงที่กรุงนิวยอร์ก เขาได้รับบาดเจ็บสาหัสจนต้องพักรักษาตัวอยู่นาน อันเป็นโอกาสให้เขาเขียนเรื่อง Terre des Hommes ได้สำเร็จในปี พ.ศ.๒๔๘๒ และได้รับรางวัล Grand Prix du Roman จากราชบัณฑิตยสภาฝรั่งเศส เรื่องนี้มีชื่อเสียงแพร่หลายมากในสหรัฐอเมริกา และได้รับเลือกเป็นหนังสือประจำเดือนมีชื่อในภาคภาษาอังกฤษว่า Wind, Sand and Stars

เมื่อเกิดสงครามขึ้น แซงเตกซูเปรี ถูกเกณฑ์ให้เป็นผู้สอนเทคนิคการบิน แต่เขาอยากออกบินเองทั้ง ๆ ที่นายแพทย์ห้าม เขาได้วิ่งเต้นจนได้เข้าร่วมหน่วยบินลาดตระเวนหมู่ ๒/๓๓ ซึ่งเขาได้เขียนประสบการณ์ระยะนี้ไว้ในเรื่อง Gilote de Guerre เรื่องนี้พิมพ์ในสหรัฐฯ เพราะขณะนั้นฝรั่งเศสถูกยึดครอง แซงเตกซูเปรี ได้ช่วยทำงานในหน่วยต่อต้านที่สหรัฐฯด้วย เขาได้พูดวิทยุเรียกร้องให้ชาวฝรั่งเศสสามัคคีกัน ทั้งยังได้เขียนหนังสือปลุกใจชื่อ Lettre â un Otage ในเดือนเมษายน ปี พ.ศ.๒๔๘๖ นั้นเอง Le Petit Prince ก็ได้ถูกตีพิมพ์ขึ้นอีกเรื่องหนึ่งในสหรัฐฯ

เมื่ออายุมากขึ้น โอกาสที่จะเป็นนักบินก็น้อยลง แต่เขาก็พยายามวิ่งเต้นจนได้ไปร่วมหน่วยลาดตระเวนหมู่ ๒/๓๓ อีก และใช้เวลาว่างเขียนเรื่อง Citadelle ทั้งนี้เพราะเขาได้รับอนุญาตให้บินจำกัดเพียงไม่กี่ครั้ง แต่เขาก็พยายามขอออกบินอยู่เสมอ ๆ จนกระทั่งเมื่อวันที่ ๓๑ กรกฎาคม พ.ศ.๒๔๘๘ เขาได้ออกบินลาดตระเวนเหนือดินแดนฝรั่งเศสแถบเมืองเกรอนอง เขาออกบินแต่เช้าจนบ่ายก็ยังไม่กลับ ทุกคนตระหนักดีว่าในเวลานั้นน้ำมันต้องหมดแล้ว จึงสรุปว่าเครื่องบินของเขาคงต้องประสบอุบัติเหตุ หรือไม่ก็ถูกเครื่องบินขับไล่ของเยอรมันยิงตก

แซงเตกซูเปรี เสียชีวิตระหว่างปฏิบัติงานต่อต้านเพื่ออิสรภาพของฝรั่งเศส เป็นการปฏิบัติหน้าที่ป้องกันประเทศ จึงสมควรได้รับยกย่องเป็นวีรบุรุษโดยแท้

วันพุธที่ 15 กันยายน พ.ศ. 2553

Bouillabaisse










La bouillabaisse (de l'occitan provençal « bolhabaissa », de bolh « il bout » et abaissa « il abaisse », en parlant du feu) est un plat traditionnel marseillais de poisson originaire de la Grèce antique. Il se compose d'une soupe de poissons que l'on mange avec des croûtons de pains tartinés souvent aillés, de rouille, de poissons servis entiers et de pommes de terre.

A Marseille existe "La charte de la bouillabaisse". C'est une recette détaillée pour garder le goût de la bouillabaisse.


Origine [modifier]
Ce plat est originaire de la Grèce antique, de l'époque de la fondation de Marseille (Massalia) au VIIe siècle av. J.-C. La population mangeait alors un simple ragoût de poisson nommé kakavia en Grec ancien, à partir de reste ou d'invendu de poissons ramenés par les pêcheurs.

Aujourd'hui, cuit dans l'eau ou du vin blanc, relevé d'ail, d'huile d'olive ou encore de safran.

La bouillabaisse apparaît également dans la mythologie romaine : il s'agit de la soupe que Vénus a fait manger à Vulcain pour l'apaiser jusqu'à l'endormissement, dans le but d'aller batifoler avec Mars.

Ce ragoût réalisé à partir des poissons qui restaient au fond du panier du pêcheur est devenu la bouillabaisse provençale qu'on connaît, servie en deux temps : la soupe, puis les poissons.

วันอังคารที่ 7 กันยายน พ.ศ. 2553

ประเทศไอซ์แลนด์

ไอซ์แลนด์ มีชื่อทางการคือ สาธารณรัฐไอซ์แลนด์ (ไอซ์แลนด์: Ísland หรือ Lýðveldið Ísland; IPA: [ˈliðvɛltɪθ ˈistlant]) เป็นประเทศนอร์ดิกในยุโรปเหนือ ตั้งอยู่บนเกาะในมหาสมุทรแอตแลนติกเหนือ ระหว่างกรีนแลนด์ นอร์เวย์ และสหราชอาณาจักร มีเมืองหลวงคือเรคยาวิก

ไอซ์แลนด์มีประชากรประมาณสามแสนคน มีพื้นที่ประเทศรวม 103,000 ตารางกิโลเมตร[1] นับว่ามีประชากรเบาบาง จากดัชนีการพัฒนามนุษย์ ปี พ.ศ. 2549 ของสหประชาชาติ ไอซ์แลนด์เป็นประเทศที่มีการพัฒนาสูงที่สุดในโลก[2] ไอซ์แลนด์เป็นสมาชิกของนาโต เอฟตา อีอีเอ และโออีซีดี แต่ไม่เป็นสมาชิกสหภาพยุโรป

คำว่า "ไอซ์แลนด์" ที่ใช้ในภาษาไทยนั้นทับศัพท์จากคำศัพท์ภาษาอังกฤษว่า "Iceland" ส่วนชื่อในภาษาไอซ์แลนด์คือ "Ísland" (อีสลันต) คำว่า ís แปลว่าน้ำแข็ง และ land แปลว่าแผ่นดินหรือประเทศ

วันพุธที่ 1 กันยายน พ.ศ. 2553

แคว้นทั้ง 22 ของฝรั่งเศส

แต่เดิมประเทศฝรั่งเศสมีชนดั้งเดิมมายึดครองอยู่คือชาว "Gaulois"พวกเขาได้เรียกประเทศฝรั่งเศสว่า LE GAULE

1.ILe-de-France ที่ตั้งอยู่ที่ Bassin Parisien อาหารประจำแคว้นได้แก่ เนย,สถานที่สำคัญของแคว้นได้แก่ Versailles ราชวังของพระเจ้าLouisXIV ปารีสเป็นเมืองหลวงของฝรั่งเศส

2.Centre อยู่ทางทิศตะวันออกของแคว้น Pays de Loire เป็นเมืองหลวงประจำแคว้นผลผลิตที่สำคัญ ได้แก่ พืช,ผักสวนครัว,องุ่น,ข้าวโพด

3. Pays de Loire แคว้นนี้มีชายแดนทางตะวันตกติดกับแคว้น Bretagne ทิศตะวันออกติดกับแคว้น Centre ทิศตะวันออกเฉียงใต้ติดกับที่ราบสูง มีเมืองหลวงชื่อว่า Nantes ผลผลิตที่สำคัญได้แก่ ข้าวสาลี,ข้าวโพด,ไร่องุ่น ผลิตภัณฑ์ที่สำคัญคือเหล้าองุ่นขาว แคว้นนี้มีปราสาทสวยงามมากมายที่สุดในฝรั่งเศส

4.Bretagne เป็นแคว้นที่มีลักษณะเป็นแหลมยื่นไปในมหาสมุทรแอตแลนติค เป็นแคว้นเดียวในฝรั่งเศสที่ไม่มีการผลิตเหล้าองุ่น เนื่องจากสภาพอากาศไม่เหมาะสมที่จะปลูกองุ่น แต่มีการประมงเป็นหลักเพราะติดทะเล เมืองหลวงของแคว้นมีชื่อว่า Rennes ผลผลิตที่สำคัญได้แก่ พืชไร่ที่เราเรียกว่า le cidre ขนมที่ขึ้นชื่อคือ Crepes เมืองท่าที่สำคัญมีชื่อว่า Brest ส่วน Saint-Malo เป็นเมืองเก่าแก่ของแคว้น

5.La Basse-Normandie เป็นแคว้นที่มีชายฝั่งทะเลตะวันตกติดกับมหาสมุทรแอตแลนติค ชายฝั่งทางเหนือติดกับอ่าว Manche ทางตะวันออกเฉียงใต้ติดกับแคว้น Bretagne และทางทิศตะวันออกติดกับแคว้น Haute-Normandie เมืองหลวงประจำแคว้นชื่อ Caen ผลผลิตที่สำคัญคือ ข้าวสาลี,นม,การประมง สถานที่ท่องเที่ยวมีชื่อ Le Mont-Saint-Michel เป็นโบสถ์โบราณเก่าแก่สถาปัตแบบโรมัน สร้างอยู่บนโขดหินใกล้ทะเล

6.La Haute-Normandie มีเขตติดต่อกับแคว้น Basse-Normandie มีการผลิตเนยชั้นนำคุณภาพ และนำแอปเปิ้ลที่มีคุณภาพรสชาติอร่อย เมืองหลวงประจำแคว้นชื่อ Rouen

7.Picardie เป็นแคว้นที่ค่อนไปทางเหนือของฝรั่งเศส มีเมือง Amiens เป็นเมืองหลวง ผลผลิตสำคัญคือ ข้าวสาลี,การเลี้ยงสัตว์,การปลูกหัวผักกาดหวาน

8.Nord-Pas de Calais แคว้นนี้ตั้งอยู่เหนือสุดของประเทศฝรั่งเศส มีเมือง Lille เป็นเมืองหลวงประจำแคว้น เมืองนี้เป็นเมืองแรกที่มีรถไฟใต้ดินวิ่งป็นเมืองแรกในฝรั่งเศส แคว้นนี้ผลิตเบียร์อย่างมีคุณภาพ เนื่องจากภูมิประเทศเหมาะกับการปลูกข้าวสาลีและข้าวบาร์เล่ย์

9.Le Champagne แคว้นนี้ตั้งอยู่ทางทิศตะวันออกของแคว้น Picardie เมืองหลวงประจำแคว้นชื่อ Chalons-sur-Marne ผลผลิตสำคัญได้แก่ องุ่น,ข้าวสาลี,การเลี้ยงสัตว์ สถานที่สำคัญประจำแคว้นนี้คือ" โบสถ์เมือง Reims "ที่สร้างขึ้นด้วยสถาปัตยกรรม Gothique

10.Lorraine ที่ตั้งของแคว้นนี้อยู่ทางชายแดนประเทศเบลเยี่ยม,ประเทศลักเซมเบอร์กและประเทศเยอรมัน เมืองหลวงของแคว้นชื่อ Nancy ผลผลิตที่สำคัญได้แก่ องุ่น,ข้าวสาลีและการเลี้ยงสัตว์

11.Alsace เป็นแคว้นที่ตั้งอยู่ทางทิศตะวันออกของแคว้น Lorraine มีเมืองหลวงชื่อ Strasbourg ผลผลิตที่สำคัญได้แก่ ข้างสาลี,องุ่น,ข้าวโพด,ยาสูบ เครื่องดื่มที่มีชื่อเสียงประจำแคว้นได้แก่ เหล้าองุ่นขาวคุฌภาพเยี่ยม

12.Franche-Comte แคว้นนี้ตั้งอยู่ระหว่างแคว้น Bourgogne และประเทศสวิสเซอร์แลนด์ เมืองหลวงชื่อว่า Besacon ผลผลิตสำคัญได้แก่ ข้าวสาลี,ขนมปัง,เครื่องเทศ นาฬิกาชั้นนำมักจะผลิตที่นี้เป็นสินค้าส่งออก อาหารดังประจำแคว้นเนื่องจากว่าแคว้นนี้ผลิตเบียร์ได้มากจึงมีเบียร์คุณภาพ,เนยคุณภาพดี

13.La Bourgogne ตั้งอยู่ทางใต้ของแคว้น Champagne, อยู่ทางตะวันออกของ Pays de Loire ทางทิศตะวันตกของ Franche-Comte และทิศเหนือของแคว้น Rhone-Alpes เมืองหลวงชื่อ Dijon ผลผลิตสำคัญได้แก่ ข้าวสาลี,นม,เหล้าองุ่น อาหารดังประจำแคว้นมีชื่อว่า ไก่อบเหล้า,หอยทากอบ เหล้าองุ่นและเหล้าชนิดอื่นก็มีชื่อเสียงเช่นเดียวกันสถานที่ท่องเที่ยวที่สำคัญคือ พระราชวังของดยุ๊ก

14.Rhone-Alpes ตั้งอยู่ทางตอนใต้ของแคว้น Bourgogne และ Franche-comte เมืองหลวงมีชื่อว่า Lyon ผลผลิตที่สำคัญได้แก่ องุ่น,การเลี้ยงสัตว์,ข้าวสาลี,ข้าวโพด

15. L'Auvergne เป็นแคว้นที่มีภูเขาไฟ ตั้งอยู่ทางภาคตะวันออกของแคว้น Limousin ทางทิศใต้ของแคว้น Bourgogne เมืองหลวงของแคว้นชื่อ Clermont-Ferrand ผลผลิตสำคัญได้แก่ ข้าวสาลี,ข้าวโพด,ข้าวบาร์เลย์ และมีสถานที่ท่องเที่ยวที่สำคัญได้แก่ โบสถ์ Notre-Dame

16.Limousin เป็นแคว้นที่มีการเลี้ยงแกะ ทางทิศตะวันตกของแคว้นเป็นที่ราบสูงกว้างใหญ่ ซึ่งล้อมรอบด้วยภูเขา เมืองหลวงชื่อ Limoges ผลผลิตสำคัญประจำแคว้นได้แก่ การเลี้ยงสัตว์ประเภทวัว แพะ แกะ สินค้าประจำแคว้นได้แก่ เครื่องปั้นดินเผา,เครื่องเคลือบลายคราม

17.Poitou-Charentes แคว้นนี้อยู่ทางทิศตะวันตกของแคว้น Limousin อยู่ทางทิศใต้ของแคว้น Centre เมืองหลวงของแคว้นชื่อ Poitiers สินค้าประจำแคว้นได้แก่ ข้าวสาลี,ข้าวโพด,การเลี้ยงสัตว์,องุ่น,เหล้า

18.Aquitaine เป็น แคว้นที่ตั้งอยู่มีชายฝั่งออกติดกับแนวมหาสมุทรแอตแลนติค เมืองหลวงชื่อ Bordeaux สินค้าของแคว้นคือ องุ่น,ยาสูบ,ข้าวสาลี,ข้าวโพด,การเลี้ยงสัตว์ และผลิตเหล้าคุณภาพดีมีลูกพรุนรสชาติดีนิยมกันมาก

19.Midi-Pyrenees ตั้งอยู่ทางทิศตะวันออกของแคว้น Aquitain และอยู่ทางตอนใต้ของแคว้น Auverne เมืองหลวงชื่อ Toulouse ซึ่งแคว้นนี้มีชื่อเสียงไปทั่วโลกว่าเป็นเมืองที่มีการผลิตเครื่องบิน ผลผลิตที่สำคัญของแคว้นได้แก่ เนย,เนยแข็ง

20.Lanquedoc-Roussillon เป็นแคว้นที่มีชายแดนติดต่อกับแคว้น Provence ทางตอนใต้ติดกับทะเลสาป เมืองหลวงชื่อ Montpellier ผลผลิตสำคัญประจำแคว้นคือ องุ่น,เหล้าไวน์ ,พืชผักสวนครัว,เหล้า สถานที่สำคัญได้แก่ Site เป็นเมืองท่าสำคัญ,เมือง Agen เป็นเมืองตากอากาศ

21.Provence-Cote d'Azur ตั้งอยู่ทางตอนใต้ของฝรั่งเศสติดกับทะเลเมดิเตอร์เรเนียนและชายแดนติดกัยอิตาลี เมืองหลวงของแคว้นชื่อ Marseille ผลผลิตที่สำคัญคือการปลูกดอก lavande ,การปลูกไร่องุ่น,การเพาะปลูกพืชผักสวนครัว

22.Corse แคว้นนี้ลักษณะเป็นเกาะอยู่ในทะเลเมดิเตอร์เรเนียนทางตอนใต้ของเมืองนีช เมืองหลวงชื่อ Ajaccio ผลผลิตสำคัญได้แก่ ลูกเกาลัด,องุ่น,ผลไม้,ผลิตภัณฑ์เนื้อสุกร,เนยแข็งจากนมแกะ,เหล้าองุ่นแดงและชมพู ล้วนแล้วแต่เป็นสิ่งเด่นของแคว้นCorse