วันอังคารที่ 30 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

10 วิธีพูดภาษาเด็ด

แชทเป็นภาษาอังกฤษ
น้องๆ อาจจะลองหาเพื่อนใหม่ทางอินเตอร์เน็ตแล้วแชทเป็นภาษาอังกฤษ นอกจากจะได้เพื่อนชาวต่างชาติเพิ่มแล้วก็ยังได้ฝึกใช้ภาษาด้วย ว่ากันว่าภาษาเนี่ยถึงเรียนมาแล้วไม่ได้ใช้ก็ไม่มีประโยชน์ ดังนั้นยิ่งได้ใช้บ่อยๆก็จะทำให้เราเก่งขึ้นชัวร์ค่ะ จะพิมพ์แชท หรือคุยกันทาง Skypeก็ยิ่งดีเลย แต่ยังไงก็ระวังเรื่องการคบเพื่อนทางอินเตอร์เน็ตด้วยนะคะ (ระวังเรื่องอะไรคงรู้เนาะ ^^)

ดูซีรีส์ต่างประเทศ
เป็นอีกวิธีฝึกภาษายอดฮิตที่นอกจากจะได้ฝึกการฟังแล้ว ยังทำให้เราเพลิดเพลินด้วย เคยเห็นน้องๆ บางคนเอาเทปกาวไปแปะบนทีวีเพื่อปิดซับไตเติ้ลก็เป็นไอเดียที่ดีไม่น้อยนะคะ เพราะเราจะได้ฝึกฟังสำเนียงที่แท้จริง นอกจากนี้เราจะได้เรียนรู้ศัพท์ใหม่ๆ ที่เป็นภาษาไว้พูด เช่น ศัพท์แสลงต่างๆ หรือศัพท์วัยรุ่นด้วยค่ะ

แปลทุกอย่างที่ขวางหน้า
มีน้องที่รู้จักคนหนึ่งเค้าใช้วิธีนี้ในการฝึกภาษาค่ะ เช่น เวลาที่เค้าต้องการสมัครสมาชิกเว็บไซต์ใดเว็บไซต์หนึ่ง เค้าก็จะอ่านรายละเอียดแบบไม่มีการข้ามเลยไม่ว่าจะเป็นเงื่อนไข และข้อตกลงในการสมัครซึ่งค่อนข้างยาว (และเราก็มักจะกดผ่านกันไป) แต่น้องคนนี้เค้าตั้งใจว่า ถ้าเค้ายังอ่านไม่ละเอียดก็จะไม่กดผ่านไปหน้าต่อไปเด็ดขาด เพราะถือเป็นการบังคับตัวเองให้ฝึกการอ่าน เผื่อเจอศัพท์คำไหนที่ไม่รู้ก็จะได้เปิดดิกหาความหมายได้ค่ะ

Social Network
ถือเป็นเรื่องใกล้ตัววัยรุ่นอย่างเราๆ มากโดยเฉพาะ Facebook และ Twitter ยิ่งอย่างหลังที่มีคนดังระดับโลกมาใช้กันเยอะมากๆ ดังนั้นก็ลองไป Follow เค้าดูนะคะ แล้วเวลาที่เค้า Tweet อะไรมา ก็ลองอ่านเพลินๆ ก็สนุกเหมือนกัน อิอิ ได้รู้เรื่องคนอื่นแถมได้ภาษาด้วยค่ะ 555+

จดศัพท์ไว้ติดตัว
น้องๆ อาจจะเคยเห็นสมุดจดศัพท์เล่มเล็กๆ น่ารักๆ นั่น แหละค่ะ ซื้อมาจดศัพท์ใส่ลงไปเลย ค่อยๆ จดเพิ่มวันละ 5 คำ จดไปท่องไปเรื่อยๆ เวลาอยู่บนรถแล้วรถติด หรือเวลาเข้าห้องน้ำจะถ่ายเบาถ่ายหนัก ก็สามารถหยิบมาท่องฆ่าเวลาได้ ช่วยทำให้เราไม่เหงาด้วยล่ะค่ะ (จริงๆ นะ)

วันอาทิตย์ที่ 28 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

25 ข้อที่คุณรู้แร้วจะต้องอึ้ง !!

เครดิต somoo cartoon otaku»S.✖.C« °•★•オタク ★•° เราขอขอบคุณ

25 ข้อ ที่คุณรู้แล้วต้องอึ้ง!!
คูณลองดูกันซิว่า..เรื่องพวกนี้ คุณรู้รึยัง!!!

1. กล้ามเนื้อที่แข็งแรงที่สุดในร่างกายคนเราคือ ลิ้น ก็ เอาไว้ฟาดฟันตอนประกบ
ปากกันไง

2.ผู้หญิงกระพริบตาบ่อยกว่าผู้ชายถึงสองเท่า และ มากกว่าถึงสามสิบครั้ง
เมื่อพวกเธออยู่สระว่ายน้ำ

3.ชื่อโหลที่สุดหาใช่ ?จอห์น? หรือ ?ฃาร่าห์? ไม่ แต่เป็น ?โมฮัมเหม็ด? ต่างหาก

4.คนเราไม่สามารถที่จะเลียข้อศอกของตัวเองได้

5.แมลงสาบหัวขาด สามารถมีชีวิตอยู่ต่อไปได่ถึง 9 วัน ก่อนที่มันจะอดอาหาร จนตาย

6.เวลาปลาหมึกยักษ์ หิวจัดเอามาก ๆ มันจะกินหนวดของมันเอง และ รู้มั้ยว่า
มันยังเป็นสัตว์ที่มีลูกตา ใหญ่ที่สุดในโลก

7.แมงมุมแม่หม้ายดำฃึ่งกลืนกินคู่ขาหลังจากการสมสู่ ยังสามารถหม่ำแมงมุม
ตัวผู้ได้ถึงวันละ 25 ตัวอีกด้วยร้ายกาจมากกกกก!

7.เตียงนอนในบ้านโดยทั่วไปแล้ว จะมีตัวเล็นและตัวไรฃ่อนอยู่ถึง 6 พันล้านตัว

9.ผึ้งจะทำกายบริหารก่อนจะบิน

10.การ์ตูนโดนัลด์ดั้กเคยถูกประกาศห้ามเผยแพร่ในฟินแลนด์ เพียงเพราะว่ามัน
ไม่สวมกางเกง ฮ่า ฮ่า

11.โดยถัวเฉลี่ย มนุษย์จะกินแมงมุมเข้าไป 8 ตัวตลอดชั่วชีวิตหนึ่ง ก็เวลา
ที่มันคลานเข้าไป ในปากตอนเราหลับปุ๋ยไง อึ๊ยยย! และรู้มั๊ยว่า คนส่วนใหญ่
นะกลัวแมงมุม มากกว่ากลัวตายฃักอีก

12.ถ้าคุณลากเส้นชอล์กผ่านฃวางทางเดินของมด มันจะไม่ยอมเดินผ่านข้ามไป

13.ในแต่ละวันผู้หญิงจะฉอเลาะมากถึง 7.000 คำต่อวัน ขณะที่ผู้ขายปริปากแค่
2.000 คำต่อวันเอง

14.คุณรู้หรือเปล่าว่า ไม่ว่าแผ่นกระดาษจะมีขนาดใหญ่แค่ไหน คุณไม่สามารถ
พับครึ่งได้ถึง 6 ทบ ไม่เชื่อลองดูฃิ

15.ครั้งหนึ่งชาวเบลเยี่ยมเคยพยายามใช้แมวเหมียวเป็นตัวส่งจดหมาย ไม่จำเป็น
ต้องบอกเลย ว่า ไม่มีทางสำเร็จผล

16.คุณรู้ไหมว่าโดยทั่วไปแล้วผู้หญิงจะกลืนกินลิพสติกลงท้องไปถึง 4 ปอนด์
ในตลอดชีวิตของเจ้าหล่อน

17.ตลอดทั้งชีวิตแล้ว คนทั่วไปจะใช้เวลาจูจุ๊บกันรวมแล้วเกือบสองอาทิตย์
เชียวนะ

18.เป็นไปไม่ได้เลยที่คุณจะ จามทั้งๆ ดวงตายังเปิด

19.เห็นชัดได้ว่า ลูกตาของคนเราคงขนาดเดิมมาตั้งแต่เกิด แต่จมูกกับหูนั้น
ไม่เคยหยุด การเจริญเติบโตเลย!

20.วอลท์ดิสนี่ย์ผู้สร้างสรรค์ตำนานการ์ตูนมิคกี่ย์เม้าส์นะ อันที่จริงแล้วเค้า
เป็นคนกลัวหนูจะตายไป[เค้าทำให้หนูดูน่ารักขึ้นงาย ^^]

21.เอาหัวโขกกับกำแพงซักหนึ่งชั่วโมง ช่วยเผาผลาญหลังงานได้ถึง150 แคลอรี่ย์

22. อัลมอลล์เป็นพืชตระกูลหนึ่งของพีช

23. โฆษณานาฬิกาทุกชิ้น .มักให้เข็มนาฬิกาหยุดอยู่ที่ 10:10 เพราะจะได้ดู
เป็นรูปใบ หน้ายิ้ม

24.ลายเสือเกิดขึ้นจากหนังของมัน ไม่ใช่จากขน

25. ร้อยละ 80 ของคนที่อ่านบทความนี้พยายามจะเลียข้อศอกตัวเอง!! [แหะๆๆ ใครบ้างหว่า ข้อสุดท้ายฮาสุดใช่อ๊าป่าว] อาจจะจริงนะเออ

อ่านกันขำๆนะเออ และเก็บไว้เป็นความรู้รอบตัวนะจ๊ะ

ข้าวกล่องบนรถไฟที่ญี่ปุ่น



























วันเสาร์ที่ 27 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

เยอรมนี - เกร็ดความรู้ที่ควรทราบ

Do
-ชาวเยอรมันรักความสะอาดและความมีระเบียบมาก การทิ้งขยะในที่สาธารณะเป็นสิ่งที่ผิดกฎหมาย และแม้จะทิ้งขยะในถังก็ต้องทิ้งให้ถูกต้อง
-ชาวเยอรมันขับรถเร็วแต่เคารพกฎหมายอย่างเคร่งครัด และไม่ประนีประนอม ดังนั้นถ้าต้องการขับรถเที่ยวเอง ต้องแน่ใจว่ารู้กฎจราจรจริงๆ อนึ่งถ้าขับรถผ่านไปพบอุบัติเหตุ จะต้องหยุดรถเพื่อให้ความ
ช่วยเหลือ มิฉะนั้นจะมีความผิดตามกฎหมาย ถ้าขับรถไปชนหรือเฉี่ยวรถที่จอดอยู่ โดยเจ้าของรถไม่ได้อยู่ในที่นั้น จะต้องคอยพบเจ้าของหรือถ้าคอยไม่ได้ต้องทิ้งที่อยู่ หรือเบอร์โทรศัพท์ที่ติดต่อได้ไว้ให้
เจ้าของรถ มิฉะนั้นจะเท่ากับละเมิดกฎหมายในระดับที่ร้ายแรงมาก
-โปรดให้ความช่วยเหลือแก่ผู้ที่เข็นรถเด็ก เช่น หลีกทางให้ไปก่อน ช่วยเปิดประตู หรือช่วยยกรถเด็ก


Don't
-ความเงียบสงบเป็นอีกสิ่งหนึ่งที่ชาวเยอรมันให้ความสำคัญมาก เพราะฉะนั้นโปรดรักษาความสงบ
การส่งเสียงเอะอะโวยวาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในวันอาทิตย์ทั้งวัน วันเสาร์ระหว่างเวลา 18.00 - 8.00น. และระหว่าง 12.00 - 15.00 น. วันธรรมดาระหว่าง 20.00 - 08.00 น. และระหว่าง 12.00 - 15.00 น.โดยหลักการแล้วเป็นสิ่งที่ผิดกฎหมาย
-ในการซื้อสินค้าหรือกระทำการใดก็ตามห้ามแซงคิว ผู้ที่มาก่อนย่อมจะต้องได้รับบริการก่อน การแซงคิวหรือเบียดเสียดเป็นการผิดมารยาทที่ร้ายแรงมาก
-สงครามโลกทั้ง 2 ครั้งและคำว่านาซี ไม่ควรอยู่ในหัวข้อสนทนากับชาวเยอรมัน



Let You Know
-ถ้าใช้บริการของการขนส่งมวลชน โปรดระมัดระวังอย่านั่งเก้าอี้ที่มีเครื่องหมายกากบาทสีขาว เพราะที่นั่งเหล่านี้เป็นที่นั่งสำรองสำหรับผู้ที่บาดเจ็บพิการหรือผู้ชรา
-ชาวเยอรมันโดยทั่วไปไม่ใช่คนยิ้มง่าย แต่เขาจะให้ความช่วยเหลือถ้าได้รับการขอร้องอย่างสุภาพ
-การจราจรในเยอรมนีเป็นแบบชิดขวา ทั้งนี้รวมถึงคนเดินถนนด้วย
-การตรงต่อเวลาเป็นมารยาทพื้นฐานที่สำคัญมาก
-การไปเยี่ยมเยียนชาวเยอรมันจะต้องนัดล่วงหน้าเสมอ ควรมีของขวัญเล็กๆ น้อยๆ เช่น ดอกไม้สักช่อ หรือไวน์ดีๆ สักขวดไปฝากเจ้าบ้าน และอย่าอยู่นานเกินไป ถ้าไม่ได้มีการเชิญรับประทานอาหาร
ล่วงหน้า ชาวเยอรมันจะไม่เชิญแขกให้อยู่รับประทานอาหาร
-ในการทักทายกันด้วยการสัมผัสมือ ผู้ที่อายุมากกว่า หรือสตรีจะเป็นฝ่ายยื่นมือให้ก่อน

วันศุกร์ที่ 26 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

เรื่องง่ายๆ ...ที่กลายเป็น "ห้ามทำ" ในต่างแดน !

เจอคนแก่ล้มหรือเป็นลมข้างทาง >> โทรเรียกรถพยาบาลดีที่สุด
ถ้าเป็นบ้านเรา เวลาเจอเหตุการณ์แบบนี้ ปกติเราก็จะต้องรีบเข้าไปช่วยดูใช่มั้ยคะ แต่ในเมืองนอกเนี่ย ต้องดูตาม้าตาเรือกันดีๆ ค่ะ เพราะบางทีถ้าเราไปช่วยพยุงเค้าขึ้นมาแล้วดันล้มกันไปอีกรอบ เรานี่แหละค่ะที่จะซวย เพราะคนแก่บางคนก็หัวหมอมากๆ เราช่วยก็หาว่าเรายุ่ง ยิ่งไปทำให้เค้าเจ็บ ดังนั้นทางที่ดี รีบโทรเรียกรถพยาบาลหรือโทรเรียกดับเพลิงก็ได้ค่ะ (ที่อเมริกา ดับเพลิงนี่ช่วยได้ทุกสถานการณ์)

เจอกันครั้งแรก >> อย่าถามอายุและอาชีพ
ถือเป็นเรื่องไม่สุภาพที่จะถามอายุและอาชีพ หรือแม้กระทั่งถามว่าแต่งงานแล้วรึยัง เพราะเค้าถือเป็นเรื่องส่วนตัว บางคนขนาดเจอกันหลายรอบแล้วเค้าก็ยังไม่กล้าที่จะถามเลยค่ะ เชื่อมั้ยคะว่า ครอบครัวเดียวกัน ขนาดพ่อแม่บางคนยังไม่รู้เลยว่าลูกตัวเองทำงานได้เงินเดือนเท่าไร เค้าถือเป็นเรื่องส่วนตัวและไม่ค่อยมีใครใส่ใจที่จะถามค่ะ

ผู้ชายขึ้นรถบัส >> ไม่ต้องลุกให้ผู้หญิงนั่งก็ได้
บางทีน้องๆ ผู้ชายไปเมืองนอกก็พกความเป็นสุภาพบุรุษไทยไปเต็มตัว เจนเทิลแมนเต็มที่ เวลาขึ้นรถบัสก็แมนสุดๆ ลุกให้ผู้หญิงนั่ง แต่รู้มั้ยคะว่า ผู้หญิงบางคนเค้าถือเป็นเรื่องดูถูกค่ะ หาว่าฉันไม่มีปัญญายืนเหรอถึงมาลุกให้นั่งเนี่ย เพราะฉะนั้นถ้าใครไปเมืองนอกจะเห็นชัดเลยว่า ไม่ค่อยมีผู้ชายที่ไหนลุกให้ผู้หญิงนั่งหรอกค่ะ บางทีเราก็แอบด่าในใจเนาะ อะไร(วะ) ทำไมไม่ลุกให้นั่ง แต่ที่นั่นเค้าถือเป็นเรื่องธรรมดาค่ะ ไม่ลุกให้นั่งก็ไม่เป็นไร .... แต่ปัจจุบันรู้สึกจะมีผู้ชายไทยบางคนเริ่มเลียนนิสัยแบบนี้มาเหมือนกันนะเนี่ยยยย 5555






เจอเด็กน่ารัก >> อย่าเล่นด้วยสุ่มสี่สุ่มห้า
เวลาเราเห็นเด็กน่ารักก็อู้ยยยย น่ารักจัง อยากเล่นด้วย ก็ไปลูบผมจับแก้ม เล่นด้วยคิกคักๆ แถมชวนแม่เด็กคุยด้วยอีก นี่กี่ขวบแล้วเหรอคะ ชื่ออะไรคะเนี่ย แต่ที่เมืองนอกเนี่ยถือเป็นเรื่องไม่ควรอย่างมากเลย เพราะถ้าเราไปเล่นกับลูกเค้าสุ่มสี่สุ่มห้า เค้าโทรเรียกตำรวจมาจับเราได้เลยนะคะ เพราะบางคนคิดว่าเราจะขโมยลูกเค้า ยิ่งถ้าเห็นเด็กน่ารักร้องอ๊อแอ๊อยากกินขนมในมือเราเนี่ย เป็นตายยังไงก็ห้ามให้ขนมเด็ดขาดค่ะ เพราะอาจโดนพ่อแม่เด็กเรียกตำรวจมาจับได้ หาว่าจะเอายาพิษให้กันอีกแน่ะ

วันพุธที่ 17 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

!! ความรู้รอบตัว เกี่ยวกับประเทศไทย !!

จังหวัดที่อยู่เหนือสุด จังหวัดเชียงราย

จังหวัดที่อยู่ใต้สุด จังหวัดนราธิวาส

จังหวัดที่มีพื้นที่น้อยที่สุด จังหวัดสมุทรสงคราม (มีพื้นที่ 399 ตร.กม.)

จังหวัดที่มีพื้นที่มากที่สุด จังหวัดเชียงใหม่ (มีพื้นที่ 22,993 ตร.กม.)

จังหวัดที่มีจำนวนประชากรน้อยที่สุด จังหวัดระนอง

จังหวัดที่มีจำนวนประชากรมากที่สุด จังหวัดกรุงเทพมหานคร

จังหวัดที่มีอาณาเขตติดต่อกับเขตจังหวัดอื่นๆมากที่สุด จังหวัดตาก มีเขตติดต่อกับจังหวัดอื่นๆ 9 จังหวัด

จังหวัดทางภาคใต้ของไทย ที่ไม่มีอาณาเขตติดต่อกับทะเลเลย จังหวัดยะลา,พัทลุง

ยอดเขาที่สูงที่สุด ยอดดอยอินทนนท์ สูง 2,580 เมตร จากระดับน้ำทะเล

ภูเขาสำคัญทางภาคเหนือ มี 5 เทือกเขาสำคัญคือ แดนลาว,เพชรบูรณ์,ตะนาวศรี,ผีปันน้ำ,ขุนตาล

ภูเขาที่ใหญ่ที่สุดทางภาคใต้ เทือกเขานครศรีธรรมราช

เกาะที่ใหญ่ที่สุดของไทย เกาะภูเก็ต กว้าง 20 กม. ยาว 45 กม.

เกาะที่เป็นท่าเรือสำคัญของไทย เกาะสีชัง

ทะเลสาบที่ใหญ่ที่สุด ทะเลสาบสงขลา มีพื้นที่ประมาณ 15 ตร.กม.

หนองน้ำที่ใหญ่ที่สุด หนองหาร อยู่ที่จังหวัด สกลนคร

แม่น้ำที่ยาวที่สุด แม่น้ำเจ้าพระยา รวมกับแม่น้ำปิง (หนึ่งในต้นกำเนิดแม่น้ำเจ้าพระยา)
มีความยาวรวม 850 กม.(เจ้าพระยา 300 กม.,แม่น้ำปิง 550 กม.) แม่น้ำเจ้าพระยาออกสู่ทะเลที่ จังหวัดสมุทรปราการ
คลองที่ยาวที่สุด คลองแสนแสบ ยาว 65 กม.
แหล่งเพาะพันธุ์ปลาที่ใหญ่ที่สุด บึงบรเพ็ด จังหวัดนครสวรรค์

น้ำตกที่สูงที่สุด น้ำตกสิริภูมิ อ.จอมทอง จ.เชียงใหม่

ถนนสายแรกในประเทศไทย ถนนเจริญกรุง สร้างขึ้นในรัชกาลที่ 5

ถนนสายที่ยาวที่สุด ถนนเพชรเกษม จากกรุงเทพมหานคร ถึง จ.นราธิวาส ยาว1,473 กม.

ทางรถไฟสายแรกของไทย ทางรถไฟสายกรุงเทพฯ-ปากน้ำ

ทางรถไฟสายที่ยาวที่สุด ทางรถไฟสายใต้ ยาวประมาณ 1,114 กม
.
อุโมงค์ที่ยาวที่สุด อุโมงค์ขุนตาล หรือ ถ้ำขุนตาล ที่ จ.ลำปาง

สะพานที่ยาวที่สุดของไทย สะพานติณสูลานนท์ จ.สงขลา
ข้ามมาจากบ้านเขาเขียวไปเกาะยอ และจากเกาะยอไปบ้านน้ำกระจาย มีความยาว 2,640เมตร

วนอุทยานแห่งชาติที่อยู่สูงที่สุด ภูกระดึง จ.เลย

ตึกที่สูงที่สุดของไทย ตึกใบหยกทาวเวอร์ ตึกที่สูงที่สุด เนื่องจากมีความสูงถึง 41 ชั้น

ส่วนที่แคบที่สุดของไทย บริเวณ คอคอดกระ จ.ประจวบคีรีขันธ์ กว้างประมาณ 10กม.

จังหวัดที่มีฝนตกมากที่สุด จ.ระนอง

จังหวัดที่ปลูกชากันมาก จ.เชียงราย จ.เชียงใหม่

จังหวัดที่ปลูกอ้อยมากที่สุด จ.กาญจนบุรี

จังหวัดที่ผลิตเกลือได้มากที่สุด จ.สมุทรสาคร

จังหวัดที่ปลูกพริกไทยมากที่สุด จ.จันทบุรี

มะพร้าวมีมากที่สุดที่ เกาะสมุย จ.สุราษฎร์ธานี

ส้มโอลือชื่อของไทยปลูกที่ อ.นครชัยศรี จ.นครปฐม

ดีบุกขุดได้มากที่สุดที่ จ.ภูเก็ต

จังหวัดที่ปลูกเงาะมากที่สุด จ.จันทบุรี

เงาะโรงเรียนที่มีชื่อปลูกที่ จ.สุราษฎร์ธานี

โรงงานน้ำตาลที่ใหญ่ที่สุดอยู่ที่ อ.สามชุก จ.สุพรรณบุรี
โรงงานอุตสาหกรรมแป้งมัน ทำมากที่สุดที่ จ.ชลบุรี

หวายของไทยมีมากที่สุดที่ จ.ชุมพร

จังหวัดที่มีแร่วุลแฟลมมากที่สุด จ.กาญจนบุรี

นกนางแอ่น มีมากที่สุดที่ จ.ชุมพร

หินอ่อนในประเทศไทยมีมากที่ จ.สระบุรี

ภาคใดของประเทศไทยมีการเลี้ยงไหมมากที่สุด ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ

ถ่านหินมีมากที่ จ.ลำปาง และ จ.กระบี่

ส้มเขียวหวาน ที่นิยมกันว่ามีรสชาดดีอยู่ที่ อ.บางมด กรุงเทพมหานคร

ทองคำมีมากที่ อ.บางสะพาน จ.ประจวบคีรีขันธ์,อ.โต๊ะโมะ จ.ยะลา และ อ.กบินทร์บุรี จ.ปราจีนบุรี

จังหวัดทางภาคใต้ของไทยที่มีชาวไทยมุสลิมอาศัยอยู่มาก จ.ปัตตานี,จ.ยะลา,จ.นราธิวาส และ จ.สตูล

ปลาที่ชาวประมงจับได้มากที่สุด ปลาทู

ปลาที่ใหญ่ที่สุดในลำน้ำโขง ปลาบึก

กษัตริย์ไทยพระองค์แรก พ่อขุนศรีอินทราทิตย์

นายกรัฐมนตรีคนแรกของไทย พระยามโนปกรณ์นิติธาดา

สมเด็จพระสังฆราชองค์แรกของเมืองไทย(กรุงรัตนโกสินทร์) สมเด็จพระสังฆราชศรี วัดระฆังโฆสิตาราม ธนบุรี

ประธานสภาผู้แทนราษฎรคนแรกของไทย เจ้าพระยาธรรมศักดิ์มนตรี

สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรหญิงคนแรกของไทย นางอรพินท์ ไชยกาล

อธิบดีหญิงคนแรกของไทย คุณหญิงอัมพร มีศุข อธิบดีกรมวิชาการ กระทรวงศึกษาธิการ

จอมพลคนแรกของเมืองไทย จอมพล สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้าฯกรมพระยาภาณุพันธ์วงศ์วรเดช

นักดาราศาสตร์คนแรกของไทย รัชกาลที่ 4 (พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว)

นางสาวไทยคนแรก นางสาวกันยา เทียนสว่าง

นักมวยไทยคนแรกที่ได้ครองตำแหน่งแชมป์โลก นายโผน กิ่งเพชร

นักพากย์ภาพยนตร์คนแรกของไทย นายสิน สีบุญเรือง (ทิดเขียว)

นักเขียนการ์ตูนคนแรกของไทย ขุนปฏิภาคพิมพ์ลิขิต (เปล่ง ไตรปิ่น)

ผู้คิดประดิษฐ์อักษรไทยเป็นคนแรก พ่อขุนรามคำแหง

ผู้คิดตัวพิมพ์อักษรไทยเป็นคนแรก ร้อยโท เจมส์ โลว์

ผู้เริ่มใช้กระแสไฟฟ้าคนแรกของไทย จอมพล เจ้าพระยาสุรศักดิ์มนตรี (เติม แสงชูโต)

ผู้เปิดเดินรถเมล์ในกรุงเทพมหานครเป็นคนแรก พระยาเศรษฐภักดี

ผู้ประดิษฐ์สามล้อขึ้นใช้ในประเทศไทยเป็นคนแรก นายเลื่อน พงษ์โสภณ

ผู้ให้กำเนิดลูกเสือไทยเป็นคนแรก รัชกาลที่ 6 (พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว)

ผู้ริเริ่มแท็กซี่ขึ้นในเมืองไทย พลโท พระยาเทพหัสดิน (ผาด เทพหัสดิน ณ อยุธยา)เมื่อปี พ.ศ.2466

ผู้ที่ริเริ่มใช้คำว่า "สวัสดี" พระยาอุปกิตศิลปสาร

ผู้ให้กำเนิดเพลงชาติ พระเจนดุริยางค์ (บรรเลงครั้งแรกโดย วงดุริยางค์ทหารเรือ)

ผู้ให้กำเนิดเพลงสรรเสริญพระบารมี กรมพระยานริศรานุวัตติวงศ์ (พระราชโอรสในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว)

ผู้แต่งเพลงกราวกีฬา เจ้าพระยาธรรมศักดิ์มนตรี

ผู้ที่ได้รับยกย่องให้เป็น "บิดาแห่งประวัติศาสตร์ไทย" สมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพ

ผู้ที่ได้รับยกย่องให้เป็น "บิดาแห่งการแพทย์ไทย" สมเด็จพระราชบิดากรมหลวงสงขลานคริทร์

ฝาแฝดคู่แรกของไทย ฝาแฝด อิน-จัน เกิดเมื่อ 11 พฤษภาคม พ.ศ.2434 ที่ จ.สมุทรสงคราม

ผู้ที่ริเริ่มใช้ รศ.(รัตนโกสินทร์ศก) รัชกาลที่5 (พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว) ร.ศ.1 ตรงกับปี พ.ศ.ใด พ.ศ.2331

เรือกลไฟลำแรกของไทย เรือสยามอรสุมพล (เป็นเรือที่รัชกาลที่ 5 โปรดเกล้าฯให้พระยาศรีสุริยวงศ์ ต่อขึ้นเมื่อปี พ.ศ.2398)

โรงพยาบาลแห่งแรกของไทย โรงพยาบาลศิริราช

มหาวิทยาลัยแห่งแรกของไทย จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

โรงเรียน อนุบาลแห่งแรกของประเทศไทย
โรงเรียนอนุบาลที่โรงเลี้ยงเด็ก ซึ่งพระองค์เจ้าสายสวลีภิรมย์ พระอัครชายาในรัชกาลที่5 เป็นผู้ให้กำเนิด

ธนาคารเอกชนแห่งแรกของประเทศไทย แบงก์ สยามกัมมาจล

โรงภาพยนตร์โรงแรกใน กทม.ที่ฉายภาพยนตร์จอซีนีมาสโคป โรงภาพยนตร์ ศาลาเฉลิมไทย

โรงแรมแห่งแรกของไทย โรงแรมโอเรียนเต็ล

โรงพิมพ์แห่งแรกของไทย โรงพิมพ์หมอบรัดเลย์ ตั้งอยู่ที่สำเหร่ ธนบุรี

บทประพันธ์ที่ทำการขายลิขสิทธิ์กันในครั้งแรกในประเทศไทย เรื่อง นิราศลอนดอน ของหม่อมราโชทัย ขายลิขสิทธิ์ให้กับหมอบรัดเลย์

แบบเรียนเล่มแรกของคนไทย หนังสือจินดามณี ที่พระโหราธิบดี เป็นผู้แต่ง

หนังสือไทยเล่มแรก หนังสือไตรภูมิพระร่วง

หนังสือพิมพ์ข่าวฉบับแรกของเมืองไทย หนังสือพิมพ์บางกอกรีคอดเดอร์ พิมพ์ครั้งแรกเมื่อ ปี พ.ศ.2387

ปฎิทินฉบับภาษาไทย จัดพิมพ์ครั้งแรกเมื่อ ปี พ.ศ.2385

วิทยุ โทรทัศน์ มีขึ้นครั้งแรกในประเทศไทยเมื่อ ปี พ.ศ.2497(สมัยจอมพล ป.พิบูลสงคราม)

สถานีโทรทัศน์แห่งแรกของไทย สถานีโทรทัศน์ ไทยทีวีช่อง 4 บางขุนพรหม (ปัจจุบันคือ อสมท.ช่อง9)

โรงเรียน "หลวง" สำหรับราษฎรแห่งแรก คือ โรงเรียน วัดมหรรณพาราม

สภากาชาด ตั้งขึ้นเมื่อไหร่ ตั้งขึ้นในรัชกาลที่6 เดิมชื่อ สภาอุณาโลมแดง

เจดีย์ที่เก่าแก่ และใหญ่ที่สุด พระปฐมเจดีย์ ที่ จ.นครปฐม

พระปรางค์ที่สูงที่สุดในประเทศไทย พระปรางค์ที่วัดอรุณราชวราราม(วัดแจ้ง ธนบุรี)

พระพุทธรูปทองคำที่ใหญ่ที่สุดของไทย พระพุทธรูปสมัยสุโขทัย ประดิษฐานที่วัดไตรมิตรวิทยาราม กทม.(หนัก 5 ตัน)

พระพุทธไสยาสน์ ที่ยาวที่สุด พระพุทธไสยาสน์ ที่วัดพระนอน จ.สิงห์บุรี

พระพุทธรูปยืนที่สูงที่สุด พระพุทธรูปยืนที่วัดอินทรวิหาร บางขุนพรหม กรุงเทพฯ

พระนอนที่ยาวที่สุด พระนอนที่วัดขุนอินทรประมูล จ.อ่างทอง

พระพุทธรูปนั่งที่ใหญ่ที่สุด พระพุทธโคดม วัดไผ่โรงวัว จ.สุพรรณบุรี

วัดที่มีระฆังใบใหญ่ที่สุด วัดกัลยากรณ์ กรุงเทพมหานคร

วัดที่ไม่มีพระจำพรรษาเลย วัดพระศรีรัตนศาสดาราม

จังหวัดที่เคยมีรถรางเดินประจำ นอกจากกรุงเทพฯแล้วคือ จ.ลพบุรี

วัดไทยที่สร้างเลียนแบบวัดฝรั่ง วัดนิเวศน์ธรรมประวัติ บางปะอิน จ.อยุธยา (รัชกาลที่ 5 โปรดเกล้าฯให้สร้างขึ้น)

กระทรวงต่างๆมีขึ้นในรัชกาลใด รัชกาลที่ 5 (พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว)

ประเทศไทยเปลี่ยนแปลงการปกครองจากระบอบราชาธิปไตยเป็นระบอบประชาธิปไตยเมื่อปี พ.ศ.2475 ในรัชกาลที่ 7

ประเทศไทยเริ่มใช้ธงไตรรงค์เมื่อ ปี พ.ศ.2460

ประเทศไทยเริ่มนับเอาวันที่ 1 เดือนมกราคมเป็นวันปีใหม่เมื่อ ปี พ.ศ.2483

ประเทศไทยสมัครเป็นสมาชิกองค์การสหประชาชาติเมื่อ วันที่ 16 ธันวาคม พ.ศ.2489

ประเทศไทย เปลี่ยนจากเดิมเรียกว่า "ประเทศสยาม" มาเป็น "ประเทศไทย" เมื่อวันที่ 11 พฤษภาคม พ.ศ.2492

ประเทศไทยเข้าร่วมสงครามโลกครั้งที่ 1 กับฝ่ายสัมพันธมิตรด้วยนั้นในสมัยรัชกาลที่ 6 (พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว)

ประเทศไทยเลิกใช้เงินพดด้วงแล้วเริ่มใช้เหรียญกษาปณ์ ในสมัยรัชกาลที่ 4

กระทรวงการคลัง เริ่มออกพันธบัตรใช้ตั้งแต่รัชกาลที่ 5

คนไทยเริ่มใช้นามสกุลในสมัยรัชกาลที่ 5

การประปาเริ่มมีขึ้นในสมัยรัชกาลที่ 5

สะพานสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าฯ เปิดสัญจร ไป-มา เมื่อวันที่ 6 เมษายน พ.ศ.2475

พระราชวังสมัยกรุงธนบุรีเป็นราชธานีคือพระราชวังเดิม อยู่ระหว่างวัดอรุณราชวราราม กับวัดโมฬีโลกยาราม

เขาพระวิหาร เดิมตั้งอยู่ที่ อ.กันทราลักษณ์ จ.ศรีสะเกษ

เครื่องหมายตราประจำชาติไทยคือ ตราครุฑ

ประเพณีถือน้ำพิพัฒน์สัตยา เริ่มมีครั้งแรกในสมัยกรุงศรีอยุธยา

ประเทศไทยเริ่มใช้แสตมป์เมื่อปี พ.ศ.2474

ผู้ที่เปลี่ยนชื่อ "ทุ่งพระเมรุ" เป็น "ท้องสนามหลวง" คือรัชกาลที่ 5 (พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว)

คิงส์มงกุฎ หมายถึงพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เจ้าของนามปากกา "น.ม.ส." คือรัชนี แจ่มจรัส

คำว่า พระปรมินทร์ และ พระปรเมนทร์ มีที่ใช้ต่างกันอย่างไร
พระปรมินทร์ ใช้กับ ลำดับรัชกาลที่เป็นเลขคี่ พระปรเมนทร์ ใช้กับ ลำดับรัชกาลที่เป็นเลขคู่

กฎมณเฑียรบาล คือกฎหมายพิเศษที่กล่าวถึง พระราชฐาน และพระราชวงศ์

ใครเป็นผู้ประพันธ์ บทเห่เรือ ที่ใช้เห่เรือกระบวนหลวงในปัจจุบัน เจ้าฟ้าธรรมาธิเบศรไชยเชษฐ์สุริยวงศ์(เจ้าฟ้ากุ้ง)

กรุงเทพมหานคร สร้างขึ้นเมื่อใด ปี พ.ศ.2325

วัดพระศรีรัตนศาสดาราม (วัดพระแก้ว) สร้างขึ้นในรัชสมัยใด รัชกาลที่ 1 (พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก)

สถาบันที่จัดทำสารานุกรมไทย และพจนานุกรมไทยคือ ราชบัณฑิตยสถาน

นายกรัฐมนตรีไทยคนใดที่ตกเป็นจำเลย "อาชญากรสงครามโลกครั้งที่2 จอมพล ป.พิบูลสงคราม

นายกรัฐมนตรีที่เป็นทนายต่อศาลโลก กรณีเขมรฟ้องร้องขอกรรมสิทธิ์เขาพระวิหารคือ ม.ร.ว.เสนีย์ ปราโมช

หัวหน้าขบวนการเสรีไทย นอกประเทศระหว่างสงครามโลกครั้งที่ 2 ม.ร.ว.เสนีย์ ปราโมช

กบฎแมนฮัตตัน เกิดขึ้นในรัฐบาลใด
รัฐบาลสมัย จอมพล ป.พิบูลสงคราม เกิดขึ้นในวันที่มีพิธีรับมอบเรือแมนฮัตตัน จากสหรัฐอเมริกา ที่ท่าราชวรดิษฐ์

"อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ"สร้างขึ้นเพื่อ เป็นอนุสรณ์รำลึกถึงวันที่ทหารและพลเรือนเสียชีวิตในสงครามอินโดจีน ปี พ.ศ.2484

"วงเวียน 22 กรกฎาคม" สร้างขึ้นเพื่อ
เป็นอนุสรณ์เนื่องในวันที่ประเทศไทย ประกาศสงครามเข้าร่วมกับพันธมิตร รบกับเยอรมันในสงครามโลกครั้งที่1

ปืนใหญ่สมัยโบราณ ที่ตั้งรอบอนุสาวรีย์ประชาธิปไตยมีจำนวนเท่าไร 75 กระบอก

นพรัตน์ หรือแก้วเก้าประการ ประกอบด้วย เพชร,ทับทิม,มรกต,บุษราคัม,โกเมน,นิล,มุกดาหาร,เพทาย,ไพฑูรย์

ต้นไม้ที่คนไทยโบราณเชื่อว่า ปลูกไว้ในบ้านแล้วจะเป็นมงคล

ต้นมะยม เพราะ จะทำให้คนนิยม
ต้นขนุน เพราะ จะทำให้ผู้สนับสนุน
ต้นมะขาม เพราะ จะทำให้ผู้คนเกรงขาม
ต้นพุทธรักษา เพราะ ปลูกแล้วพุทธานุภาพจะคุ้มครองบ้านนั้น


ต้นไม้ที่คนไทยโบราณไม่นิยมปลูกไว้ในบ้าน

ต้นลั่นทม เพราะ ชื่อต้นไม้ไปพ้องคำว่า ระทม
ต้นมะไฟ เพราะ มีคำว่ามะไฟ จะทำให้เดือดร้อนเหมือนไฟ
ต้นพุทรา เพราะ เสียงออกเป็นซา ซึ่งหมายถึงความร่วงโรย

อ่านต่อ : http://www.dek-d.com/board/view.php?id=1983210#ixzz15Y4TSQP6

12 วิธีเพิ่มความมั่นใจให้ตนเอง

1. อย่าเปรียบเทียบตนเองกับผู้อื่น
เป็น หลักการง่ายๆ แต่หลายคนก็ยังทำใจแข็งไม่ได้เสียที วิธีแก้คือ ต้องทำใจยอมรับตัวตนของเราที่ไม่อาจเปลี่ยนแปลงได้ เช่น สีผิว รูปร่าง ฯลฯ ทุกคนเกิดมาย่อมแตกต่างกัน ดังนั้นจงรักตนเอง ภูมิใจในสิ่งที่เราเป็นดีที่สุด
2. จงเปรียบกับคนที่ด้อยกว่า
สำหรับ คนที่กำลังท้อแท้ คิดว่าตนเองแย่ที่สุดแล้ว ให้หันมามองผู้ที่ลำบากกว่า หรือจะลองเป็นอาสาสมัครไปเยี่ยมผู้ยากไร้ขาดโอกาสดูบ้างก็ได้ เพราะการทำเช่นนี้นอกจากจะสร้างกำลังใจ ให้ตนเองต่อสู้กับความยากลำบากแล้ว ยังได้บุญกุศลอีกด้วย
3. ไม่ได้อยู่คนเดียวในโลก
ไม่ ควรคิดว่าไม่มีใครเข้าใจปัญหาของเรา หรือไม่มีใครสนใจ อันที่จริงหากเรามองไปรอบด้าน ก็จะเห็นว่าหลายคนยินดีที่จะช่วยเหลือเรา เพียงแต่ว่าเราไม่ได้เอ่ยปากขอร้องเท่านั้นเอง แน่นอนว่าหากเราตกที่นั่งลำบาก และสิ่งที่ขอให้ช่วยก็ไม่ได้เหนือบ่ากว่าแรงนัก เชื่อว่ามีคนเต็มใจช่วยแน่นอนค่ะ
4. พูดคุยกับเพื่อน
เมื่อ ไรที่มีปัญหาหนักใจ อย่าลังเลที่จะปรึกษาเพื่อนสนิท หรือว่าหากเกิดขัดใจกันขึ้นมา อย่าลังเลที่จะเปิดอกพูดคุยกัน อย่าปล่อยทิ้งไว้ให้เป็นปัญหาคาใจ
5. ปรึกษานักบำบัด
หาก พบว่าตนพยายามแก้ไขวิธีคิดแล้ว แต่ไม่สำเร็จสักที ให้นัดเวลาพูดคุยกับนักบำบัด หรือจิตแพทย์ก็ได้ ไม่ต้องกลัวหรืออายว่าคนอื่นจะหาว่าบ้า เพราะหากปล่อยให้กังวลใจอยู่เช่นนี้สุขภาพจิตเสียแน่นอน
6. ให้รางวัลตนเอง
หลังจากที่ผ่านงานยากๆ หรืออุปสรรคหนักๆ เช่น ไปท่องเที่ยวพักผ่อน นัดสังสรรค์กับเพื่อนรู้ใจ
7. เก็บความภูมิใจลงในบันทึก
ให้ จดบันทึกข้อดี ลักษณะเด่น ความสามารถพิเศษ หรือความสำเร็จที่ตนเอง ภาคภูมิใจลงบนไดอารี่ หรือสมุดจด อาจทำเครื่องหมายเน้นผลงานที่ทำสำเร็จ เพราะเมื่อไรที่หยิบมาอ่านจะได้ชื่นใจ เกิดความภูมิใจในความสามารถของตนเอง หรืออาจใช้วิธีประเมินตนเองอย่างยุติธรรม โดยจดสิ่งที่ตนทำสำเร็จในแต่ละวัน แล้วประเมินอาทิตย์ละครั้ง เพื่อเพิ่มความมั่นใจให้ตนเอง
8. เสริมจุดเด่นลดจุดด้อย
อย่าลังเลที่จะเรียน หรือทำกิจกรรมที่ตนเองชอบ ไม่แน่คุณอาจจะมีพรสวรรค์บางอย่างซ่อนอยู่แบบไม่รู้ตัวมาก่อนก็ได้
9. พยายามทำกิจกรรมที่ตนชื่นชอบ
ไม่ ต้องกังวลว่าต้องไปตามลำพังตราบใดที่ยังชอบและมีความสุขกับกิจกรรมนั้นๆ เช่น ไปเรียนวาดรูป เรียนภาษาต่างประเทศ ฯลฯ นอกจากจะทำให้จิตใจแจ่มใส ยังอาจจะได้รู้จักเพื่อนใหม่ เจอคนหลากหลายมากขึ้น
10. อย่าโทษตัวเองไปเสียทุกเรื่อง
ปรับวิธีคิดให้มีเหตุและผลมากขึ้นกว่าเดิม
11. เผชิญหน้ากับการว่ากล่าว
การ ว่ากล่าวนับว่าเป็นเรื่องธรรมดาที่ทุกคนต้องพบเจอ แต่สำหรับคนที่ขาดความมั่นใจจะเกิดอาการสะเทือนใจมากกว่าคนอื่น เพื่อจะลบความรู้สึกนี้ก่อนอื่นต้องพิจารณาวัตถุประสงค์ของการว่ากล่าว เช่น ติเพื่อก่อ หรืออคติ หากเข้าข่ายประเด็นหลัง อย่าเก็บมาใส่ใจ เพราะจะยิ่งบั่นทอนความมั่นใจให้ลดน้อยลงไปอีก แต่หากเป็นเหตุผลแรก ให้ยิ้มสู้ รับฟังและกล่าวขอบคุณ นำคำตินั้นมาปรับปรุงพัฒนาตนเอง
12. ดูแลสุขภาพตนเอง
พยายาม ออกกำลังกายสม่ำเสมอ กินอาหารที่มีประโยชน์ รักษาความสะอาด นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ วิธีดูแลตนเองเช่นนี้นอกจากจะให้บุคลิกภาพดูดีขึ้นแล้ว ยังทำให้จิตใจแจ่มใสอีกด้วย ไม่ให้จิตใจจดจ่อ หมกมุ่นอยู่กับข้อด้อยของตนเองมากไป
การเปลี่ยนแปลง ความคิดและทัศคติตนเองต่อการมองโลกเพื่อเพิ่มความมั่นใจอาจดูยาก และใช้ความอดทนพอสมควร แต่ความมั่นใจนี้เองจะทำให้คุณมีความสุขกับชีวิต กลายเป็นคนใหม่ที่รักและพอใจกับสิ่งที่คุณเป็น


อ่านต่อ : http://www.dek-d.com/board/view.php?id=1982203#ixzz15XxQzBxA