วันอังคารที่ 28 ธันวาคม พ.ศ. 2553

มุฮัมมัด

นบีมุฮัมมัด ฟัง (ข้อมูล) (อาหรับ: محمد มีความหมายว่า ผู้ได้รับการสรรเสริญ) มีชื่อเรียกอื่น ๆ อีกหลายชื่อ เช่น มุสตอฟา, ฏอฮา, ยาซีน และ อะฮฺมัด

มุฮัมมัด (ศ) เป็นนบี (ศาสดา) ของศาสนาอิสลาม ในทัศนคติของอิสลาม มุฮัมมัด (ศ) เป็นศาสดาองค์สุดท้าย ที่ อัลลอหฺ พระผู้เป็นเจ้า ทรงประทานแต่งตั้ง
ประวัติ

เกิดที่มหานครมักกะหฺ (เมกกะ) ตรงกับวันจันทร์ที่ 12 เดือนรอบีอุลเอาวัล ในปีช้าง ตรงกับ ค.ศ. 570 ในตอนแรกเกิดวรกายของมุฮัมมัด (ศ) มีรัศมีสว่างไสวและมีกลิ่นหอม เป็นศุภนิมิตบ่งถึงความพิเศษของทารก

ปีที่ท่านเกิดนั้นเป็นปีที่อุปราชอับรอหะหฺแห่งอบิสสิเนีย (เอธิโอเปียปัจจุบัน) กรีฑาทัพช้างเข้าโจมตีมหานครมักกะหฺ เพื่อทำลายกะอฺบะหฺอันศักดิ์สิทธิ์ แต่อัลลอหฺได้ทรงพิทักษ์มักกะหฺ ด้วยการส่งกองทัพนกที่คาบกรวดหินลงมาทิ้งลงบนกองทัพนี้ จนไพร่พลต้องล้มตายระเนระนาด เนื้อตัวทะลุเหมือนใบไม้ถูกหนอนกัดกิน อุปราชอับรอหะหฺจึงต้องถอยทัพกลับไป และเสียชีวิตในที่สุด

ในปีเดียวกัน มีแผ่นดินไหวเกิดขึ้นในเปอร์เซีย เป็นเหตุให้ราชวังอะนูชิรวานของจักรพรรดิ์ เปอร์เซียสั่นสะเทือนจนถึงรากเหง้าและพังทลายลง ยังผลให้ไฟศักดิ์สิทธิ์ในวิหารบูชาไฟของพวกโซโรอัสเตอร์ที่ลุกอยู่เป็นพันปีนั้นต้องดับลงไปด้วย

บิดาของมุฮัมมัดคือ อับดุลลอหฺ เป็นบุตรสุดท้องของอับดุลมุฏฏอลิบ แห่งเผ่ากุเรช ผู้ได้รับเกิยรติให้คุ้มครองบ่อน้ำ ซัมซัม ริมกะอฺบะหฺ อับดุลลอหฺได้เสียชีวิตไปตั้งแต่ตอนที่มุฮัมมัด(ศ)ยังอยู่ในครรภ์ของอะมีนะหฺ สตรีแห่งเผ่าซุหฺเราะหฺ ฺผู้เป็นมารดา อับดุลมุฏฏอลิบผู้เป็นปู่ได้ขนานนามว่า มุฮัมมัด เป็นนามที่ยังไม่มีผู้ใดใช้มาก่อน

เมื่อเกิดได้เพียงไม่นาน ท่านต้องไปอาศัยกับแม่นมรับจ้างชื่อว่า ฮะลีมะหฺ แห่งเผ่าซะอัด ซึ่งมีสามีชื่อว่า อะบูกับชะหฺ ตั้งถิ่นฐานอยู่นอกมหานคร ทั้งนี้เพราะประเพณีดั้งเดิมของชาวอาหรับ เมื่อต้องการให้บุตรของตนเติบโตขึ้นในชนบท เพื่อสัมผัสกับวัฒนธรรมของชาวอาหรับพื้นเมืองที่แท้จริง

มุฮัมมัดสูญเสียมารดาเมื่ออายุ 6 ขวบ จึงอยู่ในความอุปการะของปู่ ต่อมาอีกสองปี ปู่สิ้นชีวิต มุฮัมมัดจึงอยู่ในความดูแลของ อะบูฏอลิบ ผู้เป็นลุง ซึ่งเป็นผู้มีเกิยรติคนหนึ่งในเผ่ากุเรชเช่นกัน

มุฮัมมัดไม่รู้หนังสือเหมือนกับชาวอาหรับทั่วไป ท่านอ่านและเขียนหนังสือไม่เป็นตลอดชีวิต นักประวัติศาสตร์รายงานว่าในสมัยนั้นมีคนที่อ่านออกเขียนได้ในมักกะหฺไม่กี่คนเท่านั้น ชาวอาหรับในสมัยนั้นถูกขนานนามว่า อุมมียูน คือชนผู้อ่านเขียนไม่เป็น

ในวัยหนุ่ม มุฮัมมัดได้รับการยอมรับว่าเป็นบุคคลที่มีความซื่อสัตย์ไว้วางใจได้ มีใจเมตตาการุณและจริงใจ จนผู้คนในสมัยนั้นให้สมญานามท่านว่า "อัลอะมีน" หรือผู้ซื่อสัตย์ แม้ผู้คนในสมัยนั้นเคารพบูชาเจว็ดและเทวรูปต่างๆ แต่มุฮัมมัดไม่เคยเข้าร่วมพิธีการบูชารูปปั้นทั้งหลายเลย เพราะครอบครัวของมุฮัมมัดนับถือศาสนาแห่งศาสดาอิบรอฮีม (อับราฮาม) อันเป็นบรรพบุรุษของท่าน

เมื่อมูฮัมมัดมีอายุได้ 20 ปี กิตติศัพท์แห่งคุณธรรม และความสามารถในการค้าขายก็เข้าถึงหูของ คอดีญะหฺ เศรษฐีนีหม้ายผู้มีเกียรติจากตระกูลอะซัดแห่งเผ่ากุเรช นางจึงเชิญให้ท่านเป็นผู้จัดการในการค้าของนาง โดยให้ท่านนำสินค้าไปขายยังประเทศซีเรียในฐานะหัวหน้ากองคาราวาน ปรากฏผลว่าการค้าดำเนินไปด้วยความเรียบร้อย และได้กำไรเกินความคาดหมาย จึงทำให้นางพอใจในความสามารถ และความซื่อสัตย์ของท่านเป็นอย่างมาก

เมื่ออายุ 25 ปี ท่านแต่งงานกับนาง คอดีญะหฺผู้มีอายุแก่กว่าถึง 15 ปี สิ่งแรกที่ท่านนบีมูฮัมมัด ได้กระทำภายหลังสมรสได้ไม่กี่วันก็คือการปลดปล่อยทาสในบ้านให้เป็นอิสระ ซึ่งน้อยนักจะมีผู้ทำเช่นนั้น (ภายหลังการปลดทาสได้กลายเป็นบทบัญญัติอิสลาม) ทั้งสองได้ใช้ชีวิตครองคู่กันเป็นเวลา 25 ปีมีบุตรีด้วยกัน 4 คน หนึ่งในจำนวนนั้นคือท่านหญิงฟาฏิมะหฺ ท่านหญิงคอดีญะหฺเสียชีวิตปี ค.ศ. 619 ก่อนมุฮัมมัดจะลี้ภัยไปยังเมืองยัษริบ 3 ปี

เมื่ออายุ 30 ปี ท่านได้เข้าร่วมเป็นสมาชิกในสหพันธ์ฟุดูล อันเป็นองค์การพิทักษ์สาธารณภัยประชาชน เพื่อขจัดทุกข์บำรุงสุขให้ประชาชน กิจการประจำวันของท่าน ก็คือ ประกอบแต่กุศลกรรม ปลดทุกข์ขจัดความเดือดร้อน ช่วยเหลือผู้ตกยาก บำรุงสาธารณกุศล

เมื่ออายุ 35 ปี ได้เกิดมีกรณีขัดแย้งในการบูรณะกะอฺบะหฺ ในเรื่องที่ว่าผู้ใดกันที่จะเป็นนำเอา อัลฮะญัร อัลอัสวัด (หินดำ) ไปประดิษฐานไว้สถานที่เดิมคือที่มุมของกะอฺบะหฺ อันเป็นเหตุให้คนทั้งเมืองเกือบจะรบราฆ่าฟันกันเองเพราะแย่งหน้าที่อันมีเกียรติ หลังจากการถกเถียงในที่ประชุมเป็นเวลานาน บรรดาหัวหน้าตระกูลต่าง ๆ ก็มีมติว่า ผู้ใดก็ตามที่เป็นคนแรกที่เข้ามาใน อัลมัสญิด อัลฮะรอม ทางประตูบะนีชัยบะหฺในวันนั้นจะให้ผู้นั้นเป็นผู้ชี้ขาดว่าจะทำอย่างไร ปรากฏว่า มุฮัมมัด เป็นคนเดินเข้าไปเป็นคนแรก ท่านจึงมีอำนาจในการชี้ขาด โดยท่านเอาผ้าผืนหนึ่งปูลง แล้วท่านก็วางหินดำลงบนผืนผ้านั้น จากนั้นก็ให้หัวหน้าตระกูลต่าง ๆ จับชายผ้ากันทุกคน แล้วยกขึ้นพร้อม ๆ กัน เอาไปใกล้ ๆ สถานที่ตั้งของหินดำนั้น แล้วท่านก็เป็นผู้นำเอาหินดำไปประดิษฐานไว้ ณ ที่เดิม

ชาวอาหรับในอาราเบียสมัยนั้นเชื่อว่า อัลลอหฺเป็นพระผู้เป็นเจ้าแห่งสากลจักรวาลตามคำสอนดั้งเดิมของบรรพบุรุษอาหรับคือ อิสมาอีล และ อิบรอฮีม ผู้ก่อตั้งกะอฺบะหฺ แต่ในขณะเดียวกลับบูชาเทวรูปและผีสางอีกด้วย ด้วยเหตุนี้พวกเขาจึงถูกเรียกว่า ชาวมุชริก นอกจากนี้ยังมีอาหรับส่วนหนึ่งที่นับถือศาสนาคริสต์ และในยัษริบก็มีชาวยิวหลายตระกูลอาศัยอยู่อีกด้วย

มุฮัมมัดได้เป็นศาสนทูต
เมื่ออายุ 40 ปี ท่านได้รับ วะฮฺยู (การวิวรณ์) จากอัลลอหฺพระผู้เป็นเจ้า ใน ถ้ำฮิรออ์ ซึ่งอยู่บนภูเขาลูกหนึ่งนอกเมืองมักกะหฺ โดยทูตสวรรค์ญิบรีลเป็นผู้นำมาบอกเป็นครั้งแรก เรียกร้องให้ท่านรับหน้าที่เป็นผู้เผยแผ่ศาสนาของอัลลอหฺ ตามที่ศาสดา มูซา (โมเสส) และอีซา (เยซู) เคยทำมา นั่นคือประกาศให้มวลมนุษย์นับถือพระเจ้าเพียงองค์เดียว ท่านได้รับพระโองการติดต่อกันเป็นเวลา 23 ปี พระโองการเหล่านี้รวบรวมขึ้นเป็นเล่มเรียกว่าคัมภีร์อัลกุรอาน

ในตอนแรกท่านเผยแพร่ศาสนาแก่วงศาคณาญาติและเพื่อนใกล้ชิดเป็นการภายในก่อน ท่านค็อดีญะหฺเองได้สละทรัพย์สินเงินทองของท่านไปมากมาย และท่านอะบูฏอลิบก็ได้ปกป้องหลานชายของตนด้วยชีวิต ต่อมาท่านได้รับโองการจากพระเจ้าให้ประกาศเผยแพร่ศาสนาโดยเปิดเผย ทำให้ญาติพี่น้องในตระกูลเดียวกัน ชาวกุเรชและอาหรับเผ่าอื่น ๆ ที่เคยนับถือท่าน พากันโกรธแค้น ตั้งตนเป็นศัตรูกับท่านอย่างรุนแรง ถึงกับวางแผนสังหารท่านหลายครั้งแต่ก็ไม่สำเร็จ ชนมุสลิมถูกคว่ำบาตรไม่สามารถทำธุรกิจกับผู้ใด จนต้องอดอยากเพราะขาดรายได้และไม่มีที่จะซื้ออาหาร อะบูสุฟยาน แห่งตระกูลอุมัยยะหฺ และ อะบูญะฮัล คือสองในจำนวนหัวหน้าชาวมุชริกที่ได้พยายามทำลายล้างศาสนาอิสลาม

ในปีที่ 5 หลังสาส์นอิสลาม สาวกกลุ่มหนึ่งต้องหนีออกจากมักกะหฺเข้าลี้ภัยในอบิสสิเนีย กษัตริย์นัญญาชี(เนเกช)แห่งอบิสสิเนียที่นับถือคริสต์ศาสนาก็ได้ให้การต้อนรับเป็นอย่างดี ภายหลังท่านเองก็เข้ารับนับถือศาสนาอิสลาม

ปีที่ 10 หลังสาส์นอิสลาม ถือว่าเป็นปีแห่งความโศกเศร้า เนื่องจาก นางคอดีญะหฺ ผู้เป็นภรรยาและ อะบูฏอลิบ ผู้เป็นลุงที่ได้ให้การอุปการะ ได้สิ้นชีวิต

ปีเดียวกันศาสนทูตท่านศาสดาเดินทางไปเผยแผ่ศาสนาที่เมืองฎออิฟ ซึ่งอยู่ทางตอนใต้ของเมืองมักกะหฺ แต่ก็ได้รับการปฏิเสธ

ในวันจันทร์ที่ 27 เดือนรอญับ ปีที่ 10 หลังสาส์นอิสลาม ศาสดามุฮัมมัดเดินทางในเวลากลางคืน โดยขี่บุรอกจากมัสญิด อัลฮะรอมในมักกะหฺ สู่ มัสญิดอัลอักศอ ในปาเลสไตน์ (อิสรออ์) ขึ้นสู่ฟากฟ้า (มิอฺรอจญ์) ในคืนนั้นอัลลอหฺทรงกำหนดการละหมาดฟัรดู 5 เวลาแก่ประชาชาติอิสลาม

ปีที่ 11 ชาวมะดีนะหฺ 6 คน เข้าพบท่านศาสดาเพื่อขอรับอิสลาม ต่อมาในปีที่ 12 ชาวมะดีนะหฺ 12 คน เข้าพบท่านศาสดาเพื่อทำสัญญาอัลอะกอบะหฺครั้งที่ 1 โดยให้สัตยาบันว่าจะเคารพภักดีอัลลอหฺเพียงองค์เดียว และในปีที่ 13 มีชาวมะดีนะหฺ 75 คน เข้าพบท่านศาสดาเพื่อทำสัญญา อัลอะกอบะหฺ ครั้งที่ 2 โดยให้สัตยาบันว่าพวกเขาจะสนับสนุนและช่วยเหลือท่าน ศาสดาพร้อมทั้งบรรดาศอฮาบะหฺที่อพยพไปอยู่ที่มะดีนะหฺ

อพยพจากมักกะหฺสู่มะดีนะหฺ
ท่านศาสดาอพยพจากมักกะหฺโดยมีอะบูบักรฺร่วมเดินทางไกลด้วย ระหว่างทางท่านได้สร้างมัสญิดกุบาอ์ ซึ่งเป็นมัสญิดหลังแรกที่ถูกสร้างขึ้น ท่านศาสดาเข้าเมืองมะดีนะหฺในวันศุกร์

ท่านได้ทำการละหมาดวันศุกร์ร่วมกับพี่น้องมุสลิมที่นั่น ซึ่งถือว่าเป็นการละหมาดวันศุกร์ครั้งแรกของอิสลาม เมื่อถึงเมืองมะดีนะหฺ ท่านศาสดาได้สร้างความรัก ความเป็นพี่น้องร่วมศรัทธาระหว่างชาวมุฮาญิรีน ผู้อพยพ กับชาวอันศอร ผู้ช่วยเหลือการอพยพของท่านศาสดามีความสำคัญมากในประวัติศาสตร์อิสลาม

มุสลิมจึงถือเอาการอพยพของท่านศาสดามุฮัมมัดเป็นจุดเริ่มของศักราชอิสลาม ซึ่งเรียกว่า ฮิจญเราะหฺศักราช (ฮ.ศ.) ปีแห่งการอพยพของท่านศาสดามุฮัมมัด

วันจันทร์ที่ 27 ธันวาคม พ.ศ. 2553

5 ของขวัญจากเมืองไทย ทีเด็กนอก(บ่น)อยากได้สุดๆ





อาหารไทย
ในที่นี้ไม่ได้หมายถึงข้าวกล่องแช่แข็งอะไรแบบนั้นนะคะ แต่ส่วนมากที่อยากได้กันมากๆ เห็นจะเป็นพวกน้ำพริก ผงเครื่องปรุงต่างๆ เช่น ผงเครื่องต้มยำ ผงแกงส้ม ผงแกงเขียวหวาน ผงพะโล้ เพราะในบางประเทศก็หาซื้อยากค่ะ และอีกอย่างที่บ่นว่าอยากได้กันเยอะมากๆ ช่วยส่งไปให้หน่อยเถอะก็คือ "หมูแผ่น" ค่ะ เพราะจะเอามากินเปล่าๆ เป็นของกินเล่น หรือจะกินกับข้าว ก็สามารถรอดตายไปได้อีกหนึ่งมื้อ 5555 ส่วนพวกบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปเนี่ย ส่วนมากบอกว่าหาซื้อได้ไม่ยาก หรือถ้าหาซื้อของไทยไม่ได้ ก็กินพวกราเมงญี่ปุ่นเกาหลีอะไรพวกนี้แทนก็ถือว่าโอเคค่ะ


คู่มือทำอาหารไทย
โอ๊ย อันนี้ฮามากค่ะ บางคนนี่ตอนอยู่ไทยทำอาหารอะไรไม่เป็นซักอย่าง เวลาเข้าครัวที เละไปทั้งครัว ! ดังนั้น ไหนๆ ก็ส่งผงเครื่องปรุงมาแล้ว อย่าลืมส่งคู่มือทำอาหารมาให้ด้วยละกันนะ 5555 เพราะบางทีเวลาเข้าครัวก็ขี้เกียจเปิดเน็ตเซิร์ชสูตรอาหาร อยากได้เป็นคู่มือทำอาหารดีๆ ซักเล่มมากกว่า ใช้ได้ตลอดปีตลอดชาติ อิอิ ไม่งั้นล่ะก็ ต่อให้มีเครื่องปรุงครบทุกอย่าง แต่ทำไม่เป็น ก็จบกันล่ะสิทีนี้ !


ซองใส่พาสปอร์ต
อันนี้น้องผู้หญิงเค้ารีเควสท์มาค่ะ เพราะผู้หญิงก็มักจะคู่กับของจุกจิกน่ารักๆ อยู่แล้ว น้องๆ หลายคนเค้าเลยอยากได้ของขวัญปีใหม่เป็นซองใส่พาสปอร์ตลายน่ารักๆ ค่ะ ถึงแม้จะไม่ได้พกพาสปอร์ตติดตัวไว้ตลอดเวลา แต่นานๆ ทีเวลาหยิบพาสปอร์ตขึ้นมาดูแล้วเห็นซองน่ารักๆ อุ๊ย น่ารักจัง ก็ทำให้เจริญหูเจริญตาได้เหมือนกันนะ 5555 เข้าท่าดีเหมือนกันนะคะ พี่เป้ เองก็ชอบเหมือนกัน เห็นแล้วมันมีความสุขจริงๆ อะ อันที่จริงเมืองนอกก็มีขายนะคะ แต่บางทีก็ไม่น่ารักเท่าที่ไทยอ่ะค่ะ


ปฏิทิน
แน่นอนเลยค่ะ ขึ้นปีใหม่ทั้งที ปฏิทินเป็นของสำคัญมากๆ แต่ถ้าไปอยู่เมืองนอก ก็มีแต่ปฏิทินของประเทศนั้นๆ เลยอยากได้เป็นของไทยมากกว่า ส่วนลายบนปฏิทินนั้น น้องๆ ชาวเรียนต่อนอกเค้าฝากบอกมาว่า เป็นลายอะไรก็ได้ แต่จริงๆ อยากได้เป็นพวกทะเลภูเขาทีเป็นวิวของเมืองไทย เวลาเห็นแล้วจะได้นึกถึงบ้าน ^___^


รูปเพื่อนๆ ในกลุ่ม
หลายคนฝากบอกมาอีกว่า ปีใหม่ทั้งที อยากให้เพื่อนๆ ในกลุ่มในแก๊งเขียนจดหมายไปหาบ้างอะไรบ้าง เพราะถึงจะแชทกันบ่อย แต่มันก็เป็นแค่ตัวอักษรที่จับต้องไม่ได้ เลยอยากได้จดหมายหรืออะไรที่เป็นรูปเป็นร่างแบบสัมผัสได้ เวลาคิดถึงทีไรจะได้หยิบมาดู แล้วอย่าลืมแนบรูปกลุ่มที่ถ่ายด้วยกันล่าสุดเอาใส่กรอบสวยๆ จะได้เอาไปตั้งไว้บนหัวนอน ทุกๆ เช้าที่ตื่นนอนและทุกๆ คืนก่อนนอน จะได้เห็นหน้าเพื่อนตลอดเวลา



อ่านต่อ : http://www.dek-d.com/content/studyabroad/23181/5-ของขวัญจากเมืองไทย-ปีใหม่.php#ixzz19JjxnhOK

วันอาทิตย์ที่ 26 ธันวาคม พ.ศ. 2553

ช็อค ! 10 เรื่องร้ายก่อนการมีเซ็กส์ก่อนวัยอันควร

พบ กับเรื่องร้ายๆ 10 ข้อที่เกิดจากเซ็กส์ก่อนวัยอันควร เพื่อเป็นแนวทางคิดก่อนที่จะเผลอทำอะไรลงไปด้วยตัณหาราคะ โดยเฉพาะหญิงสาว แม้โลกจะยอมรับให้สิทธิเท่าเทียมชาย แต่ท่านมักจะเสียเปรียบเสมอ

1. ท้อง และ แท้ง ยิ่งในวัยเรียนการได้รับปริญญาใจก่อนกำหนด 4 ปีการศึกษานั้น มันทำลายชีวิตมากพอตัวเชียวนะ มีน้อยคนที่จะทนอุ้มท้องไปนั่งร่วมชั้นเรียนกับเพื่อน และเชื่อเลยว่าคงไม่มีสถานศึกษาใดสนับสนุนด้วย เมื่อชีวิตของการเป็นแม่เริ่มต้นขึ้น ความพร้อมสำหรับทารกน้อยๆ ย่อมคลุกคลัก ปัญหาปากท้องและสังคมก็จะตามมาทีหลัง ส่วนใครที่ไม่เกรงต่อบาป ยืนยันว่าฉันจะทำแท้งนั่นก็เท่ากับว่าทำร้ายตัวเองไปเสียแล้ว แต่ถ้ามั่นใจว่า “ฉันไม่ท้องหรอกย่ะ ป้องกันดี” จากการวิจัยระบุว่าแม้จะมีการใช้ถุงยางอนามัย ก็ยังมีโอกาสพลาดได้สูงถึง 21% เนื่องจากคุณภาพของถุงยางเสื่อม หรือใช้ไม่ถูกต้องและการใช้ยาเม็ดคุมกำเนิดก็มีโอกาสพลาดได้สูงถึง 5%


2. ซึมเศร้า เพราะวัยรุ่นยังไม่ใช่วัยที่จะตั้งรากปักฐานกับใครผู้ใด ยังเป็นวัยแห่งการแสวง เพราะฉะนั้นการเปลี่ยนคู่นอนจึงเกิดเสมอๆ การซึมเศร้าที่เกิดจากขาดความรักที่ยั่งยืนอาจเกาะกินหัวใจคนเราได้


3. ติดโรค อันนี้น่ากลัวนะครับอย่างที่บอกในข้อ 2 ว่าวัยรุ่นเป็นเพียงวัยแสวงหา น้อยคนนักที่จะพบรักแท้ยืนยาวเหมือนชีวิตคู่ผู้ใหญ่ การเปลี่ยนคู่นอนบ่อยๆ ย่อมเกิดโรคตามมาแม้จะป้องกันก็ตาม

4. อาจทำให้เรียนซ้ำชั้นได้ เพราะมุ่งมั่นทำแต่คะแนนรักไม่สนใจการเรียน

5. เป็นขี้ปากชาวบ้าน โดยเฉพาะพวกขี้อิจฉา โดนนินทาว่าเสียตัวแล้วบ้าง เปลี่ยนแฟนอีกแล้ว โดนแฟนทิ้งอีกแล้วบ้าง สำหรับผู้ชายก็อาจจะเป็นที่รังเกียจของสาวดีๆ โดยข้อหานักล่าผู้หญิง หรือนักล่าพรหมจรรย์ ฟังดูน่ากลัวนะครับ แต่เชื่อเลยว่าใครที่อ่านถึงข้อนี้ หัวเราะชัวร์

6. เกิดการหมิ่นเกียรติกันและกันระหว่างชายหญิง ต่างฝ่ายมองว่าอีกฝ่ายเป็นเพียงตัวสนองความใคร่ ไม่มีรักแท้จีรัง ก่อนที่จะรู้จักกันอย่างแน่นแฟนเราอาจจะมองเขาในแง่อื่นไปเสียแล้ว

7. ถูกหลอกซ้ำซาก เพราะเคยปล่อยตัวและใจให้คนก่อนและความต้องการรักแท้ เพราะฉะนั้นคำว่ารักก็อาจจะกลายเป็นแค่ตะขอเบ็ดเกี่ยวเยื่อเท่านั้น

8. ใคร่มากกว่ารัก วัยรุ่นอาจจะต้องการมีเพศสัมพันธ์มากกว่ารัก และเข้าใจคำว่ารักผิดไป สุดท้ายส่งผลให้ไม่เข้าใจกันในที่สุด

9. ผิดหวังในรัก เมื่อคนดีที่เหมาะกับเราเข้ามาในชีวิต เมื่อเขารู้เรื่องราวในอดีตก็อาจจะหลีกหายไปได้ หรือเราเองอาจจะรู้สึกผิดกับอดีตไม่กล้าสู้หน้าเขาหรือเธอคนนั้น จนกลายเป็นคำว่า เธอดีเกินไป หรือเธอไม่คู่ควรกับฉัน เพราะเธอมันช่ำชอง ไม่น่าไว้วางใจ

*10. สร้างความร้าวฉานในชีวิตคู่ เรื่อง ราวในอดีตไม่สามารถลบมันได้ แม้เราจะพยายามลืมไปเท่าไหร่ก็ตาม เมื่อคู่ชีวิตล่วงรู้อดีตกาลของเราย่อมเกิดความไม่ไว้เนื้อเชื่อใจ ชีวิตคู่จะมีความสุขได้อย่างไร แก้วเริ่มร้าวไม่นานก็แตก และไม่อาจประกอบได้ดั่งเดิม

วันอังคารที่ 21 ธันวาคม พ.ศ. 2553

10 เคล็ดลับดีๆ กับวิธีเลือก กางเกงยีนส์


ทำไมผู้หญิงทั่วโลกหลงรัก กางเกงยีนส์ ก็เพราะ กางเกงยีนส์ ช่วยให้ดูเพรียวและเซ็กซี่น่ะสิ แต่การเลือกกางเกงยีนส์ ให้เหมาะกับรูปร่างนั้นยากกว่าเลือกบิกินี่ซะอีก นี่คือคู่มือที่จะช่วยให้คุณค้นพบ กางเกงยีนส์ ในฝัน

1. เลือกซื้อไซส์เล็กกว่าขนาดจริง 1 เบอร์ อย่าเพิ่งคิดว่าจะฟิตเกินไป เพราะเมื่อใส่ไปสักพัก เนื้อผ้าจะขยายออก 10%

2. ถ้าเจอตัวที่ถูกใจซื้อไว้เลย 2 ตัว ตัวแรกตัดให้พอดีข้อเท้า ไว้ใส่กับรองเท้าส้นแบน อีกตัวทิ้งความยาวปลายขาไว้ เพื่อใส่กับรองเท้าส้นสูง

3. เลือกกางเกงยีนส์แบบซิป เพราะใส่ง่ายและแนบกับสรีระมากกว่าแบบกระดุม

4. อย่าลืมเอาเข็มขัดไปด้วย เพื่อลองกางเกงพร้อมกับเข็มขัด จะได้รู้ว่าใส่พอดีและเข้ากันดีหรือไม่

5. นำไปซักก่อนการแก้ไขใดๆ เพราะหลังจากการซักกางเกงยีนส์อาจหดตัว ทำให้ขนาดเปลี่ยนไป

6. รักษาตะเข็บที่ปลายขาไว้ การตัดขากางเกงแบบต่อปลายตะเข็บเดิม อาจแพงกว่า แต่ก็ช่วยให้กางเกงตัวเก่งของคุณสวยสมบูรณ์แบบ

7. ซักด้วยน้ำเย็นทุกครั้ง เพราะน้ำอุ่นจะทำให้กางเกงยีนส์หดตัว อย่าลืมกลับด้านก่อนซักเพื่อป้องกันสีซีดจาง

8. หลีกเลี่ยงการใช้น้ำยาปรับผ้านุ่ม เพราะสารเคมีอาจทำลายสีของกางเกงให้ซีดจาง

9. อย่ารีดด้วยความร้อนสูง เพราะความร้อนอาจทำให้เนื้อผ้าหดตัว

10. ซักแห้งดีที่สุด เพราะช่วยให้สีของกางเกงยีนส์ยังคงเดิมอยู่เสมอ (โดยเฉพาะสีเข้ม)

Label Lingo 5 ศัพท์ ควรรู้ของกางเกงยีนส์

1. Rise ความยาวระหว่างเป้ากางเกงถึงขอบเอว เพื่อดูว่า เอวสูงหรือเอวต่ำ
2. Whiskering ลายทางริ้วบนกางเกงยีนส์เพื่ออำพรางจุดด้อยบริเวณสะโพก
3. Inseam รอยตะเข็บด้านข้าง ตั้งแต่เป้าจนถึงปลายขากางเกง
4. Wash สีสันและวิธีการฟอกกางเกงยีนส์
5. Boot-cut ทรงกางเกงที่เข้ารูป บริเวณสะโพกแล้วค่อยๆ บานออกใต้หัวเข่า

วันเสาร์ที่ 18 ธันวาคม พ.ศ. 2553

น้ำมันทานตะวัน อาจเพิ่มเสี่ยงสมองเสื่อมอัลไซเมอร์


พวกเราคงจะมีประสบการณ์เห็นคนสูงอายุ... อายุยืนแบบป้ำๆ เป๋อๆ หรือนักการเมืองที่พูดจา 5 ชั่วโมงจับสาระไม่ได้สักคำมาแล้วไม่มากก็น้อย

วันนี้มีข่าวเกี่ยวกับอาหารที่เพิ่ม และลดความเสี่ยงสมองเสื่อมอัลไซเมอร์มาฝากค้ะ

...

ท่านอาจารย์ดอกเตอร์ปาสคาล บาร์เบอร์เกอร์-กาโต แห่งสถาบันสุขภาพแห่งชาติ และสถาบันวิจัยการแพทย์ เมืองบอโดซ์ ฝรั่งเศสทำการศึกษากลุ่มตัวอย่างผู้ชายและผู้หญิงที่มีสุขภาพดี 8,000 คน อายุ 65 ปีขึ้นไป

ผลการศึกษาพบว่า อาหารที่มีไขมันชนิดโอเมกา-3 สูง เช่น ปลาทะเล น้ำมันคาโนลา ฯลฯ ช่วยลดความเสี่ยงโรคสมองเสื่อมได้

...

เมื่อทำการวิเคราะห์เจาะลึกลงไปพบข่าวดีคือ

การกินปลาทะเลสัปดาห์ละ 1 ครั้งขึ้นไป > ลดความเสี่ยงได้ 40%
การกินผักผลไม้วันละ 1 ครั้งขึ้นไป > ลดความเสี่ยงได้ 30%
...

ทีนี้ข่าวดีย่อมมาคู่กับข่าวร้าย... ข่าวร้ายคือ การกินน้ำมันพืชที่มีสารโอเมกา-6 สูง เช่น น้ำมันทานตะวัน ฯลฯ เพิ่มความเสี่ยงสมองเสื่อมเป็น 2 เท่า

น้ำมันที่คนไทยใช้ประมาณ 70% เป็นน้ำมันปาล์ม ที่เหลือเป็นน้ำมันถั่วเหลือง น้ำมันหมู น้ำมันรำข้าว และน้ำมันพืชอื่นๆ ปนกัน

...

วิธีเลือกน้ำมันง่ายๆ มีดังต่อไปนี้

หลีกเลี่ยงน้ำมันที่มีไขมันอิ่มตัวสูง ซึ่งจะทำให้ร่างกายสร้างโคเลสเตอรอล หรือไขมันในเลือดชนิดเลว (LDL) เพิ่มขึ้นได้แก่ น้ำมันมะพร้าว กะทิ น้ำมันปาล์ม น้ำมันสัตว์ เช่น น้ำมันหมู ฯลฯ
หลีกเลี่ยงน้ำมันพืชที่มีไขมันไม่อิ่มตัวชนิดโอเมกา-6 สูง เช่น น้ำมันทานตะวัน ฯลฯ
ใช้น้ำมันรำข้าวผสมน้ำมันถั่วเหลืองแทน หรือถ้ามีฐานะดีหน่อย... ควรเลือกใช้น้ำมันมะกอกหรือคาโนลา
กินปลาทะเลสัปดาห์ละ 2-3 ครั้ง ซึ่งควรเน้นปลาที่ไม่ผ่านการทอด เนื่องจากถ้าทอดจะทำให้น้ำมันปลาซึมออก น้ำมันที่ทอดซึมเข้า ทำให้ได้น้ำมันที่ทอดแทนน้ำมันปลา
...

การศึกษานี้บ่งชี้อะไรบางอย่างเหมือนกันคือ แม้แต่เมล็ดทานตะวันก็ไม่ควรกินบ่อย เนื่องจากเมล็ดพืชมีน้ำมันพืชปนอยู่หลายสิบเปอร์เซ็นต์

อาจารย์ซูซาน โซเรนเซอร์ ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัย แห่งสมาคมสมองเสื่อมอัลไซเมอร์กล่าวว่า อาหารที่มีส่วนช่วยป้องกันสมองเสื่อมอัลไซเมอร์ได้แก่ อาหารแบบเมดิเตอร์เรเนียน

...

อาหารแบบเมดิเตอร์เรเนียนมีลักษณะสำคัญได้แก่ เนื้อน้อย หนักไปทางผัก ผลไม้ ปลาทะเล น้ำมันมะกอก และธัญพืชไม่ขัดสี(ขนมปังโฮลวีท หรือข้าวสาลีไม่ขัดสี)

อาหารไทยเราไม่มีน้ำมันมะกอก ทว่า... มีน้ำมันที่มีไขมันไม่อิ่มตัวตำแหน่งเดียว (monounsaturated fatty acid / MUFA) ค่อนข้างสูงคล้ายๆ กันคือ น้ำมันรำข้าว น้ำมันอีกอย่างที่มีคุณสมบัติคล้ายกันคือ น้ำมันถั่วลิสง (มีจำหน่ายในพม่า)

...

ถ้าเราต้องการปรับอาหารไทยให้เป็นอาหารสุขภาพคล้ายๆ อาหารเมดิเตอร์เรเนียนที่ดีกับสุขภาพมาก... เราคงต้องปรับเปลี่ยนดังต่อไปนี้

เปลี่ยนข้าวขาวเป็นข้าวกล้อง
กินผักครึ่งหนึ่ง-อย่างอื่นครึ่งหนึ่ง (ผลไม้ท้งผล ไม่ใช่น้ำผลไม้ + ปลา) แบบที่กรมอนามัยแนะนำ
กินผัก-น้ำพริกอย่างน้อยวันละ 1 ครั้ง
เปลี่ยนน้ำมันไปใช้น้ำมันมะกอก น้ำมันคาโนลา หรือน้ำมันรำข้าวผสมน้ำมันถั่วเหลือง และกินอาหารทอดไม่เกินวันละ 1 มื้อ
...

และอย่าลืมออกกำลังอย่างน้อยเทียบเท่าการเดินเร็ววันละ 30 นาที หรือเพิ่มเป็น 60 นาทีถ้าอ้วน หรืออ้วนลงพุง (เส้นรอบเอวเกิน 90 เซนติเมตรในผู้ชาย หรือ 80 เซนติเมตรในผู้หญิง)

ถึงตรงนี้... ขอให้พวกเรามีสุขภาพดีไปนานๆ ค่ะ

ที่มา

Thank BBC > Heathy diet 'cuts dementia risk' > [ Click ] > November 13, 2007. / J Neurology.
ข้อมูลและการอ้างอิงในบล็อก "บ้านสุขภาพ" เป็นไปเพื่อส่งเสริมสุขภาพ และป้องกันโรค ไม่ใช่รักษาโรค
ท่านที่มีโรคประจำตัวควรปรึกษาหมอ พยาบาล เภสัชกร หรืออนามัยที่ดูแลท่านก่อนนำข้อมูลไปใช้
ขอขอบคุณอาจารย์ณรงค์ ม่วงตานี > สนับสนุนเทคนิค iT.
นพ.วัลลภ พรเรืองวงศ์ > 15 พฤศจิกายน 2550.

วันศุกร์ที่ 17 ธันวาคม พ.ศ. 2553

10 อาหารต้านโรคภัยในหน้าหนาว


10. ถั่วเหลือง ช่วยต้านการเกิดมะเร็งเต้านม ลดความเสี่ยงการเกิดมะเร็งมดลูก สาวๆที่อยากห่างไกลโรคนี้อย่าลืมรับประทาน นำเต้าหู้แกงจืดเต้าหู้ หรืออาหารอื่นๆที่มีเต้าหู้เป็นส่วนประกอบเป็นประจำ


9 สตรอเบอรี่ เป็นผลไม้ที่ดีที่สุดในการกำจัดอนุมูลอิสระ ซึ่งเป็นสาเหตุของการเกิดมะเร็งร้าย และให้พลังงานต่ำ มีวิตามินซีสูง8. โยเกิร์ต เชื่อหรือไม่ว่าการที่ผู้หญิงรับประทานโยเกิร์ตวันละ 1 ถ้วย ช่วยลดการติดเชื้อในช่องคลอดได้ถึง 50% เพราะจุลินทรีย์แลคโตบาซิลลัสในโยเกิร์ตจะกระตุ้นร่างกายสร้างสารต้านการติดเชื้อ ทั้งช่วยลดอาการอ่อนเพลียและทำให้สดชื่นแจ่มใส ต่อไปเห็นที่จะต้องรับประทานโยเกิร์ตทุกวันซะแล้ว


7. บรอกโคลี ในดอกตูมของบรอกโคลีมีสารป้องกันมะเร็งมากกว่าต้นแก่ 30 -50 เท่า


6. ถั่วดำ มีสารต้านโรคโลหิตจาง และมีวิตามินบีและโปรตีนอีกหลายชนิด


5. จมูกข้าวสาลี มีธาตุสังกะสีมาก จึงช่วยขจัดสิวอันเป็นปัญหาของผิวพรรณได้ดี ถ้าเติมจมูกข้าวสาลีในโยเกิร์ตหรือธัญพืชกรอบ มื้อเช้าของคุณเป็นประจำ ผิวหน้าของคุณจะผ่องใสไร้สิวแน่นอน



4. มันเทศ อุดมไปด้วยวิตามินเอ ซีและอี ซึ่งเป็นสารต้านอนุมูลอิสระและช่วยป้องกันโรคหลอดเลือดหัวใจตีบได้อีกด้วย ดังนั้นควรเพิ่มเมนูมันเทศเข้าเป็นอาหารประจำบ้านคุณเพื่อสุขภาพที่ดี

3. หอมหัวใหญ่ มีสารเคอร์เซทีน จึงช่วยเพิ่มภูมิต้านทานให้ร่างกาย ป้องกันโรคภูมิแพ้ แก้อาการหอบหืดและอาการแพ้ต่างๆได้ดี ฉะนั้นอย่างลืมใช้หอมหัวใหญ่ปรุงเมนูเด็ดของคุณ


2. กระเทียมสด ในกระเทียมสดประกอบด้วยสารทรงคุณค่า 2 ชนิดคือ อัลลิซินและไดอะลิศ ซึ่งทำหน้าที่ลดคลอเลสเตอรอลซึ่งเป็นสาเหุตของโรคหลอดเลือดสมองและหัวใจ ช่วยลดความดันโลหิตและป้องกันเลือดจับตัวเปนก้อน ดังนั้นเพื่อสุขภาพที่ดี รับประทานกระเทียมวันละ 2 กลีบเป็นประจำ
1. ซอสมะเขือเทศ อาหารของชาวอิตาเลียนจะมีซอสมะเขือเทศเปนเครื่องปรุงหลักและพบว่าชาวอิตาเลียนเสียชีวิตด้วยโรคหัวใจน้อยกว่าชาติอื่นหลายเท่า เพราะในซอสมะเขือเทศ อุดมไปด้วยสารไลโคปิน ซึ่งมีอยู่ในมะเขือเทศและเมื่อผ่านกระบวนการทำเป็นซอสจะเพิ่มปริมาณขึ้นอีก 5 เท่า และสารไลโคปินนี้มีสรรพคุณป้องกันโรคหัวใจและชะลอการเสื่อมของเซลล์ ดังนั้นถ้าคุณรับประทานซอสมะเขือเทศ 2 ถ้วยต่อสัปดาห์ โรคหัวใจก็จะห่างไกลคุณแถมด้วยผิวพรรณสดใสอ่อนเยาว์อีกด้วย

วันพฤหัสบดีที่ 16 ธันวาคม พ.ศ. 2553

10 สถานที่เค้าเดาวน์สุดฮิตของคนไทย ตอนรับปีใหม่ !!!



1.ลาน world trade center อันนี้แน่นอน ด้วยสถานที่กว้าง ใจกลางเมือง แถมด้วยการเดินทางสะดวก ยิ่งใหญ่ไม่แพ้ time square newyork ว่าไปนั่น มีลานให้จิบเบียร์เย็นๆรอ ถ่ายรูปสวยๆกับไฟแสงสีเหมือนเมืองนอกเมืองนา สุดฮิปเลยโหวตให้อันดับ 1 เลย





2. เชียงใหม่ และยอดดอยสูงๆทั้งหลาย น่าจะเป็นเสน่ห์ดึงดูดใจให้ไหลหลง และหลบปลีกวิเวกจากความวุ่นวายในสังคมกรุงได้ดี ไม่ว่าจะเป็น ดอยสุเทพ สนามกีฬา700ปี[เชียงใหม่]
ดอยตุง เชียงราย แม่ฮ่องสอน สำหรับความโรแมนติกประทับใจ




3. พัทยา ช่วงสองสามปีหลัง พัทยามาแรง เพราะมีการจัดเคาท์ดาวน์ชายหาดกันทุกปี จุดพลุเป็นหมื่นๆนัดไม่แพ้ กทม. สาวๆ หนุ่มๆชวนกันไปยืน HBD ชายหาด กอดกันดูพลุสุดโรแมนติก
ถ้าอยากดูพลุสวย เมืองสวย โรแมนติก ที่นี่มาแรงจริง





4. ริมฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยา ดูแบคกราวน์หลากหลาย ไม่ว่าจะเป็น สะพานต่างๆที่ประดับแสงสี
พระบรมมหาราชวัง หรืออื่นๆ ตามร้านอาหาร โรงแรม หรือผับตลอดสองฝั่งกทม.
เป็นสถานที่โรแมนติกสุดๆสำหรับชาวกรุงเทพโดยแท้




5. ชายฝั่งทะเลอ่าวไทย ตามเกาะแก่งต่างๆ เช่นเกาะสมุย
ขึ้นชื่อในงานปาร์ตี้ชายหาด หรือถ้าจะเอาแบบยังสงบสวยต้องที่เกาะช้าง





6. ชายฝั่งอันดามัน เช่น ภูเก็ต กระบี่ พีพี
สำหรับผู้ที่หลงเสนห์แห่งท้องทะเลสวยงามตามเกาะแก่งที่ธรรมชาติมากๆ




7. ผับต่างๆใจกลางเมืองหลวง สำหรับวัยรุ่น วัยมันส์ที่สนุกสนานไปตามวัย เช่น ผับตามถนนรัชดา สุขุมวิท


8. ท้องสนามหลวง อันนี้สำหรับผู้ใหญ่ สเน่ห์แสงสีต่างๆของสนามหลวง สำหรับผู้ที่รักในประวัติศาสตร์

9. บ้านของตนเอง

10.บ้านเพื่อน หรือ บ้านญาติ

วันพุธที่ 15 ธันวาคม พ.ศ. 2553

กินเผ็ด ป้องกันโรค มีประโยชน์สารพัด


พูดถึง "พริก" ทุกคนจะนึกถึงความเผ็ด หลายคนชอบกินอาหารรสเผ็ด แต่หลายคนไม่ชอบ ผู้อ่านรู้หรือไม่ว่านอกจากความเผ็ดแล้ว "พริก" มีประโยชน์อย่างไร

เกี่ยวกับเรื่องนี้ นพ.กฤษดา ศิรามพุช ผอ.ศูนย์เวชศาสตร์อายุรวัฒน์นานาชาติ กล่าวว่า พริก มีถิ่นกำเนิดมาจากทวีปอเมริกาใต้ ถูกนำเข้ามาในประเทศไทย โดยชาวโปรตุเกส สมัยกรุงศรีอยุธยาตอนต้น หรือ ในสมัยสมเด็จพระรามาธิบดีที่ 2

ความเผ็ดของพริกมาจากสารชื่อ "แคป ไซซิน" พริกยังมีสารสำคัญอีกหลายชนิด เช่น วิตามินซี วิตามินเอ ธาตุเหล็ก และแคลเซียม

คนที่กินพริกนานๆ จะทำให้ติดเผ็ด จากงานวิจัยที่ผ่านมา พบว่า คนไทยกินพริกมากที่สุดเฉลี่ย 5 กรัมต่อวัน หรือ ประมาณ 1 ช้อนชา

ประโยชน์ของพริกมีหลายอย่าง เช่น ช่วยเพิ่มสารแห่ง ความสุข คือ เอ็นโดรฟิน บรรเทาอาการ เจ็บปวด บรรเทา อาการไข้หวัด ลดน้ำมูก ลดปริมาณคอเรสเตอรอลจากงานวิจัยของญี่ปุ่น พบว่า พริกช่วยเพิ่มอุณหภูมิในร่างกายและช่วยในการเผาผลาญ มีประโยชน์เรื่องการควบคุมน้ำหนัก ขณะเดียวกันยังช่วยละลายเสมหะที่เหนียวข้นให้จางลง ช่วยให้ขับเสมหะออกมาได้ง่าย สำหรับผู้ป่วยหอบหืด พริกจะช่วยทำให้หลอดลมขยายตัวได้ดี ไม่หดเกร็ง ดังนั้นคนที่เป็นโรคภูมิแพ้ หรือหอบหืดกินพริกจะดี

การกินพริก ยังช่วยลดปริมาณสารที่ทำให้แก่ คือ อินซูลิน มีรายงานว่า 30 นาทีหลังกินพริก อินซูลินจะไม่ขึ้นเลย พออินซูลินไม่ขึ้น ก็จะไม่ทำให้รู้สึกอยากหวาน นอกจากนี้วิตามินซีในพริก ยังช่วยต้านอนุมูลอิสระ ลดความเสี่ยง ในการเกิดโรคมะเร็ง จากผลการวิจัยของคณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล พบว่า พริกยังช่วยในการสลายลิ่มเลือดด้วย

นอกจากการบริโภคแล้ว พริกยังถูกนำมาทำเป็นเจล ใช้ทารักษาผิวหนังอักเสบ แก้ปวดข้อ ปวดเมื่อยตามตัว เข่าอักเสบ เริม หรืองูสวัด

ส่วนที่หลายคนมีความเชื่อว่าการกินพริกมากๆ หรือ รับประทานอาหารรสเผ็ดจัด จะทำให้เป็นโรคกระเพาะอาหารนั้น นพ.กฤษดา บอกว่าสารในพริกมีฤทธิ์เป็นกรดก็จริง แต่พริก ไม่ได้ทำให้เกิดโรคกระเพาะอาหาร ปัจจัยที่ทำให้เกิดโรคกระเพาะอาหาร น่าจะมาจากการกินอาหารมัน ๆ มากกว่า เช่น ข้าวขาหมู กว่าจะย่อยต้องใช้เวลา 2-3 ชม. ทำให้เกิดกรดในกระเพาะอาหาร

แต่การกินอาหารเผ็ดจัด อาจทำให้เกิดอาการ เหมือนคนเป็นโรคกระเพาะอาหาร เพราะสารในพริกซึ่งเป็นกรด จะไปทำให้หลอดอาหารหดเกร็ง ทำให้รู้สึกจุกแน่นลิ้นปี่

กรณีที่กินอาหารเผ็ดมากๆ วิธีแก้ คือ ต้องกินอาหารที่มันๆ เพราะสารแคปไซซิน จะละลายได้ดีในไขมัน แต่ละลายในน้ำได้เพียงเล็กน้อย การดื่มน้ำเย็นจะไม่ช่วยทำให้หายเผ็ด ถ้าจะแก้เผ็ดต้องดื่มนม หรือ ไอศกรีม ทั้งนี้ ถือเป็นภูมิปัญญาของคนไทยที่ใช้ความมันจากกะทิมาดับเผ็ด เห็นได้จากการทำแกงเขียวหวาน หรือแกงต่าง ๆ ที่ใส่กะทิ

ข้อควรระวัง คือ ในคนที่เป็นโรคกระเพาะอาหารอยู่แล้ว ควรหลีกเลี่ยง เพราะอาหารรสเผ็ดจัด จะยิ่งทำให้กรดไปกัดแผลในกระเพาะอาหาร ส่วนเด็กและคนแก่ ที่สำลักง่าย ก็ควรหลีกเลี่ยงเช่นกัน เพราะถ้าสำลักเข้าหลอดลม กรดอาจจะไปกัดหลอดลม ทำให้เกิดปัญหาหลอดลมหดเกร็ง ตีบ บวม หายใจไม่ออกได้

สรุปว่า การกินอาหารเผ็ด ๆ มีแต่ข้อดี แทบจะไม่มีข้อเสีย แต่ก็ควรระวังพริกป่น พริกซอง ที่อาจมีสารอะฟลาทอกซิน เสี่ยงต่อการเกิดโรคมะเร็งตับ

วิธีแก้แสบร้อน เพราะพริกขี้หนู

เวลาที่เข้าครัวทำอาหาร แล้วต้องหั่น หรือ ซอย พริกขี้หนู อาจจะทำให้เกิดความแสบร้อนที่มือได้ วันนี้เกร็ดความรู้มีวิธีแก้มาบอกกัน....

วิธีที่ 1 ให้นำเกลือแกงหรือเกลือเค็ม ๆ ที่ใช้ปรุงอาหารกัน สักหนึ่งช้อนแกง ลูบลงบนมือ ถูไปถูมา แล้วความแสบร้อน ก็จะคลายลง

วิธีที่ 2 ให้ใช้แป้ง ไม่ว่าจะแป้งเด็กทาตัว หรือแป้งหมี่ ที่ใช้ทำอาหารก็ได้ นำมาถูไปถูมา ตรงบริเวณที่รู้สึกแสบร้อน สักครู่ก็จะรู้สึกดีขึ้น

อย่าลืมนำวิธีที่แนะนำไปปฏิบัติตามกันได้

วันอังคารที่ 14 ธันวาคม พ.ศ. 2553

10 อาหาร ต้านอ้วนลงพุง


มีอาหารดีๆ ที่มีส่วนช่วยต้านโรคอ้วนลงพุง 10 อย่างได้แก่

1.ธัญพืชไม่ขัดสี เช่น ข้าวกล้อง ฯลฯ
2.ข้าวโอ๊ต
3.ผักต่างๆ เช่น มะเขือเทศ หัวหอม กระเทียม ฯลฯ
4.ผักใบเขียว
5.ถั่วต่าง เช่น ถั่วเหลือง ถั่วเขียว ถั่วแดง ฯลฯ
6.ถั่วเปลือกแข็ง (นัท / nuts) เช่น อัลมอนด์(อันแสนแพง) ฯลฯ... ถั่วที่มีคุณสมบัติคล้ายถั่วเปลือกแข็งมากที่สุดคือ ถั่วลิสงต้ม
7.นมชนิดไม่มีไขมัน และไม่เติมน้ำตาล
8.ไข่ขาว
9.เนื้อไม่ติดมัน ซึ่งผู้ใหญ่ไม่ควรกินมากเกิน (ไม่ควรเกินสัปดาห์ละ 3 ฝ่ามือถ้าไขมันในเลือด หรือโคเลสเตอรอลสูง) เนื่องจากเนื้อไม่ติดมันก็ยังมีไขมันสัตว์แฝงอยู่แบบ "มองไม่เห็น"
10.ไข่ขาว

วันจันทร์ที่ 13 ธันวาคม พ.ศ. 2553

ท้องอืด.... อาหารไม่ย่อย

ถาม. ลักษณะอาการท้องอืด มีลักษณะอาการอย่างไร
ตอบ. ได้แก่ อาการ ที่มีการปวดท้องส่วนบน ท้องอืด แน่นท้อง มีลมในท้อง ต้องเรอบ่อยๆ บางคนอาจจะมีอาการคลื่นไส้ อาเจียน อิ่มเร็ว หรือบางคนอาจจะมีอาการแน่นท้อง แม้กินอาหารเพียงเล็กน้อย แสบบริเวณหน้าอก

ถาม. สาเหตุที่ทำให้เกิดอาการท้องอืด เกิดจากสาเหตุอะไร
ตอบ. สาเหตุอาจจะเกิดจากหลายอย่างด้วยกัน
1. โรคในระบบทางเดินอาหารเอง ได้แก่ โรคแผลในกระเพาะอาหาร กระเพาะอาหารอักเสบ มะเร็งกระเพาะอาหาร พยาธิในทางเดินอาหาร เป็นต้น
2. โรคที่เกิดจากสิ่งภายนอก ได้แก่ ยาต่าง ๆ ที่เรารับประทาน ยาหลายชนิดจะทำให้เยื่อบุกระเพาะอาหารอักเสบ ได้แก่ ยาแก้ปวดข้อทั้งหลาย ยาบางชนิด จะทำให้กระเพาะ และลำไส้บีบตัวน้อยลง เช่น ยานอนหลับ ยากล่อมประสาท ยาปฏิชีวนะบางอย่าง เครื่องดื่ม ที่มีแอลกอฮอลเป็นส่วนผสม เช่น เหล้า เบียร์ จะทำให้กระเพาะอาหารอักเสบ บุหรี่ อาหารที่ย่อยยากหลายอย่าง รวมทั้งอาหารที่มีกากมาก ๆ อาหารรสจัด
3. โรคของทางเดินน้ำดี เช่น นิ่วในถุงน้ำดี
4. โรคของตับอ่อน
5. โรคทางร่างกายอย่างอื่น ๆ เช่น เบาหวาน โรคต่อมไทรอยดพฤติกรรมในการรับประทานอาหาร มีส่วนเกี่ยวข้อกับอาหารท้องอืด

ถาม. พฤติกรรมในการรับประทานอาหารมีส่วนเป็นสาเหตุให้เกิดอาการท้องอืดหรือไม่
ตอบ. พฤติกรรม ในการรับประทานอาหาร มีส่วนด้วยอย่างแน่นอน เช่น การรับประทานอาหารรสจัด จะทำให้เยื่อบุอาหารอักเสบ การรับประทานอาหารรีบร้อน เคี้ยวไม่ละเอียด รับประทานครั้งละมากไป รวมทั้งรับ ระทานอาหารย่อยยาก รับประทานอาหารมัน
อาหารประเภทผักจะมีเส้นใยปริมาณมาก ร่างกายเราไม่มีน้ำย่อยที่จะทำการย่อย เส้นใยเหล่านั้น แบคทีเรียในลำไส้จะเป็นตัวช่วยย่อยทำให้เกิดมีกรดบางอย่างนั้น อาจจะทำให้ท้องอืดได้ ถ้ารับประทานมากไป แต่อาหารที่มีเส้นใยมากก็จะมีประโยชน์ในเรื่องของการขับถ่ายจะทำให้ขับถ่ายสะดวก อาหารประเภทนม ในคนแถบเอเชียจะไม่มีน้ำย่อยที่ย่อยนม หรือมีปริมาณน้อย เมื่อรับประทานจะทำให้มีอาหารท้องอืด หรือท้องเสีย ได้ถ้ารับประทานมาก

ถาม. คนที่ท้องอืดบ่อยๆ ถือว่ามีความผิดปกติหรือไม่
ตอบ. อาการท้องอืดถ้านาน ๆ เป็นครั้งคราวจะไม่เป็นไร แต่ถ้าเป็นบ่อย ก็จะเป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดอาหารท้องอืด โดยเฉพาะผู้สูงอายุ เพราะอาการท้องอืด เป็นอาการนำอันหนึ่งของมะเร็ง ในช่องท้อง โดยเฉพาะผู้สูงอายุที่ไม่เคยมีอาการมาก่อน เพิ่มจะมีอาการท้องอืด ในช่วงเวลาสั้น ๆ รวมถึงถ้ามีอาการอย่างอื่นร่วมด้วย เช่น เมื่ออาหารคลื่นไส้ อาเจียน น้ำหนักลด ซีด ควรจะรีบพบแพทย์ เพราะอาจจะเป็นอาการนำของมะเร็ง กระเพาะอาหารได้

ถาม. ปัญหาที่พบบ่อย ในคนที่มีอาการท้องอืดบ่อยๆ
ตอบ. ปัญหาที่พบบ่อย ในคนที่ท้องอืด ได้แก่ โรคกระเพาะอาจจะเป็นแผลในกระเพาะอาหาร หรือกระเพาะอาหารอักเสบ อาจจะเป็น โรคของทางเดินน้ำดี เช่น เป็นนิ่วในถุงน้ำดี หรืออาจจะเป็นจากอาหารที่เรารับประทาน

ถาม. เมื่อมีอาการท้องอืด เบื้องต้นมีวิธีแก้ไขอย่างไร
ตอบ. การแก้ไขเบื้องต้น อาจจะใช้ยาสามัญประจำบ้าน ได้แก่ ยาขับลม หรือ ยาธาตุน้ำแดง ลองรับประทานดูก่อน ปรับอาหารให้รับประทานอาหารอ่อน ย่อยง่าย รับประทานแต่พอควรไม่ให้มาก ถ้ายังไม่ดีขึ้นควรไปพบแพทย์

ถาม. การรับประทาน ยาช่วยย่อยที่มีขายตามร้าน ขายยาทั่วไปมีผลอย่างไรต่อร่างกายหรือไม่ในกรณี ใช้เป็นประจำ
ตอบ. การรับประทานยาช่วยย่อย อาจจะช่วยอาการท้องอืดได้บ้าง แต่ถ้าต้องรับประทานทุกวัน คงจะไม่ถูกต้องเพราะเราไม่ทราบสาเหตุที่แท้จริง ของอาการท้องอืดและไม่ได้รับการแก้ไขสาเหตุที่แท้จริง อาจจะนำให้ โรคเป็นมากขึ้นได้

ถาม. เมื่อใดควรไปพบแพทย์
ตอบ. ผู้ที่มีอาการดังต่อไปนี้ควรจะไปพบแพทย์เพื่อทำการตรวจค้นหาสาเหตุที่แท้จริง และทำการรักษาได้แก่
1. ในคนสูงอายุ เช่น อายุเกิน 40 ปี เพิ่งจะเริ่มมีอาการท้องอืดท้องเฟ้อ เกิดขึ้นในช่วงเวลาสั้น ๆ เนื่องจาก พบว่ามะเร็งของกระเพาะอาหาร หรือตับมักจะพบในคนอายุเกินกว่า 40 ปี
2. ในคนที่มีอาการท้องอืดร่วมกับมีน้ำหนักลด
3. มีอาการซีด ถ่ายอุจจาระดำ
4. มีอาเจียนติดต่อกัน หรือกลืนอาหารไม่ได้
5. ตัวเหลือง ตาเหลือง หรือมีก้อนในท้อง
6. ปวดท้องมาก
7. ท้องอืดแน่นท้องมาก
8. การขับถ่ายอุจจาระเปลี่ยนแปลงไป

ถาม. การรักษาในปัจจุบัน
ตอบ. ถ้าในคนอายุน้อยไม่ได้มีข้อบ่งชี้ว่า เป็นโรคที่อันตรายแพทย์ อาจจะให้ยามารับประทาน และแนะนำวิธีปฏิบัติตัว ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมในการรับประทานอาหาร และนัดมาพบเพื่อดูอาการ ถ้าไม่ดีขึ้น แพทย์อาจจะดำเนินการ สืบค้นหาสาเหตุ ถ้าเป็นในกรณีที่กล่าวข้างต้น ถึงอาการต่างๆ แพทย์คงจะต้องทำการตรวจสืบค้นหาสาเหตุ และรักษาไปตามต้นเหตุ

ถาม. ข้อแนะนำ และการปฏิบัติตัวในผู้ที่มีอาการท้องอืดและการป้องกัน
ตอบ. ไม่ควรดื่มสุรา หรือ แอลกอฮอลล์ อาหารรสจัด อาหารหมักดอง บุหรี่ น้ำชา กาแฟ
ผู้ที่ดื่มนมแล้วมีอาการท้องอืด หรือท้องเสีย อาจจะขาดน้ำย่อย ใช้ย่อยนม ซึ่งได้แก่การเปลี่ยนแปลงในการกินอยู่และการดำเนินชีวิตประจำวัน ควรรับประทานอาหารประเภทผักที่มีเส้นใยมากๆ ถ้ารับประทานอาหารมากไปอาจจะทำให้เกิดอาการท้องอืดเกินขึ้นได้ เพราะเส้นใยอาหารหรือกากใยอากรร่างกายเราย่อยไม่ได้ต้องอาศัยแบคทีเรียที่อยู่ในลำไส้ใหญ่เป้นตัวช่วยย่อยสลาย แต่อย่างไรก็ตามอาหารประเภทผัก ก็มีประโยชน์ เพราะทำให้การขับถ่ายสะดวก สำหรับผู้ที่เป็นโรคกระเพาะอาหารควรรับประทานอาหารครั้งละมากๆ แต่ควรจะมีอาหารว่างระหว่างมื้อ รับประทานอาหารช้าๆ เคี้ยวให้ละเอียดไม่ควรรีบร้อน

วันอาทิตย์ที่ 12 ธันวาคม พ.ศ. 2553

ปลาร้า


ปลาร้า หรือ ปลาแดก ในภาษาอีสาน เป็นอาหารท้องถิ่นภาคอีสาน ของไทย และ ลาว รวมถึง บางส่วนของเวียดนาม โดยมักทำจากปลาน้ำจืดขนาดเล็ก เช่น ปลาสร้อยขาว ปลากระดี่มาหมักกับรำข้าวและเกลือ แล้วบรรจุใส่ไห โดยทั่วไปจะหมักไว้ 7-8 เดือน และนำมารับประทานได้ หรือ นำไปปรุงอาหารอย่างอื่น เช่น ส้มตำ เป็นต้น โดยส้มตำที่ใส่ปลาร้านั้นจะเรียกว่า ส้มตำลาว หรือ ส้มตำปลาร้า โดยในบางที่มีค่านิยมว่า หมักให้เกิดหนอนจะยิ่งเพิ่มรสชาติยิ่งขึ้น

จากหลักฐานทางโบราณคดีพบว่า ปลาร้า เป็นอาหารของวัฒนธรรมอีสานมานานกว่า 4,000 ปีแล้ว โดยพบวัสดุที่คล้ายกับไหหมักปลาร้า

ปัจจุบัน การทำปลาร้าได้พัฒนาขึ้นไปสู่ระดับสากลมากขึ้น มีปลาร้าพาสเจอร์ไรซ์ เพื่อฆ่าเชื้อโรคก่อนด้วย หรือ ปลาร้าอนามัย แต่ส่วนใหญ่ ปลาร้าก็ยังนิยมทำแบบเดิม โดยตักขายตามน้ำหนักตามตลาดสดต่าง ๆ

ปลาร้าเลสาบ

นอกจากภาคอีสานแล้ว ทางภาคใต้มีปลาร้าที่เป็นเอกลักษณ์ของตนโดยเฉพาะเรียกปลาร้าเลสาบ นิยมทำในบริเวณทะเลสาบสงขลา ปลาที่นิยมทำคือปลาดุก การทำปลาร้าแบบภาคใต้นี้ จะหมักปลากับเกลือและน้ำตาลโตนด 1 คืน แล้วนำไปตากแดด 2-3 วัน จึงรับประทานได้

วันศุกร์ที่ 10 ธันวาคม พ.ศ. 2553

TOP 5 เมนูไทย ที่ฝรั่งโหวตหมดใจว่าอร่อยสุด







อันดับ 5 ข้าวผัด [Fried Rice]
เอ๊ .... ตอนแรกก็แอบแปลกใจนะคะว่า ทำไมข้าวผัด(ไทย)ถึงติดชาร์ทมากับเค้าด้วยล่ะ เพราะประเทศอื่นๆ ก็มีข้าวผัดเหมือนกันนี่นา แต่หลังจากอ่านความเห็นแล้ว คนต่างชาติเค้าบอกว่า ข้าวผัดไทยรสชาติกำลังพอดีค่ะ เพราะถ้าเป็นของที่อื่นเช่นแถบยุโรปหรืออเมริกาเนี่ยจะค่อนข้างจืด ถ้าเป็นของจีนจะมันแผล็บอารมณ์ผัดทีใส่น้ำมันไป 5 ขวดรึเปล่าก็ไม่รู้ แต่ของไทยกำลังดีค่ะ ไม่มันไป ไม่แห้งไป แถมมีแตงกวาและมะนาวแถมให้อีกด้วย โอ๊ย พูดแล้วหิว T^T


อันดับ 4 โรตีกล้วย [Banana Pancake]
แอบขำเบาๆ ที่โรตีกล้วยติดชาร์ทมากับเค้าด้วย เลยขอฟันธงว่า คนที่โหวตให้โรตีกล้วยติดอันดับน่าจะเป็นคนที่ไปตระเวนอยู่ข้าวสารทั้งวันทั้งคืนแน่ๆ เลยค่ะ ฮ่าๆๆ ถึงได้กินโรตีกล้วยกันจนติดอกติดใจขนาดนี้ อิอิ แต่กินทีนี่เบาหวานแทบจะขึ้นทีเดียว เพราะลำพังตัวแผ่นแป้งโรตีราดนมก็หวานจะแย่แล้ว เจอกล้วยหอมสุกๆ เข้าไปอีก โอ้ววว เบาหวานขึ้นตาทีเดียว แต่ก็อร่อยจนหยุดไม่อยู่จริงๆ


อันดับ 3 แกงเขียวหวานไก่ [Chicken Green Curry]
อันนี้เชียร์สุดตัวเพราะเป็นของโปรด พี่เป้ เอง 5555 จะกินกับข้าวร้อนๆ หรือจะขนมจีนก็อร่อยไม่แพ้กัน ^^ แต่ของฝรั่งเค้าจะนิยมแบบเผ็ดไม่มากค่ะ เพราะไม่งั้นได้น้ำหูน้ำตาไหลกันแน่ๆ หรือจะเปลี่ยนจากใส่ไก่ เป็นใส่เลือดไก่ ใส่หมู ใส่เนื้อแทน ก็อร่อยเหมือนกันเนาะ


อันดับ 2 ต้มยำกุ้ง [Tom Yum Kung]
ป็นอาหารที่ขอใช้ชื่อทับศัพท์ละกันเนาะ เพราะถ้าเห็นคำว่า Tom Yum Kung ที่ไหน ใครๆ ก็ต้องร้องอ๋ออออ ไทยแลนด์โอนลี่ ! อาจจะเรียกได้ว่าเป็นอาหารประจำชาติไทยไปแล้ว เพราะถ้านึกถึงประเทศไทยเมื่อไหร่ เชื่อว่าเกินกว่าครึ่งจะต้องนึกถึงต้มยำกุ้งกันทันที เป็นเมนูที่ว่า ถ้าใครไม่ได้กินถือว่ามาไม่ถึงเมืองไทยกันเลยทีเดียว


อันดับ 1 ส้มตำ [Som Tum]
ผลออกมาตามโผไม่พลิกค่ะ ส้มตำคว้าอันดับ 1 ไปได้อย่างไม่ยากนัก ซึ่งเมนูสุดโปรดส่วนมากของชาวต่างชาติจะนิยมเป็นส้มตำไทยไม่เผ็ด เสิร์ฟพร้อมข้าวเหนียวร้อนๆ แต่แหม .... ถ้าใครมีเพื่อนเป็นชาวต่างชาติ ก็ลองแนะนำเป็นส้มตำปู(ปลาร้า)ให้เค้าลองชิมบ้างนะคะ

5555555555

วันอังคารที่ 7 ธันวาคม พ.ศ. 2553

คำอวยพรวันเกิด

www.tidtam.com ได้รวบรวม คำอวยพรวันเกิด มากมาย ทั้งภาษาไทย และ อังกฤษ พร้อมคำแปล มาไว้ให้ เพื่อนๆ น้องๆ พี่ๆ ได้นำไป อวยพรวันเกิด คนสำคัญ หวังว่าคงถูกใจกัน ถ้าถูกใจ แนะนำ คนอื่นๆมาเข้าเวปด้วยนะคะ

คำอวยพรวันเกิด

have a Happy Birthday , request have strong health , there is the progress in the work and have one's hopes fulfilled for what , wish every the points ,
สุขสันต์วันเกิด ขอให้สุขภาพแข็งแรง มีความเจริญก้าวหน้าในการงานและสมหวังในสิ่งที่ปรารถนาทุกประการ


Happy birth day ; I wish you always be *** happy in your life and achieve all your goal.
สุขสันต์วันเกิด ฉันขอให้คนสุขภาพแข็งแรงเสมอ มีความสุขในชีวิต และประสบความสำเร็จในเป้าหมาย


Hello! happy birth day my friend. I wish you have a nice day. get everything that you need. arrrrr would you have some money for i borrow. Ha ha ha
Your friend : get out ! right now.

May this birthday be the beginning of the best years of your life.
ขออวยพรให้ในวันเกิดนี้เป็นปีที่เริ่มต้นที่ดีที่สุดของคุณ
You deserve the best birthday on Earth.
Not to mention the moon, the stars, and the universe.
ในวันเกิดนี้คุณควรได้รับสิ่งที่ดีที่สุดบนผืนโลก
รวมทั้งพระจันทร์ ดวงดาวและะจักรวาล

Hip, hip, hooray! It's your birthday today!
ฮิป ฮิป ฮูเรย์ วันนี้เป็นวันเกิดคุณ

Best wishes on your birthday. You deserve a special one.
สุขสันต์วันเกิด คุณควรได้รับสิ่งที่พิเศษที่สุดในวันเกิดนี้

Birthday greetings! Hope it's the best one yet!
สุขสันต์วันเกิด หวังว่านี่คงเป็นวันเกิดที่ดีที่สุดที่เคยมี

I planned to get you something memorable for your birthday.
But then I forgot. Best belated wishes.
ฉันเตรียมจะให้สิ่งที่เธอจะได้จดจำนานๆในวันเกิด
แต่ฉันลืมไป สุขสันต์วันเกิดที่ผ่านมา

It's your birthday, Mom, and you deserve a day off.
So sit back, relax and let Dad do all the work!
วันเกิดแม่นะวันนี้ แม่ควรจะหยุดทำงานสักวัน นั่งลง
รีแลกซ์ ในวันเกิดนี้ให้พ่อทำงานทุกอย่างเอง

Happy Birthday to a special friend.
I'm glad we can spend it together.
สุขสันต์วันเกิดแด่เพื่อนคนพิเศษ
ฉันดีใจที่ได้เราอยู่ร่วมฉลองกัน

Hope your birthday is filled with your favorite things.
And that I'm one of them.
หวังว่าในวันเกิดนี้มีแต่สิ่งดีๆที่เธอโปรด
และสิ่งหนึ่งในนั้นก็คือฉัน

Happy Birthday! and many happy returns!
สุขสันต์วันเกิดปีนี้และปีต่อๆไป




คำอวยพรวันเกิด จากทั่วโลก

Brazil ----------> Parab้ns a voc๊! + Parab้ns a voc๊
Chinese-Cantonese ----------> Sun Yat Fai Lok!
Chinese Fuzhou ----------> San Ni Kuai Lo!
Chiness-Hakka ----------> Sang Ngit Fai Lok!
Chinese-Mandarin ----------> qu ni sheng er kuai le
Chinese-Shanghaiese ----------> San ruit kua lok!
Chinese-Tiociu ----------> Se Jit khuai lak!
Danish ----------> Tillykke med fodselsdagen!
Dutch-Antwerps ----------> Ne gelukkege verjoardach!
Dutch-Bilzers ----------> Ne geleukkege verjoardoag!
Dutch-Drents ----------> Fellisiteert!
Dutch-Flemish ----------> Gelukkige verjaardag! or Prettige verjaardag!
Dutch-Frisian ----------> Fan herte lokwinske!
Dutch-Limburgs ----------> Proficiat! or Perfisia!
Dutch-Spouwers ----------> Ne geleukkege verjeurdoag!
Dutch-Twents ----------> Gefeliciteard met oen'n verjoardag!
English ----------> Happy Birthday!
French (Canada) ----------> Bonne Fete!
French ----------> Joyeux Anniversaire!
German-Badisch ----------> Allis Guedi zu dim Fescht!
German-Bavarian ----------> Ois Guade zu Deim Geburdstog!
German-Berlinisch ----------> Allet Jute ooch zum Jeburtstach! or Ick wuensch da allet Jute zum Jeburtstach!
German-Bernese ----------> Es Muentschi zum Geburri!
German-Camelottisch ----------> Ewllews Gewtew zewm Gewbewrtstewg. Mew!
German-Frankonian ----------> Allmecht! Iich wuensch Dir aan guuadn Gebuardsdooch!
German-Lichtenstein ----------> Haerzliche Glueckwuensche zum Geburtstag!
German-Moselfraenkisch ----------> Haezzlische Glickwunsch zem Gebordsdach!
German-Plattdeutsch ----------> Ick wuensch Di allns Gode ton Geburtsdach!
German-Rhoihessisch ----------> Ich gratelier Dir aach zum Geburtstag!
German-Ruhr ----------> Allet Gute zum Gebuatstach!
German-Saarlaendisch ----------> Alles Gudde for dei Gebordsdaach!
German-Saechsisch ----------> Herzlischen Gliggwunsch zum Geburdsdaach!
German-Schwaebisch ----------> Aelles Guade zom Gebordzdag!
German-Wienerisch ----------> Ois Guade zum Geburdsdog!
German ----------> Alles Gute zum Geburtstag!
Italian ----------> Buon Compleanno!
Italian (Piedmont) ----------> Bun ***pleani!
Italian (Romagna) ----------> At faz tent avguri ad bon ***plean!
Japanese ----------> Otanjou-bi Omedetou Gozaimasu!
Korean ----------> Saeng il chuk ha ham ni da!
Malaysian ----------> Selamat Hari Jadi!
Russian ----------> S dniom razhdjenia! or Pazdravliayu s dniom razhdjenia!
Thai ----------> Suk San Wan Keut!
Ukrainian ----------> Mnohiya lita! or Z dnem narodjennia!

สุดท้าย
วันนี้วันเกิดฉัน 07/12/2553 !!

เอดส์

เอดส์ หรือ กลุ่มอาการภูมิคุ้มกันเสื่อม[1] (Acquired Immune Deficiency Syndrome - AIDS) เป็นกลุ่มอาการเจ็บป่วยที่เกิดขึ้นเพราะร่างกายได้รับเชื้อไวรัสเอชไอวี (HIV) ซึ่งจะเข้าไปทำลายเม็ดเลือดขาว ที่เป็นแหล่งสร้างภูมิคุ้มกันโรค ทำให้ภูมิคุ้มกันโรคลดน้อยลง จึงทำให้การติดเชื้อโรคได้ฉวยโอกาสแทรกซ้อนเข้าสู่ร่างกายได้ง่ายขึ้น เช่น วัณโรคในปอด หรือต่อมน้ำเหลือง เยื่อหุ้มสมองอักเสบจากเชื้อรา โรคผิวหนังบางชนิด หรือเป็นมะเร็งบางชนิดได้ง่ายกว่าคนปกติ ซึ่งสาเหตุของการเสียชีวิตมักเกิดขึ้นจากโรคติดเชื้อฉวยโอกาสต่าง ๆ เหล่านี้ ทำให้อาการจะรุนแรง และเสียชีวิตอย่างรวดเร็ว

ปัจจุบันเอดส์มีการตรวจพบทั่วโลก และประมาณการว่ามีผู้เสียชีวิตเนื่องจากเอดส์ อย่างน้อย 25 ล้านคน ตั้งแต่ถูกค้นพบในปี พ.ศ. 2524 (ค.ศ. 1981) นับเป็นโรคที่มีอันตรายสูงโรคหนึ่งของประวัติศาสตร์มนุษย์ชาติ ในปี พ.ศ. 2548 ประมาณการว่ามีผู้ติดเอดส์ประมาณ 3.1 ล้านคน (ระหว่าง 2.8 - 3.6 ล้าน) ซึ่ง 570,000 คนของผู้ป่วยเอดส์เป็นเด็ก (UNAIDS, 2005)


ความหมายของเอดส์

คำว่า เอดส์ มาจากภาษาอังกฤษว่า AIDS ซึ่งย่อมาจากคำเต็มว่า Acquired Immune Deficiency Syndrome ซึ่งแต่ละคำมีความหมายดังนี้

A = Acquired หมายถึง เกิดขึ้นภายหลัง ไม่ได้เป็นมาแต่กำเนิดหรือสืบทอดทางกรรมพันธุ์
I = Immune หมายถึง ระบบภูมิต้านทานหรือระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย
D = Deficiency หมายถึง ความบกพร่อง การขาดไปหรือเสื่อม
S = Syndrome หมายถึง กลุ่มอาการคือมีอาการหลาย ๆ อย่างไม่เฉพาะที่ระบบใดระบบหนึ่ง
รวมแปลว่า “กลุ่มอาการภูมิคุ้มกันเสื่อม” เป็นกลุ่มอาการของโรคที่เกิดจากเชื้อไวรัสเอชไอวี เมื่อเข้าสู่ร่างกายจะเข้าไปทำลายเม็ดเลือดขาว ทำให้ระบบภูมิคุ้มกันในร่างกาย เสื่อมหรือบกพร่องลง เป็นผลทำให้เป็นโรคติดเชื้อหรือเป็นมะเร็งบางชนิดได้ง่ายกว่าคนปกติ อาการมักจะรุนแรง เรื้อรัง และเสียชีวิตในที่สุด


ที่มาของโรคเอดส์

มีรายงานถึงโรคเอดส์ครั้งแรกในวันที่ 5 มิถุนายน พ.ศ. 2526 เมื่อ Centers for Disease Control and Prevention (CDC) ของประเทศสหรัฐอเมริกาได้บันทึกการระบาดของโรค Pneumocystis carinii pneumonia (ปัจจุบันเรียก Pneumocystis pneumonia จากเชื้อ Pneumocystis jirovecii) ในชายรักร่วมเพศ 5 คนในลอสแอนเจลิส[71] ในระยะแรก CDC ยังไม่มีชื่อเรียกโรคนี้ โดยมักเรียกตามลักษณะอาการที่ปรากฏของโรค เช่น lymphadenopathy (พยาธิสภาพของต่อมน้ำเหลือง) ซึ่งเป็นชื่อที่เคยใช้เป็นชื่อของไวรัสเอชไอวีเมื่อแรกค้นพบ[3][4] ชื่ออื่นเช่น Kaposi's Sarcoma and Opportunistic Infection (เนื้องอกคาโปซีที่มีการติดเชื้อฉวยโอกาส) ซึ่งเป็นชื่อที่มีการตั้งทีมงานดูแลในปี พ.ศ. 2524[72] โดยทั่วไปยังมีการใช้คำว่า GRID (Gay-related immune deficiency - ภาวะภูมิคุ้มกันบกพร่องสัมพันธ์กับกลุ่มรักร่วมเพศ) อีกด้วย[73] ทาง CDC ระหว่างที่กำลังหาชื่อโรคอยู่นั้นเคยใช้คำว่า "โรค 4H" (the 4H disease) เนื่องจากโรคนี้ดูเหมือนจะพบในชาวเฮติ (Heitians) ,กลุ่มรักร่วมเพศ (Homosexuals), ผู้ป่วยโรคฮีโมฟีเลีย (Hemophiliacs) และผู้ใช้ยาเฮโรอิน (Heroin users) [74] อย่างไรก็ดีหลังจากมีการค้นพบว่าโรคนี้ไม่ได้พบแต่ในกลุ่มคนรักร่วมเพศ[72] คำว่า GRID ก็กลายเป็นคำที่ทำให้เข้าใจผิด และคำว่า AIDS ก็ถูกเสนอขึ้นมาในเดือนกรกฎาคม พ.ศ. 2525[75] จนถึงเดือนกันยายน พ.ศ. 2525 CDC ก็เริ่มใช้ชื่อโรคเอดส์ และเริ่มให้นิยามของโรคนี้ได้อย่างเหมาะสม[76]

ทฤษฎีอื่นที่ยังเป็นข้อถกเถียงซึ่งเป็นที่รู้จักในชื่อว่า ทฤษฎี OPV AIDS เสนอว่าการระบาดทั่วของเอดส์นั้นเกิดขึ้นแล้วตั้งแต่ช่วงปลายทศวรรษ 1950 ใน Belgian Congo โดยงานวิจัยของ Hilary Koprowski ที่ศึกษาเรื่องวัคซีนโรคโปลิโอ[77][78] ซึ่งตามข้อสรุปทางวิทยาศาสตร์ ไม่มีหลักฐานสนับสนุนแนวคิดนี้[79][80][81]

มีการศึกษาใหม่ๆ ระบุว่าเชื้อเอชไอวีอาจแพร่ระบาดจากแอฟริกามายังเฮติแล้วจึงเข้ามาในสหรัฐอเมริกาในช่วงปี พ.ศ. 2512[82]

สำหรับในประเทศไทย พบผู้ป่วยโรคเอดส์ครั้งแรกเมื่อปี พ.ศ. 2527 จากชายรักร่วมเพศ[83] หลังจากนั้นภายในปีเดียวกันจึงพบมีการระบาดผ่านทางการมีเพศสัมพันธ์ชายหญิง อย่างไรก็ดีในช่วงแรกผู้ป่วยส่วนใหญ่ยังเป็นกลุ่มชายรักร่วมเพศอยู่[84]

วันจันทร์ที่ 6 ธันวาคม พ.ศ. 2553

ผู้สร้าง "อาหารกระป๋อง" ขึ้นมาคนแรก คือ...


ถ้าเอ่ยถึง “อาหารกระป๋อง” หลายคนคงจะคุ้นเคยกันเป็นอย่างดี เพราะในปัจจุบันนั้นมีการผลิตอาหารประเภทชนิดนี้ออกมาหลากหลายทั้ง ปลากระป๋อง, ผักกาดดองกระป๋อง, ปลาทูน่ากระป๋อง, ลำไยกระป๋อง ฯลฯ แล้วเคยสงสัยกันบ้างไหมจ๊ะว่า อาหารกระป๋องนั้นถูกผลิตขึ้นครั้งแรกเมื่อใหร่ ถ้าสงสัยกันล่ะก็ วันนี้พี่ปัดมีคำตอบมาบอกแล้วจ้ะ




อาหารกระป๋อง คือ อาหารที่ได้รับการแปรรูปและผ่านการฆ่าเชื้อด้วยความร้อน ทำให้เชื้อราและแบคทีเรียที่จะทำให้อาหารเน่าเสียถูกกำจัดทิ้งไป หลังจากนั้นจึงนำไปบรรจุในกระป๋องหรือถุงที่มีสุญญากาศแล้วปิดให้สนิท

การผลิตอาหารกระป๋องครั้งแรกนั้นเกิดขึ้นในปี ค.ศ. 1804 เมื่อ “จักรพรรดินโปเลียนที่ 1” ได้สั่งให้พ่อครัวที่ชื่อ “นิโคลัส ฟรองชัวร์ อัปแปร์ต” ไปคิดค้นวิธีการเก็บอาหารให้อยู่ได้นานๆ เพื่อใช้เป็นเสบียงอาหารให้แก่ทหารในช่วงสงคราม โดยในช่วงแรกนั้นอาหารจะถูกบรรจุลงในขวดและใช้จุกไม้ปิด ต่อมาในปี ค.ศ. 1810 นักประดิษฐ์ชาวอังกฤษที่ชื่อ “ปีเตอร์ ดูรันด์” ได้คิดและพัฒนากระป๋องโลหะที่สามารถนำอาหารมาบรรจุและผนึกปิดฝาได้ขึ้นมา ซึ่งรูปแบบกระป๋องแบบนี้ก็ถูกนำมาใช้จนในปัจจุบันนี้




ไม่น่าเชื่อเลยนะจ๊ะว่าอาหารกระป๋องที่เราเห็นเป็นประจำนั้น

จะถูกผลิตขึ้นมานานกว่า 200 ปี แล้ว

ซึ่งพี่ปัดต้องขอคารวะผู้ที่ได้ออกไอเดียและคิดค้นการถนอมอาหารรูปแบบนี้ออกมา

ขอบอกว่าเก่งมากๆ เลยจ้ะ


วันเสาร์ที่ 4 ธันวาคม พ.ศ. 2553

หนังสือน่าเบื่อ ไม่น่าสนใจ อ่านยังไงดี?




- อ่านแบบสำรวจ
ลองอ่านแบบผ่านๆไปเลยค่ะ หรือข้ามๆไปบ้างก็ได้ คือยังไงก็ขอให้ดูผ่านตาไว้ โดยเฉพาะประเด็นสำคัญ ถ้ามีตัวอย่างหลายตัวอย่าง ก็เลือกดูสัก 2-3 ตัวอย่างก็พอค่ะ

- อ่านย้อนหลัง
ตำราจิตวิทยาและสังคมศาสตร์ เค้าว่ากันว่ามักจะเก็บสาระสำคัญไว้ตอนท้ายๆ ดังนั้นเราก็แอบมีทางลัด ลองอ่านจากตอนท้ายดูบ้างก็ได้ค่ะ อิอิ

- พักบ่อยๆ
เห็นว่าให้พักบ่อยๆ ไม่ใช่เอะอ่ะ ก็พักนะคะ เราต้องวางแผนก่อนว่า จะทนอ่านนานสักเท่าไหร่ 20-30 นาที หรือจะมากกว่านั้น แล้วดูว่าจะทำอะไรตอนพัก เพราะกิจกรรมที่เราจะทำตอนพัก จะช่วยให้เรากระตือรือล้นขึ้นมาได้อีกครั้งค่ะ

อ่านต่อ : http://www.dek-d.com/content/education/22989/หนังสือน่าเบื่อ-ไม่น่าสนใจ-อ่านยังไงดี.php#ixzz17A6hf8xJ

วันพฤหัสบดีที่ 2 ธันวาคม พ.ศ. 2553

4 ของสำคัญที่เด็กไทยมัก "ลืม" นำไปเมืองนอก

ยาสามัญประจำบ้าน
ในที่นี้หมายถึงพวกยาพารา ยาแก้แพ้ ยาหม่อง ยาดม ยาอม ยาแก้ท้องเสีย บลาๆๆ อันนี้ "ต้องพกมา" ค่ะ เพราะที่เมืองนอกนั้น ต้องมีใบรับรองแพทย์เท่านั้น ถึงจะไปซื้อได้ ไม่งั้นยังไง๊ยังไงคุณเภสัชกรก็ไม่ยอมขายค่ะ เรียกหาแต่ prescription เท่านั้น แล้วเวลาใส่กระเป๋าไป ให้เอาไปทั้งขวดหรือทั้งแผงนะคะ บางคนตักแบ่งใส่ขวดหรือตลับยาไป ปรากฏพอโดนเจ้าหน้าที่ที่สนามบินเรียกตรวจ ไม่มีฉลากยาระบุว่าเป็นยาอะไร อาจจะเป็นเรื่องยาวก็ได้ใครจะไปรู้



ตัวแปลงไฟฟ้า

อย่าลืมว่า ในต่างประเทศใช้ไฟไม่เหมือนบ้านเรา บางประเทศใช้ 220 โวลต์เหมือนกันแต่หัวปลั๊กไม่เหมือนกัน ก็ใช้เสียบไม่ได้อีก ดังนั้นสิ่งที่น้องๆ ต้องมีคือ adapter หรือตัวแปลงไฟค่ะ สามารถหาซื้อได้ตามห้างหรือร้านขายอุปกรณ์ไฟฟ้าทั่วไป ขอแนะนำให้ซื้อแบบ international adapter เลยนะคะ ตัวเดียวใช้ได้ทั่วโลก ราคาก็มีตั้งแต่ร้อยกว่าบาทไปจนถึง 5-6 ร้อยเลยค่ะ



คอนแทคเลนส์
หลายคนคิดว่า โอ๊ย คอนแทคเลนส์อันเล็กนิดเดียว ค่อยไปซื้อเอาที่เมืองนอกก็ได้ แต่ขอแนะนำว่าให้เอาไปจากเมืองไทยดีกว่าค่ะ เพราะที่เมืองนอกนั้นราคาค่อนข้างสูง แถมการจะไปซื้อคอนแทคเลนส์นั้น ไม่ใช่เดินสุ่มสี่สุ่มห้าเข้าไปซื้อได้นะคะ ต้องมีใบรับรองจากจักษุแพทย์ด้วย ดังนั้นเตรียมมาจากไทยดีที่สุดค่ะ เพราะราคาถูกแสนถูก ส่วนน้ำยาล้างคอนแทคเลนส์นั้น ไม่ต้องพกไปนะคะ หนักกระเป๋าเปล่าๆ ไปซื้อเอาที่นั่นเลยดีกว่าค่ะ


ที่ชาร์ทแบต

เป็นของยอดฮิตที่น้องๆ ชอบลืมกันบ่อยมากกกก โดยเฉพาะที่ชาร์ทแบตของโทรศัพท์มือถือและกล้องถ่ายรูป บางคนนี่ลงทุนซื้อกล้องใหม่ไฮโซเป็นหมื่น แต่ดั๊นนนลืมเอาที่ชาร์ทแบตกล้องไปซะอย่างนั้น - -" ดังนั้นขอแนะนำว่า พยายามเลือกซื้อกล้องรุ่นที่ใช้ถ่านเป็นแบตได้นะคะ เพราะถึงลืมเอาที่ชาร์ทไป ก็ค่อยหาซื้อถ่านเอามาเปลี่ยนได้ จะได้ไม่วุ่นวายด้วยเนาะ ^^

สิ่งที่ผู้หญิงต้องเรียนรู้เกี่ยวกับผู้ชาย

ผู้หญิงฉลาดรักย่อมรู้จักผู้ชายในหลายแง่มุม

1. รู้ว่า ต้องใช้ชีวิตคุ้มค่า
เมื่อมีคนรักจงปรับเปลี่ยนเฉพาะในส่วนที่ทำให้ชีวิตคู่ราบรื่น หากคุณเปลี่ยนแปลงไปทุกอย่าง
กลายเป็นผู้หญิงอีกคนหนึ่ง ซึ่งเขาไม่คุ้นเคย เขาก็จะค่อย ๆ หมดความสนใจในตัวคุณ
ถ้าคุณมองไม่เห็น คุณค่าของตัวเอง แล้วใครจะมองเห็นคุณค่าของคุณ

2. รู้ว่า เซ็กส์ไม่ใช่เรื่องง่าย
ไม่ว่าคุณจะ หลงเสน่ห์เขาแค่ไหน ไม่ว่าความสัมพันธ์จะดำเนินต่อไปอย่างไร อย่าลืมว่า
คน แปลกหน้าก็ยังเป็นคนแปลกหน้าอยู่ดี ถึงประวัติส่วนตัวเขาจะดี แต่ที่แน่ ๆ คุณไม่มีโอกาสรู้ว่า
เขามีโรคติดต่อทางเพศหรือเปล่า ไม่จำเป็นที่คุณต้องมีอะไรกับเขาถ้าคุณยังไม่พร้อมใน ทุกด้าน
เรารู้จัก รักผู้ชายได้โดยไม่ต้องมีเซ็กส์ด้วย

3. รู้ว่า..ผู้ชายแสนดีไม่จำเป็นต้องหล่อ
ถ้า เขาคนนั้นทำให้คุณมีความสุขอบอุ่น หัวเราะได้ มีความชอบอะไรเหมือนกันหลายอย่าง
แถมเขายังฉลาด แต่ไม่หล่อเลย คุณสาว ๆ ลองไปเดินสังเกตตามซูเปอร์มาเก็ตดูคะ
ผู้ชายที่มาซื้อของกับครอบครัวหรือ เล่นอยู่กับลูก ๆ ตามชายหาด แฟมิลี่แมนเหล่านี้หน้าตา
อาจจะไม่เหมือนนาย แบบในนิตยสารเลย แต่เขานี่แหละที่ เหมาะจะเป็นพ่อของลูกคุณ

4. รู้ว่า.ความเป็นเพื่อนยาวนานกว่าความรัก
หากคุณและเขามีปัญหา ทะเลาะกันบ่อย ๆ ในยามเป็นคนรักกัน ลองคุยกันแล้วเปลี่ยนความสัมพันธ์
ให้ เป็นรักแบบเพื่อนเสียก่อน เรียนรู้ที่จะคบและศึกษานิสัยใจคอกันไปนานๆ แล้วค่อยพัฒนา
ความสัมพันธ์นั้นไปสู่การเป็นคนรักกัน คู่รักคือมิตรภาพที่ยาวนาน

5. รู้ว่าความรักมีปริมาณ 50-50
สิ่งที่คู่รัก ต้องการคือความรักที่พบกันครึ่งทาง มีการให้และรักอย่างสมดุล ต่างฝ่ายต่างเอาใจใส่
ห่วงใยกันช่วยเหลือกัน มอบความรักให้อีกฝ่ายเท่าเทียมกัน ไม่มากเกินไป หรือน้อยเกินไป

6. รู้ว่าทุกคนมีพื้นที่ส่วนตัว
ในเรื่องความ เป็นส่วนตัว ไม่มีใครบอกได้ชัดเจนว่า แค่ไหนและอย่างไร ควรเปิดเผยเรื่องส่วนตัว
ต่อกันได้มากน้อยแค่ไหน แต่ละคนมาจากพื้นฐานไม่เหมือนกัน ในพื้นที่ส่วนตัวนั้น
ควรตกลงกันก่อน ที่จะสร้างความสัมพันธ์กับใคร ควรพูดคุยแลกเปลี่ยนความคิดเห็นในเรื่องนี้อยู่เสมอ
ในความเป็นจริง ของของเขาคือของเขา ไม่ใช่ของคุณ และของของคุณคือของคุณ ไม่ใช่ของเขา

7. รู้ว่า เราไม่มีวันเปลี่ยนแปลงผู้ชายได้
เหตุผลก็คือ เราไม่สามารถและไม่สมควร ที่จะพยายามเปลี่ยนสิ่งที่เขาชอบหรือไม่ชอบ
ไม่ มีใครเปลี่ยนใครได้นอกจากตัวของเขาเอง เก็บพลังใจกายและเวลาอันมีค่าที่จะสูญเสียไป
ไว้ให้กับคนที่ต้องการความ สัมพันธ์ดี ๆ กับเราดีกว่า หรือทำอะไรก็ได้ร้อยแปดประการที่ทำให้ชีวิตคุณดีขึ้น
หากเขาแสดงการไม่ ให้เกียรติคุณ เขาก็ไม่สมควรที่จะได้รับความรักห่วงใยจากคุณ
ถ้าปล่อย ให้เขาทำตัวแย่กับเราเขาก็จะแย่ลงเรื่อย ๆ

8. รู้ว่า.ความใกล้ชิดร้องขอกันไม่ได้
อยู่ที่ ความต้องการและความรับผิดชอบ และความรู้สึกที่สองฝ่ายมีให้กัน หากคุณต้องการความไว้ใจ
คุณต้องให้เขาก่อน และหากคุณต้องการความใกล้ชิด คุณต้องลองเป็นฝ่ายมีเวลาให้เขาก่อน

9. รู้ว่า.งานบ้านไม่ใช่เฉพาะของผู้หญิงฝ่ายเดียว
ความ สัมพันธ์จะยืดยาวต้องอาศัยคนสองคนมีบทบาทร่วมกัน ปัจจุบันผู้หญิงไม่ได้ถูกจำกัดให้ทำงานอยู่แต่ในบ้าน
ต้องรู้วิธีแบ่งงาน ในบ้าน ให้ร่วมกันทำได้ทั้งสองฝ่าย โดยที่ไม่เสียความรู้สึก และผู้ชายที่ทำงานบ้านเป็น
เป็นผู้ชายที่เซ็กซี่ที่สุด

10. รู้ว่าเป็นคนรักต่างกับคนรับใช้
จริงๆแล้ว ผู้ชายที่มีความรับผิดชอบดี เขาจะไม่ชอบผู้หญิงที่อ่อนแอและเป็นเบี้ยล่างให้เขาต ลอดเวลา
หรือเกรงใจ ผู้อื่นจนปฏิเสธใครไม่เป็น เราต้องรู้จักปฏิเสธและโต้กลับบ้าง การปฏิเสธข้อเรียกร้องของคนอื่นบ้าง
ไม่ใช่เรื่องหยาบคาย

11. รู้ว่าการแต่งงานไม่ใช่กระดาษแผ่นเดียว
ใบทะเบียนสมรสไม่ใช่ สิ่งที่จะรับรองว่า ชีวิตคู่ของคุณจะอยู่กันตลอดรอดฝั่ง แต่การแต่งงานนั้นเป็นงานจริง ๆ
งานที่ต้องช่วยกันคิด ช่วยกันแก้ ต้องทำความตกลงกันในหลายเรื่อง อาศัยการประนีประนอม
และหมายถึงการใช้ ชีวิตซ้ำๆ ในแต่ละวันกับมนุษย์คนเดิม ซึ่งเขาอาจจะไม่จำเป็นต้องได้ดั่งใจคุณทุกอย่าง
ไม่จำเป็นต้องรู้สึกหรือ มีความคิดเห็นเหมือนคุณทุกเรื่อง และชีวิตคู่ไม่ต้องโรแมนคิกตลอดเวลา
ก็ สามารถมีความหมายลึกซึ้งและเป็นรักที่แท้และฉลาดได้

12. รู้ว่า.ไม่ควรประจานข้อบกพร่องของตัวเองให้เขาฟัง

13. รู้ว่า ต้องไม่เป็นหนังสือที่อ่านง่ายสำหรับเขา

14. รู้ว่า ผู้ชายไม่ใช่ซูเปอร์แมน เขาเองก็อ่อนแอและท้อแท้เป็น

15. รู้ว่า อย่าเรียกร้องความเท่าเทียมจากผู้ชาย ถ้าเรายังดูแลตัวเองไม่ได้