1. อย่าไว้ใจ คะแนน ว่าของตนสูงแล้วถ้าเทียบกะเพื่อนๆ แต่คุณยังไม่ได้เทียบกับคนทั้งประเทศ- -;;
2.อย่าไว้ใจเวลา มันผ่านได้ที่คุณไม่รู้ตัว พยายามอยู่กับมันให้คุ้มค่าที่สุด
3.อย่าไว้ใจ ขนาดการอ่านหนังสือ ที่คุณอ่านหนังสือเยอะ ก็ไม่ได้แปลว่าคุณจำได้หมด หรือทำได้ ต้องหมั่นทวน และทำบฟห. จนกว่าจะเซียน!!!
4. อย่าไว้ใจเพื่อน อันนี้ไม่ได้บอกให้แตกคอกันหรอกนะ 5555 แต่ว่าช่วงนี้อ่ะ อย่าพึ่ง เที่ยว+ เล่น มากนักเลย
รอให้เอนท์ติดก่อน.... ปิดเทอมนี้อาจยังเที่ยวนิดๆหน่อยๆได้ แต่เปิดเทอม งดๆหน่อยก็ดี
5.อย่าไว้ใจเครื่องดื่มกระตุ้นทั้งหลาย ขอบอกว่ามันอาจจะช่วยให้ร่างกายคุณอ่านได้ แต่มันก็ไ
ม่ช่วยให้สมองของคุณอ่านหนังสือ แล้วรู้เรื่องหรอก(เคยมาแล้ว) ขาดทุนเปล่าๆ ถ้าคุณนอนแต่หัวค่ำสักนิด ตื่นมาแต่ไก่โห่ ทั้งหลับสบาย+ อ่านหนังสือรู้เรื่อง กำไรเห็นๆ
6.อย่าไว้ใจ เกมส์ + คอมพิวเตอร์ อาจจะคิดว่าเล่น นิดเดียว แปบเดียว อ่านมาเยอะแล้วพักหน่อย
แต่มันก็เข้าขั้นข้อที่2 คือ อย่าไว้ใจเด็ดขาด มันจะกินเวลาของคุณ...แปบเดียวผ่านไปแล้ว สองชม. -_-;;;
7.อย่าไว้ใจความสวยงาม ปี เดียวเองเพื่อนๆ เอาเวลาเสริมสวย ไปอ่านหนังสือดีกว่า ไว้เอนท์ติด เข้ามหาลัยดีดี เราค่อยมาสวย ความสวยนะมีเมื่อไหร่ก็ได้ แต่ เรื่องการสอบ มันสอบได้แค่ครั้งเดียว.....นางเพิ้งแค่ปีเดียวเองเพื่อนๆ>_<
วันอังคารที่ 8 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554
วันเสาร์ที่ 22 มกราคม พ.ศ. 2554
เด็ก ๆอย่างเราห้ามทำอะไรบ้าง ?
กฎหมายออกมาเพื่อปกป้องส่วนรวม และกฎหมายข้อห้ามเกี่ยวกับประชาชนก็เพื่อความปลอดภัยกับพวกน้องๆ มีกฎหมายเกี่ยวกับไลฟ์สไตล์ที่เด่นๆ อะไรบ้าง มาทบทวนกันดีกว่า
ห้ามจำหน่ายสุรา-บุหรี่ แก่ผู้ที่มีอายุต่ำกว่า 18 ปี
ร่างกายที่กำลังเจริญเติบโต หากน้องๆ รีบเอาสารพิษไปสะสมจะส่งผลโดยตรงต่อร่างกายให้เสื่อมโทรม แต่อย่างไรก็ตามทั้งสองอย่างไม่ไปข้องเกี่ยวตลอดชีวิตจะดีที่สุด
อายุต่ำกว่า 15 ปี ห้ามขับจักรยานยนต์
ทั้งในเรื่องการตัดสินใจ วุฒิภาวะ และกายภาพ ไม่เหมาะทั้งสิ้นที่เด็กอายุต่ำกว่า 15 ปี จะขับขี่จักรยานยนต์
ต่ำกว่า 18 ปี ห้ามมีใบอนุญาตขับขี่
เหตุผลเดียวกับข้อข้างบน ยิ่งบ้านเรารถเยอะยิ่งต้องอาศัยการตัดสินใจอยู่ตลอด ความจริงก็สอดคล้องกับรายได้ของเด็กด้วย อายุไม่ถึง 18 ขับรถราคาเป็นแสนมันดูขัดกันจัง
ห้ามเด็กอายุต่ำกว่า 20 ปี เข้าสถานบันเทิง
เป็นเรื่องการดูแลเยาวชนไม่ให้เสียการเรียน (ถ้าเที่ยวก็อดนอนเสียการเรียน) อีกอย่างคือเรื่องการดูแลตัวเองให้ปลอดภัย
หากไม่ได้ผ่านการเรียนรักษาดินแดน ทหารกองเกินเมื่อมีอายุย่างเข้า 21 ปี ในพุทธศักราชใด ต้องไปแสดงตนเพื่อรับหมายเรียกที่อำเภอท้องที่ซึ่งเป็นภูมิลำเนาทหารของตนภายในพุทธศักราชนั้น โดยจะได้รับหมายเรียก สด. ๓๕ ทหารกองเกินซึ่งจะถูกเรียกมาตรวจคัดเลือก เพื่อเข้ารับราชการเป็นทหารกองประจำการนั้น ต้องมีอายุตั้งแต่ 21 ปีขึ้นไป แต่ยังไม่ถึง 30 ปีบริบูรณ์
ห้ามเด็กอายุต่ำกว่า 18 ปีออกจากบ้านหลังสี่ทุ่ม
กฎใหม่ล่าสุดที่เพิ่งออกมาด้วยเหตุผลเพื่อคุ้มครองเด็ก ยังเป็นเรื่องใหม่ยังมีหลายฝ่ายถกเถียงกันอยู่ ถือว่าเจตนาดีที่เด็กบางคนรู้สึกว่าเข้มไปหรือไม่ ?
คัดมาเด่นๆ เกี่ยวกับกฎหมายเด็ก ส่วนใหญ่ก็เป็นเรื่องห่วงในความปลอดภัยของน้องๆ ทางที่ต้องทำ คือทำตามกฎหมาย อย่าทำผิดกฎหมายเลย อย่างน้อยให้คิดว่าเพื่อความปลอดภัยของตัวเราเอง
วันอังคารที่ 11 มกราคม พ.ศ. 2554
artistของโลก
ถ้าพูดถึงศิลปินแล้ว ดิฉันคิดว่าทุกท่านคงนึกถึงผลงานด้านการแสดง ผลงานงานเพลง หรือ ผลงาน
ทางด้านหนังสือ ไม่ว่าจะเป็น วอลท์ ดิสนีย์ นักสร้างภาพยนตร์การ์ตูนที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของโลก โดยเฉพาะการ์ตูนที่
โด่งดังอย่างมิกกี้เมาส์ (Mickey Mouse) มาร์ค ทเวน นักเขียนผู้ทีชื่อเสียงมากที่สุดจากผลงานการเขียนนวนิยาย
เรื่อง การผจญภัยของ ทอม ซอว์เยอร์ (The Adventure of Tom Sawyer) โมสาร์ท นักดนตรีและนักแต่งเพลง
คลาสสิกผู้มีผลงานประพันธ์เพลง และเรียบเรียงดนตรีทั้งประเภทโอเปร่าและซิมโฟนี รวมไปถึง วิลเลียม เชคสเปียร์
นักขียนบทละครที่มีชื่อเสียงของโลก ซึ่งส่วนใหญ่เป็นเรื่องในแนวโศกนาฏกรรม ละครชวนหัว และละครประวัติศาสตร์
และยังมีศิลปินอีกมากมายที่น่าสนใจ ซึ่งในวันนี้ทางเราได้จัดทำเว็บไซต์เพื่อรวบรวมศิลปินที่เป็นถือว่าเป็นบุคคลสำคัญ
ของโลกมาให้ท่านทั้งหลายได้ชมและรับรู้ถึงประวัติที่น่าสนใจของศิลปินเหล่านี้
ทางด้านหนังสือ ไม่ว่าจะเป็น วอลท์ ดิสนีย์ นักสร้างภาพยนตร์การ์ตูนที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของโลก โดยเฉพาะการ์ตูนที่
โด่งดังอย่างมิกกี้เมาส์ (Mickey Mouse) มาร์ค ทเวน นักเขียนผู้ทีชื่อเสียงมากที่สุดจากผลงานการเขียนนวนิยาย
เรื่อง การผจญภัยของ ทอม ซอว์เยอร์ (The Adventure of Tom Sawyer) โมสาร์ท นักดนตรีและนักแต่งเพลง
คลาสสิกผู้มีผลงานประพันธ์เพลง และเรียบเรียงดนตรีทั้งประเภทโอเปร่าและซิมโฟนี รวมไปถึง วิลเลียม เชคสเปียร์
นักขียนบทละครที่มีชื่อเสียงของโลก ซึ่งส่วนใหญ่เป็นเรื่องในแนวโศกนาฏกรรม ละครชวนหัว และละครประวัติศาสตร์
และยังมีศิลปินอีกมากมายที่น่าสนใจ ซึ่งในวันนี้ทางเราได้จัดทำเว็บไซต์เพื่อรวบรวมศิลปินที่เป็นถือว่าเป็นบุคคลสำคัญ
ของโลกมาให้ท่านทั้งหลายได้ชมและรับรู้ถึงประวัติที่น่าสนใจของศิลปินเหล่านี้
วันเสาร์ที่ 8 มกราคม พ.ศ. 2554
สำนวนที่เกิดจากอุบัติเหตุ
1.จี้เส้น
ความหมาย พูดหรือทำให้ผู้ดูผู้ฟังขบขันหัวเราะ เช่น ตลกจี้เส้น เป็นสำนวนใหม่พวกเดียวกันนี้ยังมี “เส้นตื้น” คือคนที่หัวเราะง่ายก็ว่าคนนั้นเส้นตื้น
2. ใจดีสู้เสือ
ความหมาย ทำใจให้เป็นปกติเผชิญกับสิ่งที่น่าหลัว
ตัวอย่าง
“เราก็หมายมาดว่าชาติเชื้อ ถึงปะเสือก็จะสู้ดูสักหน”
พระอภัยมณี
3. ดากแล้วมิหนำเป็นซ้ำเป็นสองดาก
ความหมาย มีเรื่องลำบากเกิดขึ้นหับตัว แล้วมีเรื่องลำบากเกิดขึ้นอีกซ้ำอีก ทำให้ลำบากมากขึ้น
ความเป็นมา มีนิยายเล่าว่า ยายแก่คนหนึ่ง เป็นโรคดาก วันหนึ่งออกไปส้วม ผีเด็กเห็นเข้าก็ฉวยเอาไปเล่น ยายแก่ดีใจที่หายจากโรคก็มาเล่าให้ยายแก่อีกคนหนึ่งฟัง แล้วก็ไปส้วมนั้น ผีเด็กก็นำดากมาคืนที่เก่า แต่กลับโดนยายคนที่2 ทำให้ยายคนที่2เป็นดากมากขึ้นกว่าเดิม
4. ดาบสองคม
ความหมาย สิ่งที่เราทำลงไปอาจให้ผลทั้งทางดี และทางร้ายได้
ความเป็นมา เปรียบเหมือนกับดาบ ซึ่งถ้ามีคมทั้งสองข้างก็ย่อมเป็นประโยชน์ใช้ฟันได้คล่องแคล่วดี แต่ในขณะที่ใช้คมข้างหนึ่งฟันลง คมอีกด้านหนึ่ง อาจโดนตัวเองเข้าได้ การทำอะไรที่อาจเกิดผลดีและร้ายได้เท่ากัน จึงเรียกว่า เป็นดาบสองคม
5. ดูตาม้าตาเรือ
ความหมาย พูดหรือทำอะไรก็ตาม ให้ระมัดระวังพินิจพิเคราะห์ ว่ามีอะไรอยู่ข้างหน้า ข้างหลังบ้าง ไม่ให้ซุ่มซ่าม
ความเป็นมา มาจากการเล่นหมากรุก ซึ่งมีตัวหมากเรียกว่า “ม้า” และ “เรือ” ม้าเดินตามเฉียงทะแยงซึ่งทำให้สังเกตยาก ส่วนเรือเดินตายาวไปได้สุดกระดานเวลาเดินหมากอาจจะเผลอ ไม่ทันสังเกตตาที่ม้าอีกฝ่ายหนึ่งเดิน หรือไม่ทันเห็นเรืออีกฝ่ายหนึ่งที่อยู่ไกล เดินหมากไปถูกตาที่ม้าหรือเรือฝ่ายตรงข้ามสกัดอยู่ ก็ต้องเสียตัวหมากของตนไปให้คุ่แข่ง การดูหมากต้อง “ดูตาม้าตาเรือ” ของฝ่ายตรงข้าม เลยนำสำนวนนี้มาพูดกันเมื่อเวลาจะพูดหรือทำอะไรก็ตาม ให้ระมัดระวังพินิจพิเคราะห์ ว่ามีอะไรอยู่ข้างหน้า ข้างหลังบ้าง ไม่ให้ซุ่มซ่าม
6. ตกกระไดพลอยโจน
ความหมาย พลอยประสมทำไปในเรื่องที่ผู้อื่นเป็นต้นเหตุก็ได้ หรือเป็นเรื่องของตนเอง ไม่เกี่ยวกับผู้อื่นก็ได้
ความเป็นมา เมื่อเห็นว่าจำเป็นต้องทำตามไป สำนวนนี้มีความหมายเป็นสองทาง ทางหนึ่งผู้หนึ่งผู้อื่นเป็นไปก่อนแล้วตัวเองพลอยตามเทียบตามคำในสำนวนก็คือว่า เห็นคนอื่นตกกระไดตนเองก็พลอยโจนตาม อีกทางหนึ่งไม่เกี่ยวกับคนอื่น ตนเองรู้สึกตนว่าถึงเวลาที่ตนเองจะต้องทำโดยที่ไม่มีทางหลีกเลี่ยงได้ ก็เลยประสมทำไปเสียเลย เทียบกับคำในสำนวนเทียบกับว่าตนเองตกกระไดแต่ยังมีสติอยู่ ก็รีบโจนไปให้มีท่าทางไม่ปล่อยให้ตกไปอย่างไม่มีท่า
ตัวอย่าง ในเสภาขุนช้างขุนแผน ตอนปลายงามเข้าหาศรีมาลา มีกลอนขุนแผนว่า
“งองามก็หลงงงงวย ไม่ช่วยไปข้างหน้าจะว้าวุ่น
ตกกระไดพลอยโผนโจนตามบุญ ทำเป็นหุนหันโกรธเข้าพลอยงาม”
7. ตกหลุม
ความหมาย ใช้พูดเมื่อ หกล้มคว่ำลงไปกับพื้น
ความเป็นมา สำนวนนี้มาจากการจับกบ ซึ่งรีบตะครุบไม่ทันให้กบกระโดดหนี พลาดท่าพลาดทางก็ล้มคว่ำลงไปกับพื้น ใครคว่ำหน้าลงไปจึงพูดว่า “ตะครุบกบ” บางครั้งก็พูดว่า “จับกบ”
8. บ่อนแตก
ความหมาย ใช้พูดเมื่อ มีคนทำการชุมนุมกันมากๆ หรือการมากินเลี้ยง เกิดเรื่องต้องทำให้หยุดชะงักเลิกไปกลางคัน
ความเป็นมา มาจากการติดบ่อนเล่นการพนัน ซึ่งมีคนมาเล่นกันมาก ขณะการเล่นก็ต้องมีการหยุดชะงักต้องเลิกไปกลางคัน เรียกว่า บ่อนแตก คำนี้เลยกลายมาเป็นสำนวน
9. ปราณีตีเอาเรือ
ความหมาย ช่วยด้วยความปราณี แต่กลับต้องถูกประทุษร้ายตอบ
ตัวอย่าง
“เอออะไรมาเป็นเช่นนี้ ช่วยว่าให้ดีก็มิเอา
มุทะลุดุดันกันเหลือ ปราณีตีเอาเรือเสียอีกเล่า”
สังข์ทอง พระราชนิพนธ์รัชกาลที่ 2
10.ปัดขาเก้าอี้
ความหมาย เจตนาหรือแกล้งทำให้ผู้ครองตำแหน่งหรือหน้าที่อันใด ต้องเสียหรือพ้นจากตำแหน่งหน้าที่นั้นไป เก้าอี้ หมายถึง เก้าอี้ที่สำหรับนั่งปฏิบัติงานประจำ ปัดเก้าอี้ คือไม่ได้นั่งปฏิบัติงานในตำแหน่งนี้อีก แล้ว
ตัวอย่าง
ในหนังสือนิพพานวังหน้า มีพระราชวิจารณ์ของรัชกาลที่ 5 ตอนหนึ่งว่า
“เมื่อรวบรวมความลงก็ไม่ผิดกับชาววังน่าชั้นหลัง ๆ แลไม่ปองร้ายกันถึงจะหักกันลงข้างหนึ่ง เป็นแต่ประมูลอวดดีกันนินทากัน แตะตีนกัน ซึ่งนับว่าเป็นแบบอันไม่ไห้ความเจริญแก่แผ่นดิน”
11. ผงเข้าตาตัวเอง
ความหมาย เมื่อเกิดปัญหาขึ้นกับตัวเอง หรือเกิดเรื่องอะไรเกี่ยวกับตัวเองแล้วตัวเองไม่สามารถแก้ไขได้
ความเป็นมา คนที่มีความรู้ความคิดดี มีสติ ปัญญาเฉลียวฉลาด ทำอะไรให้ใคร ๆ สำเร็จลุล่วงไปได้ แต่พอมีปัญหาหรือมีเรื่องอะไร เกิดขึ้นกับตัวเอง กลับหมดปัญญาที่จะแก้ไข
11. เผลอเรอกระเชอก้นรั่ว
ความหมาย เลินเล่อ ไม่เอาใจใส่ระวังดูแลให้รอบคอบ
ความเป็นมา มูลของสำนวนมาจากนิทานโบราณ ใน นนทุกปกรณัม เรื่องมีว่ามีพรานไปซุ่มช้อนปลากับภรรยา ภรรยานั้นเป็นกาลกิณีกระเดียดกระเชอก้นรั่วตามสามี สามีช้อนได้ปลามาใส่กระเชอ ภรรยาก็ไม่พิจารณา ปลาก็ลอดลงน้ำไป สามีไม่รู่ช้อนได้หลงใส่กระเชอไปเรื่อย ๆ ปลาก็ลอดไปหมดไม่เหลือ ระหว่างนั้นมีภรรยานายสำเภา เป็นหญิงดีมีสิรินั่งอยู่ท้ายเรือ เห็นปลาลอดลงน้ำก็ยิ้ม นายสำเภาเป็นกาลกิณี เห็นนางดูนายพรานแล้วยิ้มเข้าใจว่านางพอใจ พรานก็โกรธ จะให้นางไปเป็นเมียพราน ในที่สุดนายสำเภากับนายพรานก็ตกลงแลกเมียกัน เมียนายพรานมาอยู่กับนายสำเภา ทำให้พรานเจริญขึ้นเป็นเสนาบดีของพระเจ้าแผ่นดิน แล้วต่อมาได้เป็นเจ้าพระยาแผ่นดิน นั่นคือใครที่ทำอะไรเผลอเรอเลินเล่อทำอะไรไม่รอบคอบก็พูดกันว่า “เผลอเรอกระเชอก้นรั่ว”
12. แผ่สองสลึง
ความหมาย นอนหงายแผ่ สำนวนนี้มักใช้กับคนที่ลื่น หกล้มลงไปนอนหงายแผ่
ความเป็นมา มูลของสำนวนมาจากเงินเหรียญที่ใช้แทงถั่วโปตามโรงบ่อน บ่อนถั่วมีไม้ขอยาวปลายเป็นห่วงกลมสำหรับคล้องเงินที่คนแทง เวลากินก็คล้องเงินลากมา หรือเอาไปจ่ายคนที่แทงถูกก็ได้ เหรียญสลึงกับเหรียญสองสลึงเป็นเหรียญแบบติดเสื่อใช้ไม้ขอคล้องเกี่ยวไม่ติด นายบ่อนจึงทุบเหรียญสลึงกับเหรียญสองสลึงให้พับงอ ที่แบบแผ่ติดตามรูปเดิมไม่ค่อยมี ดังนั้นเมื่อพบสลึงกับเหรียญสองสลึง ให้พับงอสำหรับให้ไม้ขอได้ง่าย สำนวน “แผ่สองสลึง” แล้วเอามาใช้เป็นสำนวนพูด เมื่อใครลื่นล้มลงไปนอนแผ่ ก็พูดกันว่าลงไป แผ่สองสลึง
13. แพแตก
ความหมาย ญาติพี่น้องหรือคนที่เคยอยู่ร่วมกันกระจัดกระจายกันไป เช่นพูดว่าสิ้นผู้ใหญ่เสียคนก็เป็นแพแตก
ความเป็นมา มูลของสำนวนมาจากแพไม้ที่มัดรวมกันเป็นแพ เช่นแพไม้สัก แพไม้รวก ฯลฯ หวายหรือเครื่องที่รัดขาด ไม้นั้นก็กระจายเพ่นพ่านไป เรียกว่า แพแตก สำนวนนี้ใช้กับคนที่อยู่ร่วมกันมากๆ
“มึงจึงจ้วงจาบว่าหยาบคาย แสนร้ายเหี้ยมเกรี้ยมไม่เจียมตัว
พลัดพ่อพลัดแม่เป็นแพแตก กลับมาดันแดกเอาเจ้าผัว”
บทละครรามเกียรติ์ของกรมพระราชวังบวร ฯ
14. พูดจนโดนตอ
ความหมาย พูดเรื่องเกี่ยวกับผู้ใดผู้หนึ่งโดยไม่รู้ว่าผู้นั้นอยู่ในที่นั้นด้วย “ตอ” คือตอไม้ที่ตั้งโด่อยู่ในน้ำ หรือพื้นดินเรามักจะเอามาเปรียบกับคนที่ปรากฏอยู่เฉย ๆ เช่นพูดว่า นั่งเป็นหัวหลักหัวตอ
15. ม้าดีดกระโหลก
ความหมาย กิริยาท่าทางผลุบผลับกระโดกกระเดกลุกลน
ความเป็นมา คนที่มีกิริยาท่าทางผลุบผลับกระโดกกระเดกลุกลน มักใช้ว่าผู้หญิงที่ไม่เรียบร้อย จะลุกจะนั่งหรือเดินพรวดพราดเตะนั่นโดดนี่กระทบโน่นไปรอบข้างที่พูดว่า “ดีดกระโหลก” ฟังดูเป็น “ม้าดีดกระลา” แต่ความจริงเปรียบเหมือนกิริยาของม้า คือม้าที่พยศมักจะมีกิริยาที่เรียกว่า ดีด กับ โขก อยู่ด้วยกัน
ตัวอย่าง
“เหมือนม้าดีขี่ขับสำหรับรบ ทั้งดีดขบโขกกัดสะบัดย่าง”
กลอนพระอภัยมณี
16. เรือล่มเมื่อจอด
ความหมาย ทำหรือปฏิบัติอะไร ๆ ผ่านพ้นมาเรียบร้อย พอจะสำเร็จหรือพอเสร็จกลับเสียไม่สำเร็จไปได้
ความเป็นมา เปรียบเหมือนแจวพายเรือมาถึงที่หมาย พอจอด เรือก็ล่ม สำนวนนี้ใช้กับการพูดดีเรื่อยมา พอจะจบก็ลงไม่ได้ “เรือล่มเมื่อจอด” มักจะมีต่อว่า ตาบอดเมื่อแก่
“เรือ เทียบถึงท่าแล้ว และมา
ล่ม ละลายโภคา ชวดใช้
เมื่อหนุ่มเท่าชรา แสวงสิ่ง ใดเฮย
จอด จ่อจวนเจียนได้ สิ่งนั้นศูนย์เสีย”
โครงสุภาษิตเก่า
17. ล่มหัวจมท้าย
ความหมาย ร่วมทุกข์ร่วมสุขด้วยกัน ยากมีดีจนด้วยกัน ฯลฯ
ความเป็นมา สำนวนนี้มาจากเรือ ผัวเมียลงเรือไปค้าขาย ช่วยกนทำมาหากิน การไปเรือมักจะพูดกันว่า ผัวถือท้ายเมียถือหัว หรือผัวแจวท้ายเมียพายหัว เป็นการช่วยกัน เมื่อเรือล่มก็จมไปด้วยกัน จึงพูดกันว่า จมหัวจมท้าย
18. เลือดเข้าตา
ความหมาย มุ ทะลุ ดื้อทำไม่คิดถึงผลได้ผลเสีย
ความเป็นมา มูลของสำนวนมาจากการชกมวย หรือการต่อสู้ เมื่อถูกต่อยหรือถูกตี ถูกฟันแทงแถวหน้าผาก หรือคิ้วแตกเป็นแผล เลือดไหลเข้าตา ก็เกิดมานะมุทะลุเข้าสู้อย่างไม่คิดชีวิต เมื่อเกิดเหตุการณ์ที่ทำให้ต้องมุมานะโดยไม่คิดหน้าคิดหลัง
ตัวอย่าง เสียพนันมากก็ยิ่งเล่นใหญ่ จึงควรพูดว่า เลือดเข้าตา
19. วัดถนน
ความหมาย หกล้มราบลงไปกับพื้น
ความเป็นมา เมื่อหกล้มราบลงไปกับพื้น แล้วจะใช้พูดล้อคนที่ล้มว่าลงไปวัดถนนว่ากว้างยาวเท่าไหร่
20. วิ่งเป็นไก่ตาแตก
ความหมาย ซุกซน ดั้นด้นไปอย่างงมงาย
ความเป็นมา ซึ่งมาจากการเล่นชนชนไก่ ไก่ที่ถูกคู่ชนแท่งด้วยเดือยจนตาแตกไม่เห็นอะไร มักจะวิ่งหนีซุกซนไปทั้ง ๆ ที่ไม่เห็นทาง
ตัวอย่าง ในพระราชหัตถเลขารัชกาลที่ 5 ถึงเจ้าพระยาธรรมา ฯ แห่งหนึ่งว่า
“ไปด่วนหักโหมเอางาใหญ่ ๆ ดีๆ กลึงเสียถ้าต่อไปมันดีขึ้นจะต้องวิ่งหางาตาแตก”
21. สี่ตีนยังรู้พลาดนักปราชญ์ยังรู้พลั้ง
ความเป็นมา คำว่า สี่ตีน โบราณหมายถึงช้าง ในเรื่องนางนพมาศว่า “ถึงบุราณท่าว่าคชสารสี่ตีน ยังรู้พลาด นักปราชญ์ยังรู้ล้ม ใครอย่าได้ประมาท คำอันนี้ก็เป็นจริง” เพราะว่าช้างเวลาก้าวเท้าจะก้าวหนักมั่นคงมากกว่าสัตว์อื่น ๆ
ตัวอย่าง
“สี่ตีน คือช้างใหญ่ เยี่ยมเขา
ยังพลาด พลิกแพลงเบา บาทเท้า
นักปราชญ์ อาจองเอา อรรถกล่าว ได้นา
ยังพลั้ง พลาดขาดค้าง อย่าอ้างอวดดี”
โครงสุภาษิตเก่า
22.หัวชนกำแพง
ความหมาย สู้ไม่ถอย สู้จนถึงที่สุด ฯลฯ ไปติดกับกำแพงไปไหนไม่ได้ ก็ยังสู้
ตัวอย่าง บทละครดึกดำบรรพ์ของสมเด็จเจ้าฟ้ากรมพระยานริศร์ ฯ
“น้อย ฤแนะ เป็นไรมีล่ะ คงได้ดูดีหรอก เล่นกะมันจนหัวชนกำแพงซีน่ะ”
23. หัวราน้ำ
ความหมาย เมาเต็มที่
ความเป็นมา สมัยก่อนไทยเรามีการคมนาคมทางน้ำเป็นสำคัญใช้เรือ เป็นพาหนะทั้งในธุรกิจติดต่อค้าขาย ตลอดจนการเล่นรื่นเริงต่าง ๆ ในการเล่น
ตัวอย่าง แข่งเรือ คนในเรือมักจะกินเหล้าเมามายกันเต็มที่แรงตัวไม่อยู่ หัวลงไปราอยู่กับพื้นน้ำ จึงเกิดเป็นสำนวนขึ้นมา
24. หัวหกข้นขวิด
ความหมาย ทำอะไรแผลง ๆ ทำอะไรโลดโผน ไม่ได้รักษากิริยามารยาท ทำตามใจชอบ
ตัวอย่าง
“เป็นการกินสำหรับเกียรติยศ จะหยิบฉวยอะไรแต่ละทีง้างมือไม่ค่อยถนัด สู้กินกันตามธรรมดาอย่างบ้านของตัวเองไม่ได้ หัวหกข้นขวิดก็ไม่ต้องเกรงใจใคร”
ละคอนไทยไปอเมริกา
25. โอษฐภัย
ความหมาย พูดไม่ดีจะเป็นภัยกับตัวเอง เป็นภัยที่เกิดจากปาก ส่วนใหญ่มุ่งไปถึงการพูดที่ไม่รู้จักที่ต่ำที่สูง การดูหมิ่น พระบรมเดชานุภาพ การพูดเป็นปฏิปักษ์ต่อรัฐบาล
ความหมาย พูดหรือทำให้ผู้ดูผู้ฟังขบขันหัวเราะ เช่น ตลกจี้เส้น เป็นสำนวนใหม่พวกเดียวกันนี้ยังมี “เส้นตื้น” คือคนที่หัวเราะง่ายก็ว่าคนนั้นเส้นตื้น
2. ใจดีสู้เสือ
ความหมาย ทำใจให้เป็นปกติเผชิญกับสิ่งที่น่าหลัว
ตัวอย่าง
“เราก็หมายมาดว่าชาติเชื้อ ถึงปะเสือก็จะสู้ดูสักหน”
พระอภัยมณี
3. ดากแล้วมิหนำเป็นซ้ำเป็นสองดาก
ความหมาย มีเรื่องลำบากเกิดขึ้นหับตัว แล้วมีเรื่องลำบากเกิดขึ้นอีกซ้ำอีก ทำให้ลำบากมากขึ้น
ความเป็นมา มีนิยายเล่าว่า ยายแก่คนหนึ่ง เป็นโรคดาก วันหนึ่งออกไปส้วม ผีเด็กเห็นเข้าก็ฉวยเอาไปเล่น ยายแก่ดีใจที่หายจากโรคก็มาเล่าให้ยายแก่อีกคนหนึ่งฟัง แล้วก็ไปส้วมนั้น ผีเด็กก็นำดากมาคืนที่เก่า แต่กลับโดนยายคนที่2 ทำให้ยายคนที่2เป็นดากมากขึ้นกว่าเดิม
4. ดาบสองคม
ความหมาย สิ่งที่เราทำลงไปอาจให้ผลทั้งทางดี และทางร้ายได้
ความเป็นมา เปรียบเหมือนกับดาบ ซึ่งถ้ามีคมทั้งสองข้างก็ย่อมเป็นประโยชน์ใช้ฟันได้คล่องแคล่วดี แต่ในขณะที่ใช้คมข้างหนึ่งฟันลง คมอีกด้านหนึ่ง อาจโดนตัวเองเข้าได้ การทำอะไรที่อาจเกิดผลดีและร้ายได้เท่ากัน จึงเรียกว่า เป็นดาบสองคม
5. ดูตาม้าตาเรือ
ความหมาย พูดหรือทำอะไรก็ตาม ให้ระมัดระวังพินิจพิเคราะห์ ว่ามีอะไรอยู่ข้างหน้า ข้างหลังบ้าง ไม่ให้ซุ่มซ่าม
ความเป็นมา มาจากการเล่นหมากรุก ซึ่งมีตัวหมากเรียกว่า “ม้า” และ “เรือ” ม้าเดินตามเฉียงทะแยงซึ่งทำให้สังเกตยาก ส่วนเรือเดินตายาวไปได้สุดกระดานเวลาเดินหมากอาจจะเผลอ ไม่ทันสังเกตตาที่ม้าอีกฝ่ายหนึ่งเดิน หรือไม่ทันเห็นเรืออีกฝ่ายหนึ่งที่อยู่ไกล เดินหมากไปถูกตาที่ม้าหรือเรือฝ่ายตรงข้ามสกัดอยู่ ก็ต้องเสียตัวหมากของตนไปให้คุ่แข่ง การดูหมากต้อง “ดูตาม้าตาเรือ” ของฝ่ายตรงข้าม เลยนำสำนวนนี้มาพูดกันเมื่อเวลาจะพูดหรือทำอะไรก็ตาม ให้ระมัดระวังพินิจพิเคราะห์ ว่ามีอะไรอยู่ข้างหน้า ข้างหลังบ้าง ไม่ให้ซุ่มซ่าม
6. ตกกระไดพลอยโจน
ความหมาย พลอยประสมทำไปในเรื่องที่ผู้อื่นเป็นต้นเหตุก็ได้ หรือเป็นเรื่องของตนเอง ไม่เกี่ยวกับผู้อื่นก็ได้
ความเป็นมา เมื่อเห็นว่าจำเป็นต้องทำตามไป สำนวนนี้มีความหมายเป็นสองทาง ทางหนึ่งผู้หนึ่งผู้อื่นเป็นไปก่อนแล้วตัวเองพลอยตามเทียบตามคำในสำนวนก็คือว่า เห็นคนอื่นตกกระไดตนเองก็พลอยโจนตาม อีกทางหนึ่งไม่เกี่ยวกับคนอื่น ตนเองรู้สึกตนว่าถึงเวลาที่ตนเองจะต้องทำโดยที่ไม่มีทางหลีกเลี่ยงได้ ก็เลยประสมทำไปเสียเลย เทียบกับคำในสำนวนเทียบกับว่าตนเองตกกระไดแต่ยังมีสติอยู่ ก็รีบโจนไปให้มีท่าทางไม่ปล่อยให้ตกไปอย่างไม่มีท่า
ตัวอย่าง ในเสภาขุนช้างขุนแผน ตอนปลายงามเข้าหาศรีมาลา มีกลอนขุนแผนว่า
“งองามก็หลงงงงวย ไม่ช่วยไปข้างหน้าจะว้าวุ่น
ตกกระไดพลอยโผนโจนตามบุญ ทำเป็นหุนหันโกรธเข้าพลอยงาม”
7. ตกหลุม
ความหมาย ใช้พูดเมื่อ หกล้มคว่ำลงไปกับพื้น
ความเป็นมา สำนวนนี้มาจากการจับกบ ซึ่งรีบตะครุบไม่ทันให้กบกระโดดหนี พลาดท่าพลาดทางก็ล้มคว่ำลงไปกับพื้น ใครคว่ำหน้าลงไปจึงพูดว่า “ตะครุบกบ” บางครั้งก็พูดว่า “จับกบ”
8. บ่อนแตก
ความหมาย ใช้พูดเมื่อ มีคนทำการชุมนุมกันมากๆ หรือการมากินเลี้ยง เกิดเรื่องต้องทำให้หยุดชะงักเลิกไปกลางคัน
ความเป็นมา มาจากการติดบ่อนเล่นการพนัน ซึ่งมีคนมาเล่นกันมาก ขณะการเล่นก็ต้องมีการหยุดชะงักต้องเลิกไปกลางคัน เรียกว่า บ่อนแตก คำนี้เลยกลายมาเป็นสำนวน
9. ปราณีตีเอาเรือ
ความหมาย ช่วยด้วยความปราณี แต่กลับต้องถูกประทุษร้ายตอบ
ตัวอย่าง
“เอออะไรมาเป็นเช่นนี้ ช่วยว่าให้ดีก็มิเอา
มุทะลุดุดันกันเหลือ ปราณีตีเอาเรือเสียอีกเล่า”
สังข์ทอง พระราชนิพนธ์รัชกาลที่ 2
10.ปัดขาเก้าอี้
ความหมาย เจตนาหรือแกล้งทำให้ผู้ครองตำแหน่งหรือหน้าที่อันใด ต้องเสียหรือพ้นจากตำแหน่งหน้าที่นั้นไป เก้าอี้ หมายถึง เก้าอี้ที่สำหรับนั่งปฏิบัติงานประจำ ปัดเก้าอี้ คือไม่ได้นั่งปฏิบัติงานในตำแหน่งนี้อีก แล้ว
ตัวอย่าง
ในหนังสือนิพพานวังหน้า มีพระราชวิจารณ์ของรัชกาลที่ 5 ตอนหนึ่งว่า
“เมื่อรวบรวมความลงก็ไม่ผิดกับชาววังน่าชั้นหลัง ๆ แลไม่ปองร้ายกันถึงจะหักกันลงข้างหนึ่ง เป็นแต่ประมูลอวดดีกันนินทากัน แตะตีนกัน ซึ่งนับว่าเป็นแบบอันไม่ไห้ความเจริญแก่แผ่นดิน”
11. ผงเข้าตาตัวเอง
ความหมาย เมื่อเกิดปัญหาขึ้นกับตัวเอง หรือเกิดเรื่องอะไรเกี่ยวกับตัวเองแล้วตัวเองไม่สามารถแก้ไขได้
ความเป็นมา คนที่มีความรู้ความคิดดี มีสติ ปัญญาเฉลียวฉลาด ทำอะไรให้ใคร ๆ สำเร็จลุล่วงไปได้ แต่พอมีปัญหาหรือมีเรื่องอะไร เกิดขึ้นกับตัวเอง กลับหมดปัญญาที่จะแก้ไข
11. เผลอเรอกระเชอก้นรั่ว
ความหมาย เลินเล่อ ไม่เอาใจใส่ระวังดูแลให้รอบคอบ
ความเป็นมา มูลของสำนวนมาจากนิทานโบราณ ใน นนทุกปกรณัม เรื่องมีว่ามีพรานไปซุ่มช้อนปลากับภรรยา ภรรยานั้นเป็นกาลกิณีกระเดียดกระเชอก้นรั่วตามสามี สามีช้อนได้ปลามาใส่กระเชอ ภรรยาก็ไม่พิจารณา ปลาก็ลอดลงน้ำไป สามีไม่รู่ช้อนได้หลงใส่กระเชอไปเรื่อย ๆ ปลาก็ลอดไปหมดไม่เหลือ ระหว่างนั้นมีภรรยานายสำเภา เป็นหญิงดีมีสิรินั่งอยู่ท้ายเรือ เห็นปลาลอดลงน้ำก็ยิ้ม นายสำเภาเป็นกาลกิณี เห็นนางดูนายพรานแล้วยิ้มเข้าใจว่านางพอใจ พรานก็โกรธ จะให้นางไปเป็นเมียพราน ในที่สุดนายสำเภากับนายพรานก็ตกลงแลกเมียกัน เมียนายพรานมาอยู่กับนายสำเภา ทำให้พรานเจริญขึ้นเป็นเสนาบดีของพระเจ้าแผ่นดิน แล้วต่อมาได้เป็นเจ้าพระยาแผ่นดิน นั่นคือใครที่ทำอะไรเผลอเรอเลินเล่อทำอะไรไม่รอบคอบก็พูดกันว่า “เผลอเรอกระเชอก้นรั่ว”
12. แผ่สองสลึง
ความหมาย นอนหงายแผ่ สำนวนนี้มักใช้กับคนที่ลื่น หกล้มลงไปนอนหงายแผ่
ความเป็นมา มูลของสำนวนมาจากเงินเหรียญที่ใช้แทงถั่วโปตามโรงบ่อน บ่อนถั่วมีไม้ขอยาวปลายเป็นห่วงกลมสำหรับคล้องเงินที่คนแทง เวลากินก็คล้องเงินลากมา หรือเอาไปจ่ายคนที่แทงถูกก็ได้ เหรียญสลึงกับเหรียญสองสลึงเป็นเหรียญแบบติดเสื่อใช้ไม้ขอคล้องเกี่ยวไม่ติด นายบ่อนจึงทุบเหรียญสลึงกับเหรียญสองสลึงให้พับงอ ที่แบบแผ่ติดตามรูปเดิมไม่ค่อยมี ดังนั้นเมื่อพบสลึงกับเหรียญสองสลึง ให้พับงอสำหรับให้ไม้ขอได้ง่าย สำนวน “แผ่สองสลึง” แล้วเอามาใช้เป็นสำนวนพูด เมื่อใครลื่นล้มลงไปนอนแผ่ ก็พูดกันว่าลงไป แผ่สองสลึง
13. แพแตก
ความหมาย ญาติพี่น้องหรือคนที่เคยอยู่ร่วมกันกระจัดกระจายกันไป เช่นพูดว่าสิ้นผู้ใหญ่เสียคนก็เป็นแพแตก
ความเป็นมา มูลของสำนวนมาจากแพไม้ที่มัดรวมกันเป็นแพ เช่นแพไม้สัก แพไม้รวก ฯลฯ หวายหรือเครื่องที่รัดขาด ไม้นั้นก็กระจายเพ่นพ่านไป เรียกว่า แพแตก สำนวนนี้ใช้กับคนที่อยู่ร่วมกันมากๆ
“มึงจึงจ้วงจาบว่าหยาบคาย แสนร้ายเหี้ยมเกรี้ยมไม่เจียมตัว
พลัดพ่อพลัดแม่เป็นแพแตก กลับมาดันแดกเอาเจ้าผัว”
บทละครรามเกียรติ์ของกรมพระราชวังบวร ฯ
14. พูดจนโดนตอ
ความหมาย พูดเรื่องเกี่ยวกับผู้ใดผู้หนึ่งโดยไม่รู้ว่าผู้นั้นอยู่ในที่นั้นด้วย “ตอ” คือตอไม้ที่ตั้งโด่อยู่ในน้ำ หรือพื้นดินเรามักจะเอามาเปรียบกับคนที่ปรากฏอยู่เฉย ๆ เช่นพูดว่า นั่งเป็นหัวหลักหัวตอ
15. ม้าดีดกระโหลก
ความหมาย กิริยาท่าทางผลุบผลับกระโดกกระเดกลุกลน
ความเป็นมา คนที่มีกิริยาท่าทางผลุบผลับกระโดกกระเดกลุกลน มักใช้ว่าผู้หญิงที่ไม่เรียบร้อย จะลุกจะนั่งหรือเดินพรวดพราดเตะนั่นโดดนี่กระทบโน่นไปรอบข้างที่พูดว่า “ดีดกระโหลก” ฟังดูเป็น “ม้าดีดกระลา” แต่ความจริงเปรียบเหมือนกิริยาของม้า คือม้าที่พยศมักจะมีกิริยาที่เรียกว่า ดีด กับ โขก อยู่ด้วยกัน
ตัวอย่าง
“เหมือนม้าดีขี่ขับสำหรับรบ ทั้งดีดขบโขกกัดสะบัดย่าง”
กลอนพระอภัยมณี
16. เรือล่มเมื่อจอด
ความหมาย ทำหรือปฏิบัติอะไร ๆ ผ่านพ้นมาเรียบร้อย พอจะสำเร็จหรือพอเสร็จกลับเสียไม่สำเร็จไปได้
ความเป็นมา เปรียบเหมือนแจวพายเรือมาถึงที่หมาย พอจอด เรือก็ล่ม สำนวนนี้ใช้กับการพูดดีเรื่อยมา พอจะจบก็ลงไม่ได้ “เรือล่มเมื่อจอด” มักจะมีต่อว่า ตาบอดเมื่อแก่
“เรือ เทียบถึงท่าแล้ว และมา
ล่ม ละลายโภคา ชวดใช้
เมื่อหนุ่มเท่าชรา แสวงสิ่ง ใดเฮย
จอด จ่อจวนเจียนได้ สิ่งนั้นศูนย์เสีย”
โครงสุภาษิตเก่า
17. ล่มหัวจมท้าย
ความหมาย ร่วมทุกข์ร่วมสุขด้วยกัน ยากมีดีจนด้วยกัน ฯลฯ
ความเป็นมา สำนวนนี้มาจากเรือ ผัวเมียลงเรือไปค้าขาย ช่วยกนทำมาหากิน การไปเรือมักจะพูดกันว่า ผัวถือท้ายเมียถือหัว หรือผัวแจวท้ายเมียพายหัว เป็นการช่วยกัน เมื่อเรือล่มก็จมไปด้วยกัน จึงพูดกันว่า จมหัวจมท้าย
18. เลือดเข้าตา
ความหมาย มุ ทะลุ ดื้อทำไม่คิดถึงผลได้ผลเสีย
ความเป็นมา มูลของสำนวนมาจากการชกมวย หรือการต่อสู้ เมื่อถูกต่อยหรือถูกตี ถูกฟันแทงแถวหน้าผาก หรือคิ้วแตกเป็นแผล เลือดไหลเข้าตา ก็เกิดมานะมุทะลุเข้าสู้อย่างไม่คิดชีวิต เมื่อเกิดเหตุการณ์ที่ทำให้ต้องมุมานะโดยไม่คิดหน้าคิดหลัง
ตัวอย่าง เสียพนันมากก็ยิ่งเล่นใหญ่ จึงควรพูดว่า เลือดเข้าตา
19. วัดถนน
ความหมาย หกล้มราบลงไปกับพื้น
ความเป็นมา เมื่อหกล้มราบลงไปกับพื้น แล้วจะใช้พูดล้อคนที่ล้มว่าลงไปวัดถนนว่ากว้างยาวเท่าไหร่
20. วิ่งเป็นไก่ตาแตก
ความหมาย ซุกซน ดั้นด้นไปอย่างงมงาย
ความเป็นมา ซึ่งมาจากการเล่นชนชนไก่ ไก่ที่ถูกคู่ชนแท่งด้วยเดือยจนตาแตกไม่เห็นอะไร มักจะวิ่งหนีซุกซนไปทั้ง ๆ ที่ไม่เห็นทาง
ตัวอย่าง ในพระราชหัตถเลขารัชกาลที่ 5 ถึงเจ้าพระยาธรรมา ฯ แห่งหนึ่งว่า
“ไปด่วนหักโหมเอางาใหญ่ ๆ ดีๆ กลึงเสียถ้าต่อไปมันดีขึ้นจะต้องวิ่งหางาตาแตก”
21. สี่ตีนยังรู้พลาดนักปราชญ์ยังรู้พลั้ง
ความเป็นมา คำว่า สี่ตีน โบราณหมายถึงช้าง ในเรื่องนางนพมาศว่า “ถึงบุราณท่าว่าคชสารสี่ตีน ยังรู้พลาด นักปราชญ์ยังรู้ล้ม ใครอย่าได้ประมาท คำอันนี้ก็เป็นจริง” เพราะว่าช้างเวลาก้าวเท้าจะก้าวหนักมั่นคงมากกว่าสัตว์อื่น ๆ
ตัวอย่าง
“สี่ตีน คือช้างใหญ่ เยี่ยมเขา
ยังพลาด พลิกแพลงเบา บาทเท้า
นักปราชญ์ อาจองเอา อรรถกล่าว ได้นา
ยังพลั้ง พลาดขาดค้าง อย่าอ้างอวดดี”
โครงสุภาษิตเก่า
22.หัวชนกำแพง
ความหมาย สู้ไม่ถอย สู้จนถึงที่สุด ฯลฯ ไปติดกับกำแพงไปไหนไม่ได้ ก็ยังสู้
ตัวอย่าง บทละครดึกดำบรรพ์ของสมเด็จเจ้าฟ้ากรมพระยานริศร์ ฯ
“น้อย ฤแนะ เป็นไรมีล่ะ คงได้ดูดีหรอก เล่นกะมันจนหัวชนกำแพงซีน่ะ”
23. หัวราน้ำ
ความหมาย เมาเต็มที่
ความเป็นมา สมัยก่อนไทยเรามีการคมนาคมทางน้ำเป็นสำคัญใช้เรือ เป็นพาหนะทั้งในธุรกิจติดต่อค้าขาย ตลอดจนการเล่นรื่นเริงต่าง ๆ ในการเล่น
ตัวอย่าง แข่งเรือ คนในเรือมักจะกินเหล้าเมามายกันเต็มที่แรงตัวไม่อยู่ หัวลงไปราอยู่กับพื้นน้ำ จึงเกิดเป็นสำนวนขึ้นมา
24. หัวหกข้นขวิด
ความหมาย ทำอะไรแผลง ๆ ทำอะไรโลดโผน ไม่ได้รักษากิริยามารยาท ทำตามใจชอบ
ตัวอย่าง
“เป็นการกินสำหรับเกียรติยศ จะหยิบฉวยอะไรแต่ละทีง้างมือไม่ค่อยถนัด สู้กินกันตามธรรมดาอย่างบ้านของตัวเองไม่ได้ หัวหกข้นขวิดก็ไม่ต้องเกรงใจใคร”
ละคอนไทยไปอเมริกา
25. โอษฐภัย
ความหมาย พูดไม่ดีจะเป็นภัยกับตัวเอง เป็นภัยที่เกิดจากปาก ส่วนใหญ่มุ่งไปถึงการพูดที่ไม่รู้จักที่ต่ำที่สูง การดูหมิ่น พระบรมเดชานุภาพ การพูดเป็นปฏิปักษ์ต่อรัฐบาล
วันอังคารที่ 28 ธันวาคม พ.ศ. 2553
มุฮัมมัด
นบีมุฮัมมัด ฟัง (ข้อมูล) (อาหรับ: محمد มีความหมายว่า ผู้ได้รับการสรรเสริญ) มีชื่อเรียกอื่น ๆ อีกหลายชื่อ เช่น มุสตอฟา, ฏอฮา, ยาซีน และ อะฮฺมัด
มุฮัมมัด (ศ) เป็นนบี (ศาสดา) ของศาสนาอิสลาม ในทัศนคติของอิสลาม มุฮัมมัด (ศ) เป็นศาสดาองค์สุดท้าย ที่ อัลลอหฺ พระผู้เป็นเจ้า ทรงประทานแต่งตั้ง
ประวัติ
เกิดที่มหานครมักกะหฺ (เมกกะ) ตรงกับวันจันทร์ที่ 12 เดือนรอบีอุลเอาวัล ในปีช้าง ตรงกับ ค.ศ. 570 ในตอนแรกเกิดวรกายของมุฮัมมัด (ศ) มีรัศมีสว่างไสวและมีกลิ่นหอม เป็นศุภนิมิตบ่งถึงความพิเศษของทารก
ปีที่ท่านเกิดนั้นเป็นปีที่อุปราชอับรอหะหฺแห่งอบิสสิเนีย (เอธิโอเปียปัจจุบัน) กรีฑาทัพช้างเข้าโจมตีมหานครมักกะหฺ เพื่อทำลายกะอฺบะหฺอันศักดิ์สิทธิ์ แต่อัลลอหฺได้ทรงพิทักษ์มักกะหฺ ด้วยการส่งกองทัพนกที่คาบกรวดหินลงมาทิ้งลงบนกองทัพนี้ จนไพร่พลต้องล้มตายระเนระนาด เนื้อตัวทะลุเหมือนใบไม้ถูกหนอนกัดกิน อุปราชอับรอหะหฺจึงต้องถอยทัพกลับไป และเสียชีวิตในที่สุด
ในปีเดียวกัน มีแผ่นดินไหวเกิดขึ้นในเปอร์เซีย เป็นเหตุให้ราชวังอะนูชิรวานของจักรพรรดิ์ เปอร์เซียสั่นสะเทือนจนถึงรากเหง้าและพังทลายลง ยังผลให้ไฟศักดิ์สิทธิ์ในวิหารบูชาไฟของพวกโซโรอัสเตอร์ที่ลุกอยู่เป็นพันปีนั้นต้องดับลงไปด้วย
บิดาของมุฮัมมัดคือ อับดุลลอหฺ เป็นบุตรสุดท้องของอับดุลมุฏฏอลิบ แห่งเผ่ากุเรช ผู้ได้รับเกิยรติให้คุ้มครองบ่อน้ำ ซัมซัม ริมกะอฺบะหฺ อับดุลลอหฺได้เสียชีวิตไปตั้งแต่ตอนที่มุฮัมมัด(ศ)ยังอยู่ในครรภ์ของอะมีนะหฺ สตรีแห่งเผ่าซุหฺเราะหฺ ฺผู้เป็นมารดา อับดุลมุฏฏอลิบผู้เป็นปู่ได้ขนานนามว่า มุฮัมมัด เป็นนามที่ยังไม่มีผู้ใดใช้มาก่อน
เมื่อเกิดได้เพียงไม่นาน ท่านต้องไปอาศัยกับแม่นมรับจ้างชื่อว่า ฮะลีมะหฺ แห่งเผ่าซะอัด ซึ่งมีสามีชื่อว่า อะบูกับชะหฺ ตั้งถิ่นฐานอยู่นอกมหานคร ทั้งนี้เพราะประเพณีดั้งเดิมของชาวอาหรับ เมื่อต้องการให้บุตรของตนเติบโตขึ้นในชนบท เพื่อสัมผัสกับวัฒนธรรมของชาวอาหรับพื้นเมืองที่แท้จริง
มุฮัมมัดสูญเสียมารดาเมื่ออายุ 6 ขวบ จึงอยู่ในความอุปการะของปู่ ต่อมาอีกสองปี ปู่สิ้นชีวิต มุฮัมมัดจึงอยู่ในความดูแลของ อะบูฏอลิบ ผู้เป็นลุง ซึ่งเป็นผู้มีเกิยรติคนหนึ่งในเผ่ากุเรชเช่นกัน
มุฮัมมัดไม่รู้หนังสือเหมือนกับชาวอาหรับทั่วไป ท่านอ่านและเขียนหนังสือไม่เป็นตลอดชีวิต นักประวัติศาสตร์รายงานว่าในสมัยนั้นมีคนที่อ่านออกเขียนได้ในมักกะหฺไม่กี่คนเท่านั้น ชาวอาหรับในสมัยนั้นถูกขนานนามว่า อุมมียูน คือชนผู้อ่านเขียนไม่เป็น
ในวัยหนุ่ม มุฮัมมัดได้รับการยอมรับว่าเป็นบุคคลที่มีความซื่อสัตย์ไว้วางใจได้ มีใจเมตตาการุณและจริงใจ จนผู้คนในสมัยนั้นให้สมญานามท่านว่า "อัลอะมีน" หรือผู้ซื่อสัตย์ แม้ผู้คนในสมัยนั้นเคารพบูชาเจว็ดและเทวรูปต่างๆ แต่มุฮัมมัดไม่เคยเข้าร่วมพิธีการบูชารูปปั้นทั้งหลายเลย เพราะครอบครัวของมุฮัมมัดนับถือศาสนาแห่งศาสดาอิบรอฮีม (อับราฮาม) อันเป็นบรรพบุรุษของท่าน
เมื่อมูฮัมมัดมีอายุได้ 20 ปี กิตติศัพท์แห่งคุณธรรม และความสามารถในการค้าขายก็เข้าถึงหูของ คอดีญะหฺ เศรษฐีนีหม้ายผู้มีเกียรติจากตระกูลอะซัดแห่งเผ่ากุเรช นางจึงเชิญให้ท่านเป็นผู้จัดการในการค้าของนาง โดยให้ท่านนำสินค้าไปขายยังประเทศซีเรียในฐานะหัวหน้ากองคาราวาน ปรากฏผลว่าการค้าดำเนินไปด้วยความเรียบร้อย และได้กำไรเกินความคาดหมาย จึงทำให้นางพอใจในความสามารถ และความซื่อสัตย์ของท่านเป็นอย่างมาก
เมื่ออายุ 25 ปี ท่านแต่งงานกับนาง คอดีญะหฺผู้มีอายุแก่กว่าถึง 15 ปี สิ่งแรกที่ท่านนบีมูฮัมมัด ได้กระทำภายหลังสมรสได้ไม่กี่วันก็คือการปลดปล่อยทาสในบ้านให้เป็นอิสระ ซึ่งน้อยนักจะมีผู้ทำเช่นนั้น (ภายหลังการปลดทาสได้กลายเป็นบทบัญญัติอิสลาม) ทั้งสองได้ใช้ชีวิตครองคู่กันเป็นเวลา 25 ปีมีบุตรีด้วยกัน 4 คน หนึ่งในจำนวนนั้นคือท่านหญิงฟาฏิมะหฺ ท่านหญิงคอดีญะหฺเสียชีวิตปี ค.ศ. 619 ก่อนมุฮัมมัดจะลี้ภัยไปยังเมืองยัษริบ 3 ปี
เมื่ออายุ 30 ปี ท่านได้เข้าร่วมเป็นสมาชิกในสหพันธ์ฟุดูล อันเป็นองค์การพิทักษ์สาธารณภัยประชาชน เพื่อขจัดทุกข์บำรุงสุขให้ประชาชน กิจการประจำวันของท่าน ก็คือ ประกอบแต่กุศลกรรม ปลดทุกข์ขจัดความเดือดร้อน ช่วยเหลือผู้ตกยาก บำรุงสาธารณกุศล
เมื่ออายุ 35 ปี ได้เกิดมีกรณีขัดแย้งในการบูรณะกะอฺบะหฺ ในเรื่องที่ว่าผู้ใดกันที่จะเป็นนำเอา อัลฮะญัร อัลอัสวัด (หินดำ) ไปประดิษฐานไว้สถานที่เดิมคือที่มุมของกะอฺบะหฺ อันเป็นเหตุให้คนทั้งเมืองเกือบจะรบราฆ่าฟันกันเองเพราะแย่งหน้าที่อันมีเกียรติ หลังจากการถกเถียงในที่ประชุมเป็นเวลานาน บรรดาหัวหน้าตระกูลต่าง ๆ ก็มีมติว่า ผู้ใดก็ตามที่เป็นคนแรกที่เข้ามาใน อัลมัสญิด อัลฮะรอม ทางประตูบะนีชัยบะหฺในวันนั้นจะให้ผู้นั้นเป็นผู้ชี้ขาดว่าจะทำอย่างไร ปรากฏว่า มุฮัมมัด เป็นคนเดินเข้าไปเป็นคนแรก ท่านจึงมีอำนาจในการชี้ขาด โดยท่านเอาผ้าผืนหนึ่งปูลง แล้วท่านก็วางหินดำลงบนผืนผ้านั้น จากนั้นก็ให้หัวหน้าตระกูลต่าง ๆ จับชายผ้ากันทุกคน แล้วยกขึ้นพร้อม ๆ กัน เอาไปใกล้ ๆ สถานที่ตั้งของหินดำนั้น แล้วท่านก็เป็นผู้นำเอาหินดำไปประดิษฐานไว้ ณ ที่เดิม
ชาวอาหรับในอาราเบียสมัยนั้นเชื่อว่า อัลลอหฺเป็นพระผู้เป็นเจ้าแห่งสากลจักรวาลตามคำสอนดั้งเดิมของบรรพบุรุษอาหรับคือ อิสมาอีล และ อิบรอฮีม ผู้ก่อตั้งกะอฺบะหฺ แต่ในขณะเดียวกลับบูชาเทวรูปและผีสางอีกด้วย ด้วยเหตุนี้พวกเขาจึงถูกเรียกว่า ชาวมุชริก นอกจากนี้ยังมีอาหรับส่วนหนึ่งที่นับถือศาสนาคริสต์ และในยัษริบก็มีชาวยิวหลายตระกูลอาศัยอยู่อีกด้วย
มุฮัมมัดได้เป็นศาสนทูต
เมื่ออายุ 40 ปี ท่านได้รับ วะฮฺยู (การวิวรณ์) จากอัลลอหฺพระผู้เป็นเจ้า ใน ถ้ำฮิรออ์ ซึ่งอยู่บนภูเขาลูกหนึ่งนอกเมืองมักกะหฺ โดยทูตสวรรค์ญิบรีลเป็นผู้นำมาบอกเป็นครั้งแรก เรียกร้องให้ท่านรับหน้าที่เป็นผู้เผยแผ่ศาสนาของอัลลอหฺ ตามที่ศาสดา มูซา (โมเสส) และอีซา (เยซู) เคยทำมา นั่นคือประกาศให้มวลมนุษย์นับถือพระเจ้าเพียงองค์เดียว ท่านได้รับพระโองการติดต่อกันเป็นเวลา 23 ปี พระโองการเหล่านี้รวบรวมขึ้นเป็นเล่มเรียกว่าคัมภีร์อัลกุรอาน
ในตอนแรกท่านเผยแพร่ศาสนาแก่วงศาคณาญาติและเพื่อนใกล้ชิดเป็นการภายในก่อน ท่านค็อดีญะหฺเองได้สละทรัพย์สินเงินทองของท่านไปมากมาย และท่านอะบูฏอลิบก็ได้ปกป้องหลานชายของตนด้วยชีวิต ต่อมาท่านได้รับโองการจากพระเจ้าให้ประกาศเผยแพร่ศาสนาโดยเปิดเผย ทำให้ญาติพี่น้องในตระกูลเดียวกัน ชาวกุเรชและอาหรับเผ่าอื่น ๆ ที่เคยนับถือท่าน พากันโกรธแค้น ตั้งตนเป็นศัตรูกับท่านอย่างรุนแรง ถึงกับวางแผนสังหารท่านหลายครั้งแต่ก็ไม่สำเร็จ ชนมุสลิมถูกคว่ำบาตรไม่สามารถทำธุรกิจกับผู้ใด จนต้องอดอยากเพราะขาดรายได้และไม่มีที่จะซื้ออาหาร อะบูสุฟยาน แห่งตระกูลอุมัยยะหฺ และ อะบูญะฮัล คือสองในจำนวนหัวหน้าชาวมุชริกที่ได้พยายามทำลายล้างศาสนาอิสลาม
ในปีที่ 5 หลังสาส์นอิสลาม สาวกกลุ่มหนึ่งต้องหนีออกจากมักกะหฺเข้าลี้ภัยในอบิสสิเนีย กษัตริย์นัญญาชี(เนเกช)แห่งอบิสสิเนียที่นับถือคริสต์ศาสนาก็ได้ให้การต้อนรับเป็นอย่างดี ภายหลังท่านเองก็เข้ารับนับถือศาสนาอิสลาม
ปีที่ 10 หลังสาส์นอิสลาม ถือว่าเป็นปีแห่งความโศกเศร้า เนื่องจาก นางคอดีญะหฺ ผู้เป็นภรรยาและ อะบูฏอลิบ ผู้เป็นลุงที่ได้ให้การอุปการะ ได้สิ้นชีวิต
ปีเดียวกันศาสนทูตท่านศาสดาเดินทางไปเผยแผ่ศาสนาที่เมืองฎออิฟ ซึ่งอยู่ทางตอนใต้ของเมืองมักกะหฺ แต่ก็ได้รับการปฏิเสธ
ในวันจันทร์ที่ 27 เดือนรอญับ ปีที่ 10 หลังสาส์นอิสลาม ศาสดามุฮัมมัดเดินทางในเวลากลางคืน โดยขี่บุรอกจากมัสญิด อัลฮะรอมในมักกะหฺ สู่ มัสญิดอัลอักศอ ในปาเลสไตน์ (อิสรออ์) ขึ้นสู่ฟากฟ้า (มิอฺรอจญ์) ในคืนนั้นอัลลอหฺทรงกำหนดการละหมาดฟัรดู 5 เวลาแก่ประชาชาติอิสลาม
ปีที่ 11 ชาวมะดีนะหฺ 6 คน เข้าพบท่านศาสดาเพื่อขอรับอิสลาม ต่อมาในปีที่ 12 ชาวมะดีนะหฺ 12 คน เข้าพบท่านศาสดาเพื่อทำสัญญาอัลอะกอบะหฺครั้งที่ 1 โดยให้สัตยาบันว่าจะเคารพภักดีอัลลอหฺเพียงองค์เดียว และในปีที่ 13 มีชาวมะดีนะหฺ 75 คน เข้าพบท่านศาสดาเพื่อทำสัญญา อัลอะกอบะหฺ ครั้งที่ 2 โดยให้สัตยาบันว่าพวกเขาจะสนับสนุนและช่วยเหลือท่าน ศาสดาพร้อมทั้งบรรดาศอฮาบะหฺที่อพยพไปอยู่ที่มะดีนะหฺ
อพยพจากมักกะหฺสู่มะดีนะหฺ
ท่านศาสดาอพยพจากมักกะหฺโดยมีอะบูบักรฺร่วมเดินทางไกลด้วย ระหว่างทางท่านได้สร้างมัสญิดกุบาอ์ ซึ่งเป็นมัสญิดหลังแรกที่ถูกสร้างขึ้น ท่านศาสดาเข้าเมืองมะดีนะหฺในวันศุกร์
ท่านได้ทำการละหมาดวันศุกร์ร่วมกับพี่น้องมุสลิมที่นั่น ซึ่งถือว่าเป็นการละหมาดวันศุกร์ครั้งแรกของอิสลาม เมื่อถึงเมืองมะดีนะหฺ ท่านศาสดาได้สร้างความรัก ความเป็นพี่น้องร่วมศรัทธาระหว่างชาวมุฮาญิรีน ผู้อพยพ กับชาวอันศอร ผู้ช่วยเหลือการอพยพของท่านศาสดามีความสำคัญมากในประวัติศาสตร์อิสลาม
มุสลิมจึงถือเอาการอพยพของท่านศาสดามุฮัมมัดเป็นจุดเริ่มของศักราชอิสลาม ซึ่งเรียกว่า ฮิจญเราะหฺศักราช (ฮ.ศ.) ปีแห่งการอพยพของท่านศาสดามุฮัมมัด
มุฮัมมัด (ศ) เป็นนบี (ศาสดา) ของศาสนาอิสลาม ในทัศนคติของอิสลาม มุฮัมมัด (ศ) เป็นศาสดาองค์สุดท้าย ที่ อัลลอหฺ พระผู้เป็นเจ้า ทรงประทานแต่งตั้ง
ประวัติ
เกิดที่มหานครมักกะหฺ (เมกกะ) ตรงกับวันจันทร์ที่ 12 เดือนรอบีอุลเอาวัล ในปีช้าง ตรงกับ ค.ศ. 570 ในตอนแรกเกิดวรกายของมุฮัมมัด (ศ) มีรัศมีสว่างไสวและมีกลิ่นหอม เป็นศุภนิมิตบ่งถึงความพิเศษของทารก
ปีที่ท่านเกิดนั้นเป็นปีที่อุปราชอับรอหะหฺแห่งอบิสสิเนีย (เอธิโอเปียปัจจุบัน) กรีฑาทัพช้างเข้าโจมตีมหานครมักกะหฺ เพื่อทำลายกะอฺบะหฺอันศักดิ์สิทธิ์ แต่อัลลอหฺได้ทรงพิทักษ์มักกะหฺ ด้วยการส่งกองทัพนกที่คาบกรวดหินลงมาทิ้งลงบนกองทัพนี้ จนไพร่พลต้องล้มตายระเนระนาด เนื้อตัวทะลุเหมือนใบไม้ถูกหนอนกัดกิน อุปราชอับรอหะหฺจึงต้องถอยทัพกลับไป และเสียชีวิตในที่สุด
ในปีเดียวกัน มีแผ่นดินไหวเกิดขึ้นในเปอร์เซีย เป็นเหตุให้ราชวังอะนูชิรวานของจักรพรรดิ์ เปอร์เซียสั่นสะเทือนจนถึงรากเหง้าและพังทลายลง ยังผลให้ไฟศักดิ์สิทธิ์ในวิหารบูชาไฟของพวกโซโรอัสเตอร์ที่ลุกอยู่เป็นพันปีนั้นต้องดับลงไปด้วย
บิดาของมุฮัมมัดคือ อับดุลลอหฺ เป็นบุตรสุดท้องของอับดุลมุฏฏอลิบ แห่งเผ่ากุเรช ผู้ได้รับเกิยรติให้คุ้มครองบ่อน้ำ ซัมซัม ริมกะอฺบะหฺ อับดุลลอหฺได้เสียชีวิตไปตั้งแต่ตอนที่มุฮัมมัด(ศ)ยังอยู่ในครรภ์ของอะมีนะหฺ สตรีแห่งเผ่าซุหฺเราะหฺ ฺผู้เป็นมารดา อับดุลมุฏฏอลิบผู้เป็นปู่ได้ขนานนามว่า มุฮัมมัด เป็นนามที่ยังไม่มีผู้ใดใช้มาก่อน
เมื่อเกิดได้เพียงไม่นาน ท่านต้องไปอาศัยกับแม่นมรับจ้างชื่อว่า ฮะลีมะหฺ แห่งเผ่าซะอัด ซึ่งมีสามีชื่อว่า อะบูกับชะหฺ ตั้งถิ่นฐานอยู่นอกมหานคร ทั้งนี้เพราะประเพณีดั้งเดิมของชาวอาหรับ เมื่อต้องการให้บุตรของตนเติบโตขึ้นในชนบท เพื่อสัมผัสกับวัฒนธรรมของชาวอาหรับพื้นเมืองที่แท้จริง
มุฮัมมัดสูญเสียมารดาเมื่ออายุ 6 ขวบ จึงอยู่ในความอุปการะของปู่ ต่อมาอีกสองปี ปู่สิ้นชีวิต มุฮัมมัดจึงอยู่ในความดูแลของ อะบูฏอลิบ ผู้เป็นลุง ซึ่งเป็นผู้มีเกิยรติคนหนึ่งในเผ่ากุเรชเช่นกัน
มุฮัมมัดไม่รู้หนังสือเหมือนกับชาวอาหรับทั่วไป ท่านอ่านและเขียนหนังสือไม่เป็นตลอดชีวิต นักประวัติศาสตร์รายงานว่าในสมัยนั้นมีคนที่อ่านออกเขียนได้ในมักกะหฺไม่กี่คนเท่านั้น ชาวอาหรับในสมัยนั้นถูกขนานนามว่า อุมมียูน คือชนผู้อ่านเขียนไม่เป็น
ในวัยหนุ่ม มุฮัมมัดได้รับการยอมรับว่าเป็นบุคคลที่มีความซื่อสัตย์ไว้วางใจได้ มีใจเมตตาการุณและจริงใจ จนผู้คนในสมัยนั้นให้สมญานามท่านว่า "อัลอะมีน" หรือผู้ซื่อสัตย์ แม้ผู้คนในสมัยนั้นเคารพบูชาเจว็ดและเทวรูปต่างๆ แต่มุฮัมมัดไม่เคยเข้าร่วมพิธีการบูชารูปปั้นทั้งหลายเลย เพราะครอบครัวของมุฮัมมัดนับถือศาสนาแห่งศาสดาอิบรอฮีม (อับราฮาม) อันเป็นบรรพบุรุษของท่าน
เมื่อมูฮัมมัดมีอายุได้ 20 ปี กิตติศัพท์แห่งคุณธรรม และความสามารถในการค้าขายก็เข้าถึงหูของ คอดีญะหฺ เศรษฐีนีหม้ายผู้มีเกียรติจากตระกูลอะซัดแห่งเผ่ากุเรช นางจึงเชิญให้ท่านเป็นผู้จัดการในการค้าของนาง โดยให้ท่านนำสินค้าไปขายยังประเทศซีเรียในฐานะหัวหน้ากองคาราวาน ปรากฏผลว่าการค้าดำเนินไปด้วยความเรียบร้อย และได้กำไรเกินความคาดหมาย จึงทำให้นางพอใจในความสามารถ และความซื่อสัตย์ของท่านเป็นอย่างมาก
เมื่ออายุ 25 ปี ท่านแต่งงานกับนาง คอดีญะหฺผู้มีอายุแก่กว่าถึง 15 ปี สิ่งแรกที่ท่านนบีมูฮัมมัด ได้กระทำภายหลังสมรสได้ไม่กี่วันก็คือการปลดปล่อยทาสในบ้านให้เป็นอิสระ ซึ่งน้อยนักจะมีผู้ทำเช่นนั้น (ภายหลังการปลดทาสได้กลายเป็นบทบัญญัติอิสลาม) ทั้งสองได้ใช้ชีวิตครองคู่กันเป็นเวลา 25 ปีมีบุตรีด้วยกัน 4 คน หนึ่งในจำนวนนั้นคือท่านหญิงฟาฏิมะหฺ ท่านหญิงคอดีญะหฺเสียชีวิตปี ค.ศ. 619 ก่อนมุฮัมมัดจะลี้ภัยไปยังเมืองยัษริบ 3 ปี
เมื่ออายุ 30 ปี ท่านได้เข้าร่วมเป็นสมาชิกในสหพันธ์ฟุดูล อันเป็นองค์การพิทักษ์สาธารณภัยประชาชน เพื่อขจัดทุกข์บำรุงสุขให้ประชาชน กิจการประจำวันของท่าน ก็คือ ประกอบแต่กุศลกรรม ปลดทุกข์ขจัดความเดือดร้อน ช่วยเหลือผู้ตกยาก บำรุงสาธารณกุศล
เมื่ออายุ 35 ปี ได้เกิดมีกรณีขัดแย้งในการบูรณะกะอฺบะหฺ ในเรื่องที่ว่าผู้ใดกันที่จะเป็นนำเอา อัลฮะญัร อัลอัสวัด (หินดำ) ไปประดิษฐานไว้สถานที่เดิมคือที่มุมของกะอฺบะหฺ อันเป็นเหตุให้คนทั้งเมืองเกือบจะรบราฆ่าฟันกันเองเพราะแย่งหน้าที่อันมีเกียรติ หลังจากการถกเถียงในที่ประชุมเป็นเวลานาน บรรดาหัวหน้าตระกูลต่าง ๆ ก็มีมติว่า ผู้ใดก็ตามที่เป็นคนแรกที่เข้ามาใน อัลมัสญิด อัลฮะรอม ทางประตูบะนีชัยบะหฺในวันนั้นจะให้ผู้นั้นเป็นผู้ชี้ขาดว่าจะทำอย่างไร ปรากฏว่า มุฮัมมัด เป็นคนเดินเข้าไปเป็นคนแรก ท่านจึงมีอำนาจในการชี้ขาด โดยท่านเอาผ้าผืนหนึ่งปูลง แล้วท่านก็วางหินดำลงบนผืนผ้านั้น จากนั้นก็ให้หัวหน้าตระกูลต่าง ๆ จับชายผ้ากันทุกคน แล้วยกขึ้นพร้อม ๆ กัน เอาไปใกล้ ๆ สถานที่ตั้งของหินดำนั้น แล้วท่านก็เป็นผู้นำเอาหินดำไปประดิษฐานไว้ ณ ที่เดิม
ชาวอาหรับในอาราเบียสมัยนั้นเชื่อว่า อัลลอหฺเป็นพระผู้เป็นเจ้าแห่งสากลจักรวาลตามคำสอนดั้งเดิมของบรรพบุรุษอาหรับคือ อิสมาอีล และ อิบรอฮีม ผู้ก่อตั้งกะอฺบะหฺ แต่ในขณะเดียวกลับบูชาเทวรูปและผีสางอีกด้วย ด้วยเหตุนี้พวกเขาจึงถูกเรียกว่า ชาวมุชริก นอกจากนี้ยังมีอาหรับส่วนหนึ่งที่นับถือศาสนาคริสต์ และในยัษริบก็มีชาวยิวหลายตระกูลอาศัยอยู่อีกด้วย
มุฮัมมัดได้เป็นศาสนทูต
เมื่ออายุ 40 ปี ท่านได้รับ วะฮฺยู (การวิวรณ์) จากอัลลอหฺพระผู้เป็นเจ้า ใน ถ้ำฮิรออ์ ซึ่งอยู่บนภูเขาลูกหนึ่งนอกเมืองมักกะหฺ โดยทูตสวรรค์ญิบรีลเป็นผู้นำมาบอกเป็นครั้งแรก เรียกร้องให้ท่านรับหน้าที่เป็นผู้เผยแผ่ศาสนาของอัลลอหฺ ตามที่ศาสดา มูซา (โมเสส) และอีซา (เยซู) เคยทำมา นั่นคือประกาศให้มวลมนุษย์นับถือพระเจ้าเพียงองค์เดียว ท่านได้รับพระโองการติดต่อกันเป็นเวลา 23 ปี พระโองการเหล่านี้รวบรวมขึ้นเป็นเล่มเรียกว่าคัมภีร์อัลกุรอาน
ในตอนแรกท่านเผยแพร่ศาสนาแก่วงศาคณาญาติและเพื่อนใกล้ชิดเป็นการภายในก่อน ท่านค็อดีญะหฺเองได้สละทรัพย์สินเงินทองของท่านไปมากมาย และท่านอะบูฏอลิบก็ได้ปกป้องหลานชายของตนด้วยชีวิต ต่อมาท่านได้รับโองการจากพระเจ้าให้ประกาศเผยแพร่ศาสนาโดยเปิดเผย ทำให้ญาติพี่น้องในตระกูลเดียวกัน ชาวกุเรชและอาหรับเผ่าอื่น ๆ ที่เคยนับถือท่าน พากันโกรธแค้น ตั้งตนเป็นศัตรูกับท่านอย่างรุนแรง ถึงกับวางแผนสังหารท่านหลายครั้งแต่ก็ไม่สำเร็จ ชนมุสลิมถูกคว่ำบาตรไม่สามารถทำธุรกิจกับผู้ใด จนต้องอดอยากเพราะขาดรายได้และไม่มีที่จะซื้ออาหาร อะบูสุฟยาน แห่งตระกูลอุมัยยะหฺ และ อะบูญะฮัล คือสองในจำนวนหัวหน้าชาวมุชริกที่ได้พยายามทำลายล้างศาสนาอิสลาม
ในปีที่ 5 หลังสาส์นอิสลาม สาวกกลุ่มหนึ่งต้องหนีออกจากมักกะหฺเข้าลี้ภัยในอบิสสิเนีย กษัตริย์นัญญาชี(เนเกช)แห่งอบิสสิเนียที่นับถือคริสต์ศาสนาก็ได้ให้การต้อนรับเป็นอย่างดี ภายหลังท่านเองก็เข้ารับนับถือศาสนาอิสลาม
ปีที่ 10 หลังสาส์นอิสลาม ถือว่าเป็นปีแห่งความโศกเศร้า เนื่องจาก นางคอดีญะหฺ ผู้เป็นภรรยาและ อะบูฏอลิบ ผู้เป็นลุงที่ได้ให้การอุปการะ ได้สิ้นชีวิต
ปีเดียวกันศาสนทูตท่านศาสดาเดินทางไปเผยแผ่ศาสนาที่เมืองฎออิฟ ซึ่งอยู่ทางตอนใต้ของเมืองมักกะหฺ แต่ก็ได้รับการปฏิเสธ
ในวันจันทร์ที่ 27 เดือนรอญับ ปีที่ 10 หลังสาส์นอิสลาม ศาสดามุฮัมมัดเดินทางในเวลากลางคืน โดยขี่บุรอกจากมัสญิด อัลฮะรอมในมักกะหฺ สู่ มัสญิดอัลอักศอ ในปาเลสไตน์ (อิสรออ์) ขึ้นสู่ฟากฟ้า (มิอฺรอจญ์) ในคืนนั้นอัลลอหฺทรงกำหนดการละหมาดฟัรดู 5 เวลาแก่ประชาชาติอิสลาม
ปีที่ 11 ชาวมะดีนะหฺ 6 คน เข้าพบท่านศาสดาเพื่อขอรับอิสลาม ต่อมาในปีที่ 12 ชาวมะดีนะหฺ 12 คน เข้าพบท่านศาสดาเพื่อทำสัญญาอัลอะกอบะหฺครั้งที่ 1 โดยให้สัตยาบันว่าจะเคารพภักดีอัลลอหฺเพียงองค์เดียว และในปีที่ 13 มีชาวมะดีนะหฺ 75 คน เข้าพบท่านศาสดาเพื่อทำสัญญา อัลอะกอบะหฺ ครั้งที่ 2 โดยให้สัตยาบันว่าพวกเขาจะสนับสนุนและช่วยเหลือท่าน ศาสดาพร้อมทั้งบรรดาศอฮาบะหฺที่อพยพไปอยู่ที่มะดีนะหฺ
อพยพจากมักกะหฺสู่มะดีนะหฺ
ท่านศาสดาอพยพจากมักกะหฺโดยมีอะบูบักรฺร่วมเดินทางไกลด้วย ระหว่างทางท่านได้สร้างมัสญิดกุบาอ์ ซึ่งเป็นมัสญิดหลังแรกที่ถูกสร้างขึ้น ท่านศาสดาเข้าเมืองมะดีนะหฺในวันศุกร์
ท่านได้ทำการละหมาดวันศุกร์ร่วมกับพี่น้องมุสลิมที่นั่น ซึ่งถือว่าเป็นการละหมาดวันศุกร์ครั้งแรกของอิสลาม เมื่อถึงเมืองมะดีนะหฺ ท่านศาสดาได้สร้างความรัก ความเป็นพี่น้องร่วมศรัทธาระหว่างชาวมุฮาญิรีน ผู้อพยพ กับชาวอันศอร ผู้ช่วยเหลือการอพยพของท่านศาสดามีความสำคัญมากในประวัติศาสตร์อิสลาม
มุสลิมจึงถือเอาการอพยพของท่านศาสดามุฮัมมัดเป็นจุดเริ่มของศักราชอิสลาม ซึ่งเรียกว่า ฮิจญเราะหฺศักราช (ฮ.ศ.) ปีแห่งการอพยพของท่านศาสดามุฮัมมัด
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)