วันอังคารที่ 30 มิถุนายน พ.ศ. 2552
ปิดฉากผู้สร้างตำนานแห่งวงการแฟชั่น Yves Saint Laurent
วันจันทร์ที่ 29 มิถุนายน พ.ศ. 2552
ภัยจากรองเท้าส้นแบน
โทษในการสวม "รองเท้าส้นสูง" มีข้อมูลมาอีกด้านมาเสนอว่า แท้จริงแล้วการสวม "รองเท้าส้นแบน" ก็อาจเป็นอันตรายต่อสุขภาพได้ไม่แพ้กัน และแพทย์บางคนถึงกับต้องขอให้สาวๆ สวมส้นสูงต่อไป เพื่อทำให้สุขภาพเท้าดี หมอรักษาโรคมือและเท้าพบว่า อัตราผู้ป่วยที่เจ็บป่วยจากการสวมรองเท้าส้นแบบ และรองเท้าแตะ มีจำนวนมากขึ้นอย่างน่าตกใจ เพราะแม้ว่ารองเท้าประเภทนี้จะสวมใส่ง่ายสบาย แต่มันก็สามารถทำให้เกิดอาการปวดเท้า ตาปลา อาการเจ็บที่หน้าแข้ง อาการปวดหลังและปวดข้อ "รองเท้าที่เหมาะสมกับสรีระมากที่สุด คือ รองเท้าที่มีส้นสูง 1 นิ้ว"
การสวมรองเท้าส้นแบนจะส่งผลหลายอย่างต่อร่างกาย อันดับแรกคือผู้สวมใส่มักจะ "เดินลากเท้า" แทนที่จะเดินแบบปกติ ซึ่งเป็นการทำให้บุคลิกแย่ เพราะหากคุณใส่รองเท้าแบบนี้นานเกินไป ช่วงท้ายของรองเท้ามักจะแบนลง จนในที่สุดจะเดินด้วยท่าทางแบบคนแก่ใส่รองเท้าสวมเดินในบ้าน
ขอขอบคุณเนื้อหาข่าว คุณภาพดี โดย: หนังสือพิมพ์มติชน
วันอาทิตย์ที่ 28 มิถุนายน พ.ศ. 2552
กินบะหมี่สำเร็จรูปอย่างฉลาด
วันเสาร์ที่ 27 มิถุนายน พ.ศ. 2552
รัก"กับ"หลง"มันต่างกัน (ต่างยังไงมาดูกัน)
ความรัก ค่อยๆก่อตัวขึ้นอย่างช้าๆ
ความหลง เกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว
ความรัก อดทนต่อกันและกันเสมอ
ความหลง กระทำไปตามอารมณ์
ความรัก ทำสิ่งดีๆให้กัน
ความหลง ทำสิ่งดีๆให้ตัวเอง
ความรัก ไม่คิดถึงตัวเองฝ่ายเดียว
ความหลง คิดถึงแต่ตัวเอง เรียกร้องแต่สิ่งที่ตัวเองต้องการ
ความรัก ชื่นชมสิ่งดี ไม่ยอมรับสิ่งผิด
ความหลง หาเหตุผลเข้าข้างตัวเอง แก้ตัว
ความรัก ปกป้องกันและกัน
ความหลง ปกป้องตัวเอง ไม่แคร์ว่าใครจะเจ็บ
ความรัก ไว้ใจซึ่งกันและกัน
ความหลง หวาดระแวง จับผิด ขี้สงสัย
ความรัก ให้อภัย
ความหลง แค้นนี้ต้องชำระ
ความรัก ทนต่อทุกอย่าง
ความหลง ถอยหนียามลำบาก
ความรัก ให้โดยไม่มีการเลิกรา
ความหลง หยุดเมื่อไม่ได้รับการปรนเปรอ
ความรัก เป็นอมตะ คงทนถาวร
ความหลง ไม่มั่นคง อยู่ได้ไม่นาน
ความรัก ซื่อสัตย์ต่อกัน
ความหลง หลอกลวง เชื่อถือไม่ได้
ความรัก ไม่ฉุนเฉียวง่าย
ความหลง ด่าว่าให้เจ็บช้ำ
ความรัก ไม่อิจฉา ไม่อวดตัว ไม่หยิ่งผยอง ไม่หยาบคาย
ความหลง ไม่ให้เกียรติ ฉันต้องสำคัญที่สุด เป็นรองไม่ได้
ความรัก มีความหวังอยู่เสมอ
ความหลง คุณพลาดแล้วหมดโอกาสแก้ตัว
ความรักจะช่วยส่งเสริมคนทั้งคู่ให้เจริญก้าวหน้าขึ้นเช่น การเรียนดี ประพฤติดี
ความหลงไม่สนใจอะไร มุ่งแต่จะอยู่ด้วยกัน สุดท้ายก็ลงเอยเรื่อง sex
ความรักจะเตือนสติถ้าอีกฝ่ายทำสิ่งไม่สมควร และมีความยับยั้งชั่งใจ ไม่ชิงสุกก่อนห่าม
ความหลงไม่มีการเตือนสติกัน แต่จะมองสิ่งผิดให้เป็นสิ่งถูก เช่นแฟนกินเหล้า สูบบุหรี่ เสพยา หนีเรียนก็ไม่ว่าเพราะหลงจนไม่อยากขัดใจ
ความรักจะทำดีต่อกัน รักกันเสมอต้นเสมอปลาย
ความหลงแรก ๆ รักจนไปลืมหูลืมตา ต่อมาอีกไม่นานก็เริ่มหน่ายตีตัวออกห่างไปหาคนอื่นต่อ
รัก หลง ชอบแตกต่างกันอย่างไร 3 อย่างนี้นะคะ เป็นพื้นฐาน ของคำๆเดียว ก็คือรัก การที่เราจะรักใครสักคน มันเริ่มมาจาก หลง ก่อน เวลาเราหลงใครสักคนเราก็อยากที่จะใกล้ชิดเขาให้มากที่สุด
ปกติไม่เคยคุยโทรศัพน์กับใครนานก็จะคุยมากขึ้น เวลาจะไปไหนกับคนที่เราหลง ก็ต้องแตกตัวให้ดี ระวังคำพูดมากขึ้น อาการหลงเป็นอาการชั่ววูลของผู้ชายเป็นส่วนใหญ่ เช่น ตอนที่เราหลง ผู้หญิงจะทำอะไรก็เห็นดีเห็นงานไปด้วยเอาง่ายแม้แต่ดอกหญ้ามันยังว่าสวยเลย แต่ถ้าเราผ่านอาการนี้มาได้ ก็จะมาเป็นชอบ
ชอบกับหลงแตกต่างกันนะ อาการชอบจะเป็นอาการที่เป็นผู้ใหญ่มากกว่าอาการหลงจะรู้จักเข้าใจกันและกันมากขึ้น เมื่อเราชอบแล้วก็จะพัฒนาเป็นรัก แต่กว่าจะผ่านอาการหลง ชอบ มาถึง รักได้ ก็ลำบากน่าดูเลยนะ ปล:หวังว่าเพื่อนๆๆคงได้ประโยชน์นะคะ ^^
ไขความลับในขวดน้ำหอม
ปัจจุบันผู้ชายอย่างน้อยกว่าร้อยล้านคนทั่วโลกต่างก็เป็นผู้บริโภคน้ำหอมกันโดยถ้วนหน้า เรียกว่าใช้กันไม่แพ้ผู้หญิงเลยทีเดียว เพราะนอกจากพ่อเจ้าประคุณทั้งหลายจะใช้น้ำหอมกลิ่นอ่อนๆหลังอาบน้ำประเภท
eau de toilet แล้ว น้ำหอมหลังโกนหนวดก็ยังเป็นสินค้าที่ขายดีติดอันดับด้วยเช่นเดียวกัน ตั้งแต่ยุคโบราณมนุษย์เริ่มรู้จักนำเครื่องหอมมาใช้เพื่อระงับกลิ่นกาย
จากนั้นได้มีการจำแนกกลิ่นของหอมจากแหล่งที่มาต่าง ๆ ทั้งดอกไม้ พืช ดินบางชนิดไปจนถึงกลิ่นที่มาจากสัตว์ นำมาสกัดและใช้ผสมกับน้ำมันเพื่อสะดวกในการแต่งแต้มไปบนส่วนต่างๆของร่างกาย ซึ่งค้นพบในเวลาต่อมาว่ากลิ่นของน้ำมันหอมจะเปลี่ยนไปตามกลิ่นเหงื่อและอุณหภูมิของผู้ใช้
ขวดน้ำหอมสไตล์ฝรั่งเศส การนำกลิ่นหอมต่างๆมาผสมขึ้นด้วยกลเม็ดและความชำนาญอันเกิดจากประสบการณ์ ตลาดเครื่องหอมจึงเป็นตลาดของชนชั้นสูงเท่านั้น การตั้งห้องทดลองเพื่อค้นคว้า สกัดกลิ่น และผสมเครื่องหอมต่างๆเริ่มแพร่หลายในยุคต่อมาจนกระทั่งถึงยุคกลาง จากนั้นในยุคของศตวรรษที่ 16 เริ่มมีการนำน้ำหอมมาผสมกับสารอื่นๆเพื่อนำไปใช้ประโยชน์ที่ต่างกันออกไป เช่นใช้กับเครื่องเรือน ถุงมือ พัด จนถึงการนำไปผสมกับผลิตภัณฑ์ต่างๆที่ใช้ในห้องน้ำเช่นสบู่หอม น้ำยาบ้วนปาก
ขวดน้ำหอมทำจากเซรามิกลวดลายงดงาม หลังยุคปฏิวัติอุตสาหกรรมยุโรปทั้งทวีปเข้าสู่ยุคทองของเศรษฐกิจที่เจริญก้าวกระโดดอย่างรวดเร็ว ความมั่งคั่งได้แพร่กระจายไปทั่วทั้งทวีป จึงมีการผลิตน้ำหอมออกสู่ท้องตลาดในผลิตภัณฑ์บรรจุที่งดงาม มีทั้งการออกแบบขวดและภาชนะบรรจุอย่างประณีต มีการนำขวดแก้วเจียรนัยจากหินผลึกทั้งขาวใสและสีต่างๆ ประดับด้วยลวดลายที่เขียนจากทองคำ จนกลายเป็นสินค้าที่หรูหราที่เหล่าสตรีผู้สูงศักดิ์และมั่งคั่งจะต้องเสาะหามาประดับห้องน้ำและโต๊ะกระจกเครื่องแป้ง
นักเคมีชาวฝรั่งเศสเป็นผู้ปรับปรุงน้ำหอมจากน้ำหอมแบบโบราณให้เป็นน้ำหอมที่ทันสมัยด้วยความรู้และความสามารถ ประกอบกับความพิถีพิถันละเอียดลออ ทำให้น้ำหอมของฝรั่งเศสเริ่มเป็นที่กล่าวขวัญและต้องการในศตวรรษที่ 20 จากการตั้งชื่อกลิ่นของน้ำหอมในเชิงโรแมนติค ทั้งยังมีการออกแบบขวดบรรจุและฉลากปิดที่งดงาม มีการออกแบบที่ละเมียดละไมผิดจากผลิตภัณฑ์อื่น สินค้าเหล่านี้กลายเป็นของที่ระลึกและของฝากที่สตรีทั่วโลกร่ำร้องที่จะเป็นเจ้าของ
อีกรูปแบบหนึ่งขวดน้ำหอม เมือง Grasse ในแคว้น Provence ได้ชื่อว่าเป็นเมืองแห่งการผลิตน้ำหอมของฝรั่งเศส กลิ่นหอมจากดอกไม้และพืชนานาชนิดถูกนักผสมน้ำหอมหรือ Le Nez ทำการผลิตจากการผสมกลิ่นหอมต่างๆ และมีการตั้งชื่อด้วยคำจากภาษาวรรณกรรมหรือบุคคลเป็นส่วนใหญ่ จนเริ่มมีร้านขายน้ำหอมเปิดจำหน่ายเป็นร้านเฉพาจากเดิมที่จำหน่ายร่วมกับเวชภัณฑ์ โดยมีการตกแต่งร้านขายน้ำหอมอย่างดงามด้วยกระจกเงาและสีสันที่อ่อนโยน จนทุกคนเป็นต้องเหลียวมองเมื่อเดินผ่าน
เมื่อสงครามโลกครั้งที่ 2 สิ้นสุดลง ทหารต่างชาติทุกชาติทุกหน่วยต่างพากันซื้อน้ำหอมของฝรั่งเศสติดไม้ติดมือกลับบ้านเพื่อเป็นของฝากและของที่ระลึกให้กับภรรยา คู่รัก มารดา และพี่สาวน้องสาว น้ำหมอจึงกลายเป็นสิ่งที่สร้างความพอใจให้ผู้รับทุกคนเป็นอย่างยิ่ง ส่งผลให้บริโภคน้ำหอมของชาวอเมริกันพุ่งขึ้นสูงสุดในยุคร็อค แอนด์ โรล นี้เอง
และนับแต่นั้นเป็นต้นมาอุตสาหกรรมน้ำหอมในอเมริกาก็เจริญก้าวหน้าอย่างรวดเร็ว แม้จะเป็นกลิ่นที่สังเคราะห์ขึ้นด้วยวิธีการทางวิทยาศาสตร์ แต่ราคาก็ต่างจากน้ำหอมของฝรั่งเศสอย่างมาก จนทำให้น้ำหอมของอเมริกันเริ่มเป็นที่นิยมอย่างแพร่หลาย สามารถแบ่งตลาดน้ำหอมของฝรั่งเศสได้อย่างเป็นกอบเป็นกำ และยังครองใจวัยรุ่นได้เกือบทั่วโลกจากการแพร่ในลักษณะของสื่อแฝงทั้งภาพในสิ่งพิมพ์ โทรทัศน์ และภาพยนตร์
จากน้ำหอมต่อยอดมาถึงผลิตภัณฑสปา การเติบโตของอุตสาหกรรมน้ำหอมเริ่มจะอิ่มตัวในปลายศตวรรษที่ 20 แต่แล้วการเปิดตัวของ spa และ therapy house ต่างๆได้กลายเป็นตัวกระตุ้นให้ตลาดเครื่องหอมกลับแตกยอดต่อไปได้อย่างงดงาม
วันศุกร์ที่ 26 มิถุนายน พ.ศ. 2552
แร็พเตอร์
วันพฤหัสบดีที่ 25 มิถุนายน พ.ศ. 2552
บีทบ็อกซ์
เป็นวิธีทำเสียงลักษณะเสียงตีหรือเสียงกระทบ มักเกี่ยวข้องกับวัฒนธรรมฮิปฮอป (บางครั้งอาจเรียกว่า ปัจจัยที่ 5 ของฮิปฮอป) แต่ก็ไม่ได้จำกัดกับดนตรีฮิปฮอป[1] เริ่มแรกเป็นศิลปะในการทำเสียงแบบจังหวะกลอง การทำจังหวะ โดยใช้เสียงจาก ปาก ริมฝีปาก ลิ้น เสียงร้อง และอย่างอื่นประกอบ และในบางครั้งก็นำการร้อง การทำเสียงเลียนแบบเทิร์นเทเบิ้ล การลอกเลียนแบบแตร เครื่องสาย และเครื่องดนตรีประเภทอื่น ซึ่งจริงๆ ก็อาจเรียกได้ว่าเป็นอะแคปเปลล่าประเภทหนึ่ง
วันพุธที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2552
10 อย่างที่ผู้ชายชอบเกี่ยวกับผู้หญิง...
1.ชอบผู้หญิงที่ให้เกียรติตนโดยเฉพาะต่อหน้าผู้อื่น (รู้สึกได้หน้าที่ผู้หญิงอยู่ใน control)
2.ชอบผู้หญิงพูดจาหวาน ๆ ไพเราะ ยิ้มหวาน (รู้สึกเหมือนมีคนกำลังให้บริการไงจ๊ะ)
3.ชอบผู้หญิงที่สดชื่นสดใส ร่าเริง มีอารมณ์ขันบ้าง (รู้สึกความเครียดที่โดนเจ้านายว่าหดหาย)
4.ชอบผู้หญิงเอาอกเอาใจเก่งในทุกเรื่อง (เขาจะได้รู้สึกเหมือนอาเสี่ยไง)
5.ชอบผู้หญิงที่ทำให้เขารู้สึกสบายใจ อบอุ่น อยากอยู่ใกล้ ๆ (เป็นสิ่งที่เขาโหยหาตลอดเวลาแต่ไม่กล้าเปิดเผย)
6.ชอบผู้หญิงแกล้งโง่ แต่เก่ง มีความรู้ ความสามารถ (เขาจะได้รู้สึกมีความภูมิใจเหลืออยู่บ้างไง)
7.ชอบผู้หญิงงอนนิด ๆ (เขาจะได้ง้อได้ไง แต่อย่าให้ง้อบ่อยจนเขาเบื่อล่ะ)
8.ชอบผู้หญิงที่แต่งตัวดูเรียบร้อย แต่แฝงด้วยความเซ็กส์ซี่ มีเสน่ห์ และโรแมนติก (เพื่อนและคนใกล้ชิดได้อิจฉาไง)
9.ชอบผู้หญิงออเซาะเก่ง (คิดว่าเขาเป็นรัฐมนตรี ต้องออเซาะโครงการถึงจะได้รับการอนุมัติ)
10.ชอบผู้หญิงไฟแรงสูง (พุ่งเป็นจรวดนำวิถีไงล่ะ ... ระวังไฟช็อตนะคะ)
10 อย่างที่ผู้ชายไม่ชอบเกี่ยวกับผู้หญิง...
1.ไม่ชอบให้ผู้หญิงมาออกคำสั่ง (ก็มันรู้สึกเสียเกียรติเสียหน้านี่นา)
2.ไม่ชอบผู้หญิงขี้บ่น จู้จี่จุกจิก (ก็มันน่ารำคาญ จะเป็นแฟนหรือเป็นแม่จ๊ะ)
3.ไม่ชอบให้ชายมาชำเลืองมองหรือพูดคุยกับผู้หญิงของเขา (หึงนี่ ช่วยไม่ได้ เพราะรักหรอก)
4.ไม่ชอบให้ผู้หญิงใช้จ่ายสุรุ่ยสุร่ายจนเกินเหตุ (ให้เหลือไว้ให้เขาใช้บ้างนะ ถือว่าเมตตาเถอะ)
5.ไม่ชอบให้ผู้หญิงตบตีกัน (ก็กลัวตอนเข้าไปห้ามจะเจอลูกหลงนะซิ)
6.ไม่ชอบให้ผู้หญิงมายุ่งเรื่องของเขามากเกินขอบเขต (เขาก็อยากมีความลับบ้างนะซิ รู้หมดมันก็ไม่ลับซิครับ)
7.ไม่ชอบผู้หญิงใช้อารมณ์ (มันดูน่าเกลียด ไม่อยากให้เธอเป็นนางยักษ์นะซิ)
8.ไม่ชอบผู้หญิงแต่งหน้ามากจนเกินไป (ไม่ใช่เป็นโรคอะไรที่ใบหน้านะ)
9.ไม่ชอบผู้หญิงที่รู้ทันมากเกินไป (อย่างนี้ก็กระดุกกระดิกไปไหนไม่ได้เลยนะซิ)
10.ไม่ชอบที่ต้องตามง้อผู้หญิงมากจนเซ็ง
วันจันทร์ที่ 22 มิถุนายน พ.ศ. 2552
วันภาษาไทยแห่งชาติ
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเสด็จพระราชดำเนินมายังคณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ในวันที่ ๒๙ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๕๐๕
ที่มาและความสำคัญ
๒๙ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๕๐๕ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช เสด็จพระราชดำเนินไปทรงเป็นประธานและทรงอภิปรายเรื่อง “ปัญหาการใช้คำไทย” ร่วมกับผู้ทรงคุณวุฒิในการประชุมทางวิชาการของชุมนุมภาษาไทย ณ คณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ซึ่งทรงแสดงพระปรีชาสามารถและความสนพระราชหฤทัยห่วงใยในภาษาไทย จนเป็นที่ประทับใจผู้เข้าร่วมการประชุมครั้งนั้นเป็นอย่างยิ่ง[1] [2]
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงมีพระราชดำรัสตอนหนึ่งความว่า
เรามีโชคดีที่มีภาษาของตนเองแต่โบราณกาล จึงสมควรอย่างยิ่งที่จะรักษาไว้ ปัญหาเฉพาะในด้านรักษาภาษานี้ก็มีหลายประการ อย่างหนึ่งต้องรักษาให้บริสุทธิ์ในทางออกเสียง คือ ให้ออกเสียงให้ถูกต้องชัดเจน อีกอย่างหนึ่งต้องรักษาให้บริสุทธิ์ในวิธีใช้ หมายความว่า วิธีใช้คำมาประกอบประโยค นับเป็นปัญหาที่สำคัญ ปัญหาที่สาม คือ ความร่ำรวยในคำของภาษาไทย ซึ่งพวกเรานึกว่าไม่ร่ำรวยพอ จึงต้องมีการบัญญัติศัพท์ใหม่มาใช้...สำหรับคำใหม่ที่ตั้งขึ้นมีความจำเป็นในทางวิชาการไม่น้อย แต่บางคำที่ง่ายๆก็ควรจะมี ควรจะใช้คำเก่าๆที่เรามีอยู่แล้ว ไม่ควรจะมาตั้งศัพท์ใหม่ให้ยุ่งยาก
วันอาทิตย์ที่ 21 มิถุนายน พ.ศ. 2552
วันเสาร์ที่ 20 มิถุนายน พ.ศ. 2552
Château de Versailles
La façade ouest du château vue des jardins
Le château de Versailles fut la résidence des rois de France Louis XIV, Louis XV et Louis XVI. Résidence royale, ce monument compte parmi les plus remarquables de France et du monde tant par sa beauté que par les événements dont il fut le théâtre. Le roi et la cour y résident de façon permanente du 6 mai 1682 au 6 octobre 1789 à l'exception des quelques années de la Régence. Il est situé au sud-ouest de Paris, dans la ville de Versailles en France. Ce château est devenu un symbole de l'apogée de la royauté française. La grandeur des lieux se voulait à l'image de celle des rois successifs.
Le château est constitué d'une succession d'éléments ayant une harmonie architecturale. Il s'étale sur 67 000 m² et comprend plus de 2 000 pièces.
Le parc du château de Versailles s'étend sur 815 ha (8 000 avant la Révolution) dont 93 ha de jardins. Il comprend de nombreux éléments dont le petit et le grand Trianon, le hameau de la Reine, le grand et le petit Canal, une ménagerie, une orangerie et la pièce d'eau des Suisses.
วันพฤหัสบดีที่ 18 มิถุนายน พ.ศ. 2552
เพื่อนคืออะไร
เพื่อนเมื่อโกรธกันสามารถกลับมาคืนดีกันได้ โดยไม่ต้องเก็บความสงสัยว่า เรื่องที่โกรธกันคืออะไร ผ่านแล้วก็ผ่านไป
เพื่อนคือที่พึ่ง ยามเป็นทุกข์ เพื่อนคือที่ปรึกษา ตั้งแต่เรียน ทำงาน จนจะแต่งงานก็ยังต้องปรึกษามัน เพื่อนคอยสับรางเวลารถไฟจะชน เพื่อนคอยโกหกพ่อแม่เวลาไปเที่ยวแต่บอกว่าไปทำงาน เพื่อนคอยบอกแฟนว่าเรากำลังอยู่กับมัน ทั้งที่จริงเราไม่ได้อยู่กับมันหรอก และเพื่อนก็คือ คนจ่ายค่าข้าวเวลาเราไม่มีเงิน
"เพื่อน" คือ ทุกอย่าง มีผู้ที่เคยคบกันถามว่าจะให้เลือก หนึ่งเดียว ระหว่างเค้าซึ่งคบกันมา 1 ปี กับเพื่อนซึ่งคบมาประมาณ 15 ปี ว่าคุณจะเลือกใคร ตอบแบบได้แบบไม่ต้องคิดเลยว่า "เพื่อน" ซึ่งเค้าก็บอกว่าตอบผิดตอบใหม่ได้นะ
เราก็บอก ว่าตอบถูกแล้ว เพราะเค้าเห็นว่าเรารักเพื่อนมากกว่า แต่ไม่ใช่ ถ้าเราจะต้องเอาคนเข้ามา ในชีวิตอีก 1 คน ซึ่งก็ยังไม่รู้อะไรกันมาก กับเสียคนที่เรารู้จกกันมาเป็น 10 ปี เราว่าทุกคน ก็ต้องมีคำตอบเหมือนกับเรา เพราะทั้งสำหรับคนทั้งสองกลุ่ม เราไม่สามารถเอาแต่ละคน มาบวกและลบกันเพื่อให้ผลลัพธ์เป็นศูนย์
เพราะฉะนั้นทุกคนต้องเลือกสิ่งที่มีค่ามากกว่า และสิ่งที่เราเลือก สิ่งนั้นก็คือ ''เพื่อน''
"some time happy… some time sad… but all time friend "
บทส่งท้าย ถ้าเราสนุก ไปเที่ยวโดยไม่มีเพื่อน แล้วเล่า ให้มันฟัง มันก็ไม่ว่าอะไร....แล้วถ้าเราเที่ยวแล้วเกิดปัญหา เราตามตัวมันมามันเคยพูด
ไหมว่า "กูไม่สนมึงเที่ยวแล้วไม่ชวนกู มึงแก้ไขเองแล้วกัน" คำพูดอย่างนี่ จะไม่มีจากปาก เพื่อน จะมีแต่คำว่า " มึงอยู่ตรงไหน มึงเป็นอะไรว่ะ" แล้วก็ลงท้ายว่า "เออตกลงกูจะรีบไป..."
^_^ นิยามเพื่อนซี้ ^_^
A Friend... is a tissue when you can't stop crying
เพื่อน คือ กระดาษทิชชู....ตอนเราร้องไห้ไม่หยุดซะที
A Friend... is a shoulder when you feel like dying
เพื่อน คือ หัวไหล่....ให้เราซบ เมื่อเรารู้สึกย่ำแย่
A Friend... always listens when you have something to say
เพื่อน รับฟังทุกอย่าง...เวลาเรามีเรื่องจะพูด
A Friend... is a week when you need a day
เพื่อน คือ สัปดาห์...เมื่อคุณต้องการวัน
A Friend... is a crutch when you have a brokenheart
เพื่อน คือ ไม้ดามหัวใจ...ยามเราอกหัก
A Friend... is some glue when everything falls apart
เพื่อน คือ กาว...เมื่อทุกสิ่งทุกอย่างดูจะแตกสลาย
A Friend... is a sun when the rain just won't stop
เพื่อน คือ แสงอาทิตย์...เมื่อฝนไม่หยุดตก
A Friend... is your mom when you run into a cop
เพื่อน คือ คล้ายๆกับแม่นะ...หากเราต้องขึ้นโรงพัก
A Friend... is a phone call when you can't leave your home
เพื่อน คือ โทรศัพท์ เมื่อคุณไม่สามรารถออกจากบ้านได้
A Friend... is a hand when you feel all alone
เพื่อน คือ มือ...เมื่อเรารู้สึกเปล่าเปลี่ยว..(ขอจับมือหน่อยนะ)
A Friend... is a wing if you want to fly
เพื่อน คือ ปีก....หากคุณอยากจะบิน
A Friend... understands without knowing why
เพื่อน...จะเข้าใจเราทุกอย่าง โดยปราศจากคำถามว่า ทำไม
A Friend... is an ear for a secret to tell
เพื่อน คือ หู...เพื่อเอาไว้ฟังทุกเรื่อง..(โดยเฉพาะเรื่องลับๆ)
A Friend... is an aspirin when your head hurts like hell
เพื่อน คือ แอสไพลิน....เมื่อเราปวดหัว
A Friend... is a love that can never let go
เพื่อน คือ ความรัก...ที่คุณไม่ต้องค้นหา
A Friend... is you, and i wanted you to know!!
เพื่อน คือ คุณ.....ฉันอยากให้คุณรู้
i hope ....A FRIENDSHIP between you & me is forever more...
ฉันหวังว่า...... มิตรภาพระหว่างเราจะเป็นแบบนี้ตลอดไป
>>> เพื่อน คืออะไร ทุก ๆ คนคงมีคำตอบอยู่ในใจแล้วล่ะเนอะ <<<
คำนิยาม-เพื่อนรัก**รักเพื่อน
เพื่อนช่วยเพื่อน ตลอดไป ได้เสมอเพื่อนจะเผลอ เพื่อนจะพลาด ซักแค่ไหน
เสื้อนักเรียนเเขวนไว้ยังไม่ซักเมื่อวานรับศึกหนักตั้งแต่เช้า
วันพุธที่ 17 มิถุนายน พ.ศ. 2552
เพื่อนแท้
การมีเพื่อนสักคนไม่ใช่เรื่องยาก แค่แหกปากร้องเพลงหรือยืนเต้นอยู่กลางถนน เผลอ ๆ จะมีใคร ไม่รู้กว่าร้อยคนมาร่วมแจมด้วย นึกว่า ถ่ายมิวสิกวีดีโอ การมีเพื่อนแท้แค่คนเดียว บางคนเกิดมาจนตายไปแล้ว ร้อยหน เพื่อนแท้คนเดียวก็ไม่รู้จัก ทำอย่างไรถึงจะมีเพื่อนแท้
เพื่อนทั่วไปไม่เคยเห็นคุณร้องไห้ เพื่อนแท้มีหัวไหล่ไว้คอยซับน้ำตาคุณ
เพื่อนทั่วไปจะไม่รู้ชื่อพ่อแม่คุณของคุณ เพื่อนแท้จะมีเบอร์ของท่านไว้ในสมุดจดโทรศัพท์ของเขา
เพื่อนทั่วไปจะถือขวดไวน์ติดมือมางานปารตี้ของคุณ เพื่อนแท้จะมาแต่วันช่วยเตรียมงาน
เพื่อนทั่วไปอยากคุยกับคุณถึงปัญหาของเขา เพื่อนแท้อยากช่วยปัดเป่าปัญหาของคุณออกไป
เพื่อนทั่วไปจะพิศวงในเรื่องโรแมนติกเก่า ๆ เพื่อนแท้สามารถเอาเรื่องนี้มาอำคุณได้
เพื่อนทั่วไปเวลามาเยี่ยมคุณจะทำตัวเยี่ยงแขก เพื่อนแท้จะตรงรี่ไปเปิดตู้เย็นบริการตนเอง
เพื่อนทั่วไปคิดว่า มิตรภาพจบลงเมื่อเกิดการทะเลาะถกถียง เพื่อนแท้รู้ดีว่านั้นมิใช่มิตรภาพ จนกว่าคุณจะได้เคยวิวาทกัน
ส่งผ่านให้ใครก็ได้ที่คุณห่วงใย หากคุณได้รับมันกลับมานั้นหมายความว่า คุณได้พบ " เพื่อนแท้ " แล้ว
วันอังคารที่ 16 มิถุนายน พ.ศ. 2552
LA FETE DE LA MUSIQUAE
วันจันทร์ที่ 15 มิถุนายน พ.ศ. 2552
APERITIF A LA FRANCAIS
or French–style aperitif(by invitation and tickets)Gastronomy
Date: Thursday 4 June at 7PM at Four Seasons hotel – Grand Ballroom >> Bts RatchadamriTickets: 1200 THB at the venueOfficial Web site: www.aperitifalafrancaise.com
วันอาทิตย์ที่ 14 มิถุนายน พ.ศ. 2552
กางเกง "ยีนส์"
ยีนส์ (อังกฤษ: Jeans) คือกางเกงที่ทำจากผ้าฝ้ายหยาบ แต่เพื่อความหลากหลายมักใช้ผ้าที่มีริ้ว เดิมทีผลิตเพื่อการทำงาน แต่ได้รับความนิยมในหมู่วัยรุ่นเริ่มจากทศวรรษที่ 50 มีแบรนด์ที่มีชื่อเสียงอย่าง ลีวายส์ แรงเลอร์ เป็นต้น ทุกวันนี้ยีนส์ถือว่าเป็นเครื่องแต่งกายที่ได้รับความนิยมทั่วทุกมุมโลก มีหลากหลายรูปแบบหลากสีสัน
ยีนส์เริ่มมีครั้งแรกที่เมืองเจโนอา เมืองท่าของประเทศอิตาลี โดยจุดประสงค์เพื่อกะลาสีชาวเจนัว ไว้ใส่เพื่อรองรับต่อสภาพแห้งหรือเปียกได้ดี และสามารถถกขากางเกงได้ขณะอยู่บนดาดฟ้าเรือ
ผ้ายีนส์ที่ทำขึ้นมาในนครเจโนอา กลางศตวรรษที่ 19 ซึ่งทางประเทศอังกฤษสั่งนำเข้าผ้าชนิดนี้ ด้วยความทึ่งในความทนทาน และเรียกผ้านี้รวมๆว่า Fustian ซึ่งแปลว่าผ้าสีเนื้อหยาบ ต่อมาระหว่างที่เรือขนส่งสินค้าเดินทางจากอิตาลีมาอังกฤษ ต้องผ่านประเทศฝรั่งเศส ซึ่งคนเมืองเรียกเมืองเจนัวว่า แชน (Gênes) และเรียกสินค้าจากเจนัวว่า ชีน (Jene) ซึ่งภายหลังเปลี่ยนมาเป็น ชอง (Jean) พอมาถึงอังกฤษ คนผู้ดีจะอ่านคำว่า Jean ว่า จีน หรือยีน เช่นเดียวกับคนอเมริกันที่พูดภาษาอังกฤษ ซึ่งเมื่อคนนำผ้ายีนส์นี้ไปตัดกางเกง ก็ต้องเป็นคำที่เติม s จึงเรียกว่า Jeans ยีนส์
จนกระทั่งราวปี ค.ศ. 1850 หรือ พ.ศ. 2393 ลีวาย สเตราส์ (Levi Strauss) ชาวเยอรมันที่อาศัยอยู่ที่ซานฟรานซิสโกได้ผลิตกางเกงยีนส์ในชื่อ ลีวายส์ โดยตั้งชื่อกางเกงยีนส์ตามชื่อผ้าฝ้าย โดยผ้าฝ้ายนำมาจากผู้ผลิตที่เมืองเจนัว (Genoa)
ขอขอบคุณ...
วิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
เนื้อเพลงขอเพียงใจเรามีกัน
ต่างก็ทำด้วยความหวังดี
จนบางครั้งก็เกินหน้าที่
ก็เพราะรักกันมากไป
ยิ่งผูกพันยิ่งเสียน้ำตา
ยิ่งพูดจายิ่งไม่เข้าใจ
เธอก็น้อยใจ ฉันก็เสียใจ
ที่บางครั้งต้องโกรธกัน
* บางเวลาไม่ตั้งใจ
จะทำลายกันเองคิดมากไปเอง
ไม่ตั้งใจจะทำไม่ดี
ก็ชีวิตเราใกล้กันแล้วจะแกล้งกันเพื่ออะไร
** อยากให้รู้ไว้นะ ให้รู้ไว้นะ
ว่าเรานะคนเดียวกัน
ไม่ว่าเธอหรือฉัน อยู่ข้างเดียวกันไม่เดินแยกไป(และฉัน)
ขอ……..เพียงให้เรารู้ ในเวลาที่เราเสียใจเราจะไม่เเป็นไร เราไม่เป็นไร
แค่ ขอเพียงใจเรานั้นมีกัน
อาจไม่เคยเอาใจเท่าไร
อาจไม่มีคำพูดสวยๆ
มีแต่พูดแรงๆเสียด้วย
แต่ก็รักเธอทั้งใจ
ต่างมีใจดีๆให้กัน
แต่ไม่เคยได้พูดอะไร
ได้แต่น้อยใจ เดียวก็เสียใจ
และสุดท้ายก็โกรธกัน
ซ้ำ * , ** , **
วันเสาร์ที่ 13 มิถุนายน พ.ศ. 2552
จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
เป็นมหาวิทยาลัยแห่งแรกของประเทศไทย[1] ตั้งอยู่ที่เขตปทุมวัน กรุงเทพมหานคร ถือกำเนิดจาก "โรงเรียนสำหรับฝึกหัดวิชาข้าราชการฝ่ายพลเรือน" ที่พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ก่อตั้งขึ้นภายในพระบรมมหาราชวัง เมื่อปี พ.ศ. 2442 พร้อมทั้งพระราชทานพระบรมราชานุญาตให้อัญเชิญ "พระเกี้ยว" มาเป็นเครื่องหมายประจำโรงเรียน การดำเนินงานของโรงเรียนมีการพัฒนาอย่างต่อเนื่องเป็นลำดับ จนกระทั่ง เมื่อวันที่ 26 มีนาคม พ.ศ. 2459 (ขณะนั้นนับวันที่ 1 เมษายน เป็นวันขึ้นปีใหม่ นับอย่างใหม่ต้องเข้าปี พ.ศ. 2460) พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้ทรงสถาปนาขึ้นเป็นมหาวิทยาลัย และพระราชทานนามว่า "จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย" เพื่อเป็นพระบรมราชานุสาวรีย์เฉลิมพระเกียรติแห่งพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว สมเด็จพระบรมชนกนาถของพระองค์ นับตั้งแต่ พ.ศ. 2460 ถึงปัจจุบัน จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยมีผู้บัญชาการและอธิการบดีดำรงตำแหน่งมาแล้ว 16 คน อธิการบดีคนปัจจุบัน คือ ศาสตราจารย์ นายแพทย์ภิรมย์ กมลรัตนกุล
จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยได้รับยกย่องเป็นมหาวิทยาลัยชั้นนำของโลก ทั้งในสาขาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี วิทยาศาสตร์การแพทย์ สังคมศาสตร์ และมนุษยศาสตร์[2] และได้รับการรับรองมาตรฐานการศึกษาในระดับดีมาก จาก สำนักงานรับรองมาตรฐานและประเมินคุณภาพการศึกษา[3] ปัจจุบัน เปิดการเรียนการสอนใน 18 คณะ 1 สำนักวิชา บัณฑิตวิทยาลัย วิทยาลัย และสถาบันต่าง ๆ รวมทั้งสิ้น 492 สาขาวิชา หลักสูตรนานาชาติและภาษาอังกฤษ รวมทั้งสิ้น 70 สาขาวิชา[4] นอกจากนี้ ยังได้จัดตั้งสถาบันวิจัยขึ้นภายในมหาวิทยาลัยอีกหลายแห่งเพื่อดำเนินการวิจัยในศาสตร์ต่าง ๆ ด้วย
ในอดีต ผู้ที่จบการศึกษาจากจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยได้รับพระมหากรุณาธิคุณ ให้เข้ารับพระราชทานปริญญาบัตรจากพระหัตถ์ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช แต่ในปัจจุบันพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เสด็จพระราช
วันพฤหัสบดีที่ 11 มิถุนายน พ.ศ. 2552
เพลง only human
อีกฟากฝั่งของความเศร้า มีบางสิ่งที่เรียกว่ารอยยิ้ม
อีกฟากฝั่งของความเศร้า มีบางสิ่งที่เรียกว่ารอยยิ้มทว่า
กว่าเราจะไปถึงที่นั่น ไม่รู้จะมีอะไรรอเราอยู่
ไม่ใช่เพื่อวิ่งหนี แต่เพื่อวิ่งตามความฝันเราควรจะออกเดินทาง
เราควรจะออกเดินทาง ตั้งแต่ฤดูร้อนที่ห่างไกลวันนั้น
หากมองเห็นวันพรุ่งนี้แล้ว ไม่แม้จะพักถอนหายใจราวกับเรือกลางกระแสน้ำ
ตอนนี้มีเพียงก้าวไปข้างหน้า
ในที่ซึ่งไร้ความเจ็บปวด มีสิ่งที่เรียกว่าความสุขรออยู่ผมยังคงค้นหา
ดอกทานตะวันซึ่งบานยามสิ้นฤดู
หากรอคอยรุ่งอรุณด้วยการกำหมัดแน่นหลังจากเล็บถูกย้อมเป็นสีแดงแล้ว
น้ำตาก็ส่องประกายหากคุ้นเคยกับความโดดเดี่ยวแล้วอาศัยเพียงแสงจันทร์ โบยบินด้วยปีกที่ไร้ซึ่งขนนกก้าวเดินต่อไปหากตัดผ่านเมฆฝนแล้ว ทางที่เปียกส่องแสงแระยิบระยับมีเพียงความมืดนำทางแสงแรงกล้า ก้าวเดินอย่างเข้มแข็ง
วันจันทร์ที่ 8 มิถุนายน พ.ศ. 2552
เส้นทางงการเป็น....แอร์โฮสเตส
“ นางฟ้าบนเครื่องบิน ” ถ้าลองถามสาวๆ ทั่วโลกถึงอาชีพในฝัน เชื่อแน่นว่า 1 ใน 5 อันดับแรกที่สาวๆ อยากเป็นต้องมีอาชีพแอร์โฮสเตสแน่นนอน เพราะอาชีพนี้นอกจากจะได้แต่งเครื่องแบบสวยๆ มีสวัสดิการ รายได้ดี ยังมีโอกาสได้เห็นโลกกว้างแบบฟรีๆ ด้วย
เส้นทางการเป็นแอร์โฮสเตส
*** ถ้าอยากเป็นแอร์จริงๆก็ควรเรียน คณะมนุษยศาสตร์ สังคมศาสตร์
ศิลปศาสตร์ เอกภาษาอังกฤษ เพราะเราจะได้เปรียบพื้นฐานภาษามากกว่าคนอื่น
คณะอื่น แต่ถ้าอยากทำอาชีพนี้จริงๆ จะจบมาจาก
คณะไหนเค้าก็รับคะ อย่างที่สำคัญที่สุดเราควรหมั่นฝึกภาษาให้ได้มากที่สุดนะคะ
· คุณสมบัติ
คุณสมบัติตามมาตรฐานที่บริษัทกำหนดไว้เราต้องมีเบสิกก็คือ
1. เราต้องมีอายุระหว่าง 20-26 ปี จบการศึกษาอย่างน้อยปริญญาตรี
2. ส่วนสูง 160 เซนติเมตรขึ้นไป น้ำหนักก็ต้องสัมพันธ์กับส่วนสูงด้วย
3. สุขภาพสมบูรณ์แข็งแรง และที่เราต้องเตรียมคือหัดว่ายน้ำ เพราะจะมีทดสอบให้ว่ายไปกลับ 50 เมตร
4. ภาษาอังกฤษต้องมีผลสอบโทอิคไม่ต่ำกว่า 600 คะแนน
5. การแต่งตัวในวันที่ไปสมัครควรแต่งให้สุภาพที่สุด ถ้าเป็นของสายการบินไทย ควรใส่เสื้อเชิ้ตแขนสั้น
สีขาว กระโปรงสีดำ รองเท้าสีดำหุ้มข้อสูง 2 นิ้วนะค๊ะ และก็อย่าใส่กระโปรงทรงยาว
6. เรื่องทรงผม ห้ามปล่อยผมเด็ดขาด ควรจะรวบผมหรือบางทีอาจจะไปเกล้าผมที่ร้านก็ได้ แต่ไม่ต้องเอา
เวอร์มากนะคะ พอดูสุภาพ หรืออาจจะแสกกลางแล้วรวบคลุมเน็ตก็ได้จร้า
ถ้ามีความสามารถภาษาอื่นด้วยบริษัทจะพิจารณาเป็นพิเศษ นอกจากนั้นต้องเตรียมเรื่องบุคลิกภาพด้วย ซึ่งเราต้องอาศัยถามรุ่นพี่ๆ ที่เป็นแอร์ฯได้ว่าต้องทำยังไงบ้าง รุ่นพี่ก็จะช่วยแนะนำว่าต้องแต่งตัวไปยังไง ให้เรียบร้อยดูดีแบบไหน” เมื่อผ่านมาตรฐานตามที่บริษัทกำหนด ก็กรอกใบสมัครซึ่งเป็นภาษาอังกฤษล้วนๆ ฉะนั้นจึงต้องเตรียมตัวด้านภาษามาให้ดี ขั้นต่อไปคือการสัมภาษณ์ โดยคณะกรรมการจำนวนหลายคนอาจจะทำให้เกิดความตื่นเต้นได้ ที่สำคัญควจะมีสมาธิและต้องเตรียมควมมพร้อมมาให้เยอะๆนะจ๊ะ
· การฝึกอบรม
“สัปดาห์แรกของเราพอเข้ามาปุ๊บต้องเทรนเรื่องเวชศาสตร์การบิน 5 วัน เรียนเรื่องยา การทำคลอด คือสามารถเป็นผู้ช่วยแพทย์ได้ในกรณีที่มีแพทย์อยู่ด้วย การปฐมพยาบาลเบื้องต้น การให้ยาท้องเสีย ท้องอืด หอบกับหืดต่างกันยังไง ลักษณะโรคต่างกันยังไง เทรนตรงนี้ 5 วัน พอเสร็จตรงนี้ก็จะถูกส่งมาฝึกทางด้านความปลอดภัยของแต่ละชนิดเครื่องบิน อุปกรณ์ฉุกเฉินอยู่ตรงไหน ฝึกดับไฟก็ต้องดับไฟจริงๆ ลงน้ำก็ใช้ชูชีพ ใช้ชูชีพยังไง อยู่ยังไง รักษาความอบอุ่นกันยังไง ในกรณีที่เราต้องดำรงชีวิตอยู่ในทะเล กระปำยา อุปกรณ์ฉุกเฉิน แล้ก็ค่อยฟังคำสั่งว่าเราจะไปด้วยกันยังไง ถึงตอนนี้เราจะต้องทำอย่างนี้ๆ นะ ขั้นตอนการให้บริการผู้โดยสาร ในส่วนของอาหารต้องเรียนแม้กระทั่งประโยชน์สมุนไพร โภชนาการ วิธีการประกอบอาหาร อาหารอย่างนี้ประกอบยังไง เพราะบางคนบางศาสนาผู้โดยสารอาจทานไม่ได้ ไม่ว่าจะเป็นมุสลิมหรือบางคนทานมังสวิรัติ ก็ต้องรู้ บางคนทานแป้งสาลีไม่ได้เพราะเลือดจะออกในกระเพาะ ก็จะมีอาหารอีกประเภทสำหรับคนประเภทนั้น รายละเอียดเยอะมาก ถ้าเป็นเครื่องดื่มอย่างเช่นในไวน์แต่ละชนิดต่างกันอย่างไร เหมาะกับอาหารประเภทไหน กิริยามารยาทก็ต้องฝึก เช่น ไม่ใช้การชี้นิ้วมือ แต่ใช้การผายมือแทน เพราะสุภาพกว่า ซึ่งตรงนี้คุณครูจะสอนมารยาทละเอียดมาก” การอบรมใช้เวลาทั้งสิ้น 8 สัปดาห์ เมื่อผ่านอบรมแล้วก็จะได้ขึ้นเครื่องจริงๆ เพื่อทดลองงาน เที่ยวบินแรกของสุตาคือพม่า เธอบอกตื่นเต้นมาก งานของเธอบนเที่ยวบินแรกคือการขึ้นไปช่วยงานบริการพี่ๆ แอร์โฮสเตสถือเป็นการสังเกตการณ์ เรียนรู้งาน ไฟลท์สังเกตการณ์จะมีทั้งหมด 4 ครั้งเมื่อบินเสร็จแล้วต้องกลับมาเข้าคลาสเรียนอีก ครูผู้อบรมจะให้แรกเปลี่ยนประสบการณ์กันว่าไปบินแล้วรู้สึกอย่างไง โดยคุณครูจะคอยเพิ่มเติมความรู้ให้ตลอด
· เส้นทางการทำงาน
หลายคนคงอยากรู้ว่าแอร์โฮสเตสทำงานกันอย่างไง สุตาเล่าให้ฟังว่าพวกเธอต้องมาก่อนไฟลท์ที่จะบิน 2 ชั่วโมงโดยมาพบกันที่สำนักงานกลาง ทุกคนต้องศึกษาว่าวันนี้จะบินไปที่นั่นที่นี่ เวลาต่างกันเท่าไหร่ ต้องรู้ว่ากัปตันครั้งนี้ชื่ออะไร พี่หัวหน้าแอร์คือใคร อินไฟลท์เมเนเจอร์เป็นใคร มีบริการแบบไหน มีเรื่องพิเศษอะไรบ้างมีผู้โดยสารที่จะต้องดูแลเป็นพิเศษยังไง อาหารที่เสิร์ฟ เครื่องดื่มวันนี้เป็นยังไง นอกจากนั้นทุกคนจะต้องดูวีดีโอเกี่ยวกับความปลอดภัยของเครื่องนั้นๆ ที่โดยสาร เพื่อทบทวนและมีการทดสอบกันอีกทีในห้องก่อนที่จะออกไปสนามบินด้วยกัน
“แล้วเราจะต้องมาถึงเครื่องก่อนประมาณ 1 ชั่วโมง พอไปยืนบนเครื่องคราวนี้จะเป็นเรื่องของการเตรียมการทุกคนที่ได้รับหน้าที่ว่าใครจะต้องประจำอยู่ ณ ตรงไหน ตรวจเช็กอุปกรณ์ความปลอดภัยของตัวเองให้พร้อม เปลี่ยนชุดเตรียมให้บริการ เช็กอุปกรณ์ทุกอย่าง อุปกรณ์ความปลอดภัยครบมั้ย ห้องน้ำเป็นยังไง อาหารเป็นยังไง อาหารพิเศษของผู้โดยสารที่ต้องดูแลพิเศษมาหรือยัง พอพร้อมแล้วพี่หัวหน้าแอร์ฯจะบอกว่าเตรียมรับผู้โดยสารได้เลย ทุกคนก็จะมายืนประจำเพื่อต้อนรับผู้โดยสาร” ตลอดทั้งเที่ยวบิน พวกเธอก็ต้องคอยดูแลผู้โดยสารซึ่งใช้กำลังเยอะทีเดียว ทั้งเข็นรถอาหาร เสิร์ฟอาหาร เครื่องดื่ม ดูแลความเรียบร้อย เรียกว่าต้องเดินตลอดการเดินทาง ทำงานติดต่อกันหลายชั่วโมง ฉะนั้นพวกเธอจึงต้องดูแลสุขภาพร่างกายให้แข็งแรงเสมอ “ชั่วโมงบินมันนาน ตัวเราเองก็ต้องพักผ่อนให้เพียงพอก่อน ไม่ว่าจะเป็นในเรื่องความดันอากาศ อากาศที่เปลี่ยนแปลง แล้วเราต้องเดินทางอยู่บ่อยๆ เวลานอนก็ไม่เหมือนคนที่ทำงานประจำ ฉะนั้นเราต้องดูแลตัวเองดีๆ ถ้าไม่ไหวไม่สบาย หรือรู้ตัวว่าตัวเองเป็นหวัด ถ้าเป็นหวัดหูอื้อ ก็จะไม่ไป แต่ถ้ายังขืนขึ้นไปนี่อาการหูบล็อกมันอันตราย จะไม่ไปเลยนะคะ เพราะว่านอกจากไม่ดีกับตัวเองยังไปทำให้เพื่อนร่วมงานเหนื่อยขึ้นอีก ถามว่าเหนื่อยมั้ย ชินแล้ว พอกลับมาเราก็พักผ่อนเต็มที่ ทางบริษัทเขาก็จัดวันหยุดให้เรา ในการที่จะทำการบินแต่ละครั้งนี่บริษัทคำนวณไว้แล้ว เขาจะมีอัตราค่าความเหนื่อยให้ว่าเราจะต้องพักผ่อนเท่านี้เพื่อความปลอดภัย เพราะฉะนั้นทุกอย่างมันถูกควบคุมด้วยตัวของมันเองอยู่แล้ว เราก็ทำหน้าที่ควบคุมตัวเราเองอีกที เพราะบางทีเราไปในประเทศที่ร้อนจัดแล้วไปประเทศที่เย็น เราก็ต้องเตรียมตัว”
· คำในของแอร์โฮสเตส
“สำหรับคนที่อยากเป็นแอร์โฮสเตส ขอให้ตอบตัวเองว่าเรารักงานบริการจริงๆ หรือเปล่า เมื่อตอบได้แล้วให้หาข้อมูลให้มากที่สุด หย่าหยุดฝัน ถ้าเรารู้ว่าวันหนึ่งฝันเราเป็นจริงชีวิตมันก็คุ้มค่า อย่าหยุด อย่าท้อ อย่าคิดว่าเป็นแอร์ฯ ต้องสวยหรือเปล่า ต้องเก่งหรือมั้ย ต้องเรียนเมืองนอกหรือเปล่า อย่าไปคิดอย่างนั้น ไม่ใช่เลย ถ้าคุณมีคุณสมบัติกำหนด บริษัทก็พร้อมจะเลือก ซึ่งเขาเลือกคนดี เลือกคนที่มีความตั้งใจ”
· สิทธิพิเศษของคนเป็นแอร์มีรายได้รวมสูงกว่าคนทำงานอาชีพอื่นๆ เข้ามาทำงานใหม่ๆ ก็ได้รายได้ประมาณ 40,000-60,000 บาทต่อเดือน ซึ่งจำนวนรายได้จะขึ้นอยู่กับตารางบินว่าบินระยะใกล้ไกลแค่ไหน ถ้าบินไกล และค้างคืนหลายวันก็ยิ่งได้มาก· เดินทางไปไหนมาไหนแบบฟรี หรือได้สิทธิ์ในการซื้อตั๋วเครื่องราคาถูกมาก· สมาชิกในครอบครัว เช่น พ่อแม่ ภรรยา หรือสามี และลูก สามารถใช้สิทธิ์เดินทางซื้อตั๋วราคาถูกหรือไปแบบฟรีได้ ถ้าไม่สบาย หรือเกิดอุบัติเหตุระหว่างการบิน สายการบินจะมีสวัสดิการประกันสุขภาพ สามารถเบิกรักษาพยาบาลได้ทุกแห่งทั่วโลกที่สายการบินมีจุดลง
**ที่มาของข้อมูลจากหนังสือ ( ขวัญเรือน ) / คอลัมส์ (เส้นทางสายฝัน)
วันอาทิตย์ที่ 7 มิถุนายน พ.ศ. 2552
แนะนำเรียนภาษาอังกฤษจากเว็บจร้า
http://web2.uvcs.uvic.ca/elc/studyzone/index.htm
เวบนี้เข้าไปเลือก level เองอีกทีนึงนะ มีแบบฝึกหัดให้ทำด้วย
http://australianetwork.com/studyenglish/
อันนี้ท่าทางเจ๋งแต่เค้ายังไม่ได้เข้าไปดูละเอียดเลยล่ะ
http://elc.polyu.edu.hk/ielts/default.htm
แบบฝึกหัดมากมาย เลือกทำได้ตามใจ
http://www.international.holmesglen.vic.edu.au/ie.cfm
เนื้อหาดีนะเวบนี้
http://www.aippg.com/ielts/index.html
พวก tips ที่เค้าให้มาไม่ค่อยได้อะไรเท่าไหร่ แต่เวบนี้ดีตรงที่มี sample ให้ดูเยอะ
http://www.ielts-blog.com/
ชอบๆเวบนี้ โดยเฉพาะ writing part นะ อย่าลืมดาวน์โหลดคู่มือ writing มาด้วยล่ะ เวิร์กมากๆ
http://elc.polyu.edu.hk/cill/ielts/default.htm
อันนี้ยังไม่ได้เข้าไปดูละเอียดเท่าไหร่ แต่ก็น่าจะโอเค
http://9ielts.topcities.com/writing/writing_sample.html
รวบ writing samples จ้า
http://www.leeds.ac.uk/languages/resource/english/graphs/tren.htm
เวบนี้ให้ศัพท์สำหรับเขียน writing part I ดีมากๆ
http://www.pantip.com/cafe/library/topic/K6256228/K6256228.html2
http://topicstock.pantip.com/library/topicstock/2007/09/K5846929/K5846929.html
เวบนี้เก็บตกมาจากพันทิป ลิ้งต่างๆที่เค้าได้มาก็เอามาจากที่นี่แล ขอขอบคุณ คุณเจ้าของกระทู้มา ณ ที่นี้
http://australia.educatepark.com/etc/compare.php
เก็บตกเวบเปรียบเทียบคะแนน IELTS, TOEFL and TOEIC ไม่แน่ใจว่าตรงหรือเปล่านะ แต่เค้าว่ามันก็ไม่ค่อยจะแน่นอนเท่าไหร่
วันพฤหัสบดีที่ 4 มิถุนายน พ.ศ. 2552
TOEFLA
ตั่งแต่เดือนมิถุนายน 2549 การสอบ TOEFL หรือ The Test of English as a Foreign Language ได้เปลี่ยนแปลงไป ทั้งรูปแบบการสอบ การคิดคะแนน และวิธีการสอบ ทำให้เด็กไทยที่คิดจะสอบ TOEFL หนาวๆ ร้อนๆ ไปตามๆ กัน ด้วยข่าวลือที่ว่าการสอบยากขึ้นกว่าเดิมมาก เพราะการสอบแบบเดิมก็สุดหินสำหรับบางคนแล้ว ดังนั้น ไปตรวจสอบกันเลยว่าการสอบระบบใหม่ยากเกินจริงหรือไม่ TOEFL (Test of English as a Foreign Language)คือ แบบทดสอบความสามารถเพื่อประเมินความสามารถทางด้านภาษาอังกฤษ ในการใช้ภาษาอังกฤษ ของผู้ที่ไม่ได้ใช้ภาษาอังกฤษ เป็นภาษาประจำชาติ โดยเป็นการสอบแบบมาตรฐาน ที่วัดความสามารถทางด้านภาษาอังกฤษสำหรับนักศึกษาต่างชาติ ที่ต้องการเข้าศึกษาต่อกับสถาบันการศึกษาในประเทศที่ใช้ภาษาอังกฤษเป็นสื่อกลางของการเรียนการสอนโดยมีจัดการ สอบเป็นแบบปรนัย เพื่อวัดความเข้าใจ ภาษาอังกฤษ (แบบอเมริกา)
สำหรับการสอบ TOEFL แบบ IBT จะใช้เวลาสอบประมาณ 4 ชั่วโมง โดย เน้นการวัดความรู้ทางภาษาอังกฤษในเชิงวิชาการ เพื่อใช้ความรู้ทางภาษาไปใช้ในการศึกษาต่อในระดับสูง โดยแบ่งเนื้อหาเป็น 4 ทักษะ ดังนี้Readingเป็นทักษะที่ใช้วัดความเข้าใจของการอ่านในเชิงวิชาการของผู้สอบ โดยผู้สอบต้องตอบคำถามจากบทความ 3 บทความ ในแต่ละบทจะต้องตอบคำถาม 12-15 ข้อ ส่วนนี้ต้องทำข้อสอบรวม 39ข้อใช้เวลา 60 นาที ระดับคะแนนจะอยู่ที่ 0-30คะแนน Listening เป็นทักษะที่ใช้วัดความเข้าใจในการฟังภาษาอังกฤษ ผู้สอบต้องฟังบทสนทนาในประเด็นทั่วไป 2 เรื่อง และ สถานการณ์จำลองในห้องเรียน 4 เรื่อง ต้องตอบคำถามจากสิ่งที่ได้ยินแต่ละบทสนทนา และเรื่องที่ได้ฟัง โดยส่วนนี้ต้องทำข้อสอบ 35 ข้อใช้เวลา 60 นาที ระดับคะแนนจะอยู่ที่ 0-30 คะแนนข้อสอบแบ่งเป็น Academic Lecture 4 เรื่อง/24 ข้อ Campus Conversation2 เรื่อง/10 ข้อ นอกจากนี้ ยังมีการเปลี่ยนแปลงข้อสอบไปจากเดิมบ้าง เช่น มีการนำสำเนียงอื่นที่ไม่ใช่สำเนียง American มาทดสอบด้วย Writing เป็นทักษะที่ใช้วัดความเข้าใจในการเขียนในเชิงวิชาการ โดยผู้สอบต้องแสดงความสามารถในการใช้ภาษา และการคิดวิเคราะห์ การพัฒนาความคิดในประเด็นที่ได้อ่านจากข้อสอบ 2 ข้อใช้เวลา 55 นาที ระดับคะแนนจะอยู่ที่ 0-30คะแนนข้อสอบแบ่งเป็นคำถามที่ 1ผู้สอบจะได้อ่านบทความทางวิชาการในเวลาประมาณ 3 นาที และฟังการบรรยายที่เกี่ยวข้องกับสิ่ง ที่ได้อ่าน จากนั้นผู้สอบต้องสรุปบรรยาย หรือแสดงทรรศนะจากสิ่งที่ได้อ่าน และฟัง โดยต้องเขียน 150-220 คำในเวลา 25 นาที คำถามที่ 2ผู้สอบจะได้อ่านประโยคสั้นๆ และตอบคำถามโดยการบรรยาย หรือแสดงความคิดเห็นอย่างมีเหตุผลจากสิ่งที่ ได้อ่าน โดยต้องเขียนอย่างน้อย 300 คำ ในเวลา 30 นาทีSpeakingเป็นทักษะที่ใช้วัดความเข้าใจในการพูดภาษาอังกฤษเนื้อหาเชิงวิชาการ ผู้สอบต้องตอบคำถามด้วยการพูด รวม 6 ข้อ หลังจากอ่านบทความ และการฟังบรรยายในแต่ละประเด็นข้อสอบใช้เวลา 20นาที ระดับ คะแนนจะอยู่ที่ 0-30 คะแนนข้อสอบ โดยแบ่งประเภทของคำถาม ดังนี้ คำถามที่ 1 และ 2 เป็นเรื่องราวที่ผู้สอบคุ้นเคย อาจเป็นประสบการณ์ หรือทัศนะส่วนตัว มีเวลาในการเตรียม ตอบคำถาม 15 วินาที และมีเวลาตอบคำถาม 45 วินาทีในแต่ละข้อ คำถามที่ 3 และ 4 ผู้สอบจะได้อ่านข้อความสั้นๆ ในประเด็นใดประเด็นหนึ่ง จากนั้นจะได้ฟังบทสนทนา หรือการบรรยายในประเด็นที่เกี่ยวข้องกับบทความนั้นนั้น ผู้สอบต้องตอบคำถามจากสิ่งที่ได้อ่าน และฟัง โดยวิเคราะห์ข้อมูลที่ได้มา และตอบคำถามที่เหมาะสม มีเวลาเตรียมตอบคำถาม 30 วินาที และตอบคำถาม 60 วินาทีในแต่ละข้อ คำถามที่ 5 และ 6ผู้สอบจะได้ฟังบทสนทนาเพื่อการวิเคราะห์ในเชิงวิชาการ หรือฟังบรรยายทางวิชาการ ผู้สอบต้องตอบคำถามจากสิ่งที่อ่าน และฟัง โดยการวิเคราะห์ สรุปข้อมูลที่ได้มา และตอบคำถามที่เหมาะสม มีเวลาเตรียมตัวตอบคำถาม 20 วินาที และมีเวลาตอบคำถาม 60 วินาทีในแต่ละข้อ
วันเวลาและอัตราค่าสมัครสอบศูนย์สอบ TOEFL แบบ computer-based test มีการสอบทุกวัน จันทร์ - ศุกร์ (ยกเว้นวันหยุดราชการ) ตลอดทั้งปี รอบเช้า: เริ่มสอบเวลา 9.00 น. รอบ บ่าย: เริ่มสอบ เวลา 13.00 น.สามารถสอบได้เพียงเดือนละครั้งเท่านั้น แต่จะลงสอบทั้งหมดกี่ครั้งก็ได้ ไม่มีจำกัด โดยผลสอบ TOEFL มีอายุใช้ได้ 2 ปี ปัจจุบันในประเทศไทยมีอยู่เพียงที่เดียวคือInstitute of International Education - Southeast Asia (IIE) 6th Floor, Maneeya Center North 518/3 Ploenchit Road Pathumwan, Bangkok 10330 Tel: 0-2652-0653-4 อัตราค่าสมัครสอบ TOEFL iBT ค่าสมัครสอบ US$ 140 ดอลลาร์สหรัฐ ค่าบริการ US$ 30 ดอลลาร์สหรัฐ
หลักฐานที่จะต้องนำไปในวันสอบ บัตรประจำตัวอย่างเป็นทางการ ที่มีรูปถ่ายของผู้สอบ เช่น บัตรประจำตัวประชาชน หรือ ใบขับขี่ เบอร์ยืนยันการสมัคร ที่ได้รับเมื่อมีการนัดเวลาสอบ ชื่อสถาบันการศึกษาและคณะที่ต้องการจัดส่งรายงานผลการสอบไปให้ โดยที่ทางศูนย์สอบ จะมีรายละเอียดเกี่ยวกับ code lists ให้เลือก (ถ้ามี) CBT Voucher (ถ้ามี) คำแนะนำ
การเขียนชื่อ - นามสกุล ต้องสะกดชื่อ-นามสกุล เป็นภาษาอังกฤษให้เหมือนกับในหลักฐานแสดงตัว โดยที่ใช้นามสกุลขึ้นต้นก่อน ตามด้วยชื่อจริง และจะต้องสะกดตามนี้ทุกครั้งที่กรอกรายละเอียดลงบนใบสมัครเมื่อต้องการเขียนจดหมาย ส่งแฟกซ์ ส่งอี-เมล์ หรือการติดต่อกับ ETS ซึ่งเป็นผู้จัดสอบ
โดยปรกติแล้วสถานที่จัดสอบจะเต็มอย่างรวดเร็ว ดังนั้นควรจะเตรียมส่งใบสมัครสอบพร้อมกับการชำระค่าสอบล่วงหน้าอย่างน้อย 4 สัปดาห์ก่อนถึงวัน Deadline และควรจะใช้ใบสมัครสอบที่ทาง ETS จัดเตรียมไว้ให้ในคู่มือการสมัคร เพราะจะไม่สามารถไปสมัครสอบที่สนามสอบได้
หลังจากที่สมัครสอบไปแล้ว ผู้สอบจะไม่ได้รับใบเสร็จรับเงินสำหรับการชำระค่าสอบ เพราะจะได้รับบัตรประจำตัวผู้สอบ ซึ่งถือได้ว่าเป็นใบเสร็จรับเงินสำหรับการสอบอยู่แล้ว
ควรจะทำการทดสอบ ให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ เพื่อจะมั่นใจได้ว่าคะแนนสอบจะถูกส่งถึงวิทยาลัยหรือมหาวิทยาลัยที่ระบุไว้ ทันกำหนดปิดรับสมัคร
ใบรับสมัครสอบ TOEFL ไม่ใช่ใบสมัครเรียนในสถาบันต่าง ๆ ดังนั้นเราจะต้องส่งใบสมัครต่างหากไปยังสถานศึกษาที่สนใจ
คะแนนสอบ ที่มีอายุมากกว่า 2 ปี ทาง ETS ไม่สามารถให้การรับรองได้และจะไม่จัดส่งคะแนนสอบที่มีอายุ เกิน 2 ปี ให้แก่สถานศึกษาใดๆ
หลักฐานแสดงตัวในวันสอบเป็นสิ่งที่สำคัญและจำเป็นมาก เมื่อไปถึงสถานที่สอบ โปรดแน่ใจว่าไม่ได้ลืมหลักฐานเหล่านั้น ตามที่ระบุไว้บนบัตรประจำตัวสอบ หากไม่มีหลักฐานจะไม่ได้รับอนุญาตให้เข้า
ต้องเตรียมรูปถ่ายที่เห็นหน้าและไหล่ได้ชัดเจนเพื่อที่จะติดรูปไว้ที่บัตรประจำตัวผู้สอบ (Admission Ticket)
ไม่ควรจะไปรายงานตัวที่สนามสอบ หลังจากเวลาที่ระบุไว้ ในบัตรสอบ
ไม่สามารถยกเลิกคะแนนเพียงส่วนใดส่วนหนึ่งได้และไม่อนุญาตให้รับคะแนนส่วนที่เหลือ
ถ้ายกเลิกผลคะแนนไปแล้ว จะไม่มีรายงานส่งไปที่ใด ๆ ทั้งสิ้น
ไม่มีค่าใช้จ่ายสำหรับการขอยกเลิก การขอคืนค่าคะแนนหลังจากที่ร้องขอยกเลิกไปแล้ว มีขั้นตอนและเงื่อนไข ดังนี้
Passport
ใบ Confirm ที่พิมพ์ออกมาจาก Internet ผลคะแนน TOEFL นั้น ไม่เฉพาะใช้สมัครเรียนในสถาบันการศึกษาที่เป็นระบบอเมริกันเท่านั้น ปัจจุบันประเทศต่างๆ กว่า 110 ประเทศ และสถาบันการศึกษากว่า 6,000 แห่งทั่วโลก ยอมรับผลคะแนน TOEFL ซึ่งเข้าไปตรวจสอบรายชื่อสถาบันการศึกษาในประเทศต่างๆ ว่ายินดีรับผลคะแนน TOEFL ได้ที่ http://www.ets.org/toefl