ได้โปรด ระมัดระวังอย่างยิ่งยวด โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าใช้อีเมล เช่น ยาฮู, ฮอต เมล, เอโอแอล ฯลฯ ข้อมูลนี้ได้รับมาเมื่อเช้านี้โดยตรงจากทั้งไมโครซอฟท์และนอร์ตั้น คุณอาจได้รับอีเมลที่มากับไฟล์ที่มีหัวข้อนำเสนอด้วยเพาเวอร์พอยท์ซึ่งมองดูไม่น่ามีอันตรายอะไรเลยว่า
'ชีวิตนี้สวยงาม' (Life is beautiful.)
ถ้าคุณได้รับ อย่าเปิดไฟล์ (ที่แนบมา) โดยเด็ดขาดไม่ว่ากรณีใดๆ ทั้งสิ้นและจงลบมันทิ้ง!เพราะทันทีที่คุณเปิดไฟล์นี้ จะมีข้อความหนึ่งขึ้นมาบนจอกล่าวกับคุณว่า
"ตอนนี้มันสายไปเสียแล้ว, ชีวิตของคุณไม่สวยงามอีกต่อไปแล้ว"
โดยต่อเนื่องกันคุณจะสูญเสีย ข้อมูล) ทุกสิ่งทุกอย่างในคอมฯ ของคุณ และคนที่ส่งเมลมาหาคุณนั้นจะเข้าถึงชื่ออีเมล และรหัสผ่านของคุณได้หมด นี่คือไวรัสตัวใหม่ ซึ่งจะเริ่มปฎิบัติการแผลงฤทธิ์ในวันอังคารหลังเที่ยง AOL ได้ยืนยันว่ามันร้ายกาจ และซอฟท์แวร์ (โปรแกรม) แอนตี้ไวรัส (ใดๆ) ไม่สามารถทำลายมันได้
ไวรัสตัวนี้ถูกสร้างโดยแฮกเกอร์คนหนึ่งที่เรียกตัวเองว่า 'เจ้าของชีวิต' (Life owner
วันจันทร์ที่ 31 สิงหาคม พ.ศ. 2552
เลือกแว่นตากันแดด ให้เหมาะกับบุคลิกเฉพาะตัว
จัดงานเพื่อคนรักแว่นตาโดยเฉพาะ สำหรับ ทอมมี่ ฮิลฟิเกอร์ (Tommy Hilfiger) แว่นตาแบรนด์เนมจากสหรัฐอเมริกา โดยบริษัท ดีทแฮล์ม จำกัด ผู้นำเข้ากับงาน "ทอมมี่ ฮิลฟิเกอร์ พรีเซ็นต์ นิว คอลเลกชั่น ฟอล/วินเทอร์ 2009" เพื่อแนะนำแว่นตาแบบเอ็กซ์คลูซีฟ ด้วยการส่งเทียบเชิญเซเลบริตี้สุดฮอตมาร่วมอัพเดทเทรนด์แว่นตากันไม่ให้ตกเท รนด์กันที่ร้านฮาร์ดร็อคคาเฟ่ สยามสแควร์
งานนี้หนุ่มสาวสังคมชื่อดังมาร่วมแลกเปลี่ยนประสบการณ์การเลือก แว่นตามสไตล์คนดัง และอัพเดทคอลเลกชั่นล่าสุดกันอย่างคึกคัก อาทิ ม.ร.ว.จันทรลัดดา ยุคล, ศิรนุช โรจนเสถียร, พัสวีพิชญ์ ศรณ์อัครภา, ณัฐเศรษฐ์ พูนทรัพย์มณี, กิตติเทพ เทพหัสดิน ณ อยุธยา, หฤษฎ์ สกุล เกิดทิพย์ และ มาร์ค กิ่งโพยม เป็นต้น
อย่าง "แคท" ร้อยเอกหญิงวันทิตา ลิ่วเฉลิมวงศ์ กล่าวว่า เธอใส่ใจกับการเลือกแว่นกันแดดมาก เพราะเมืองไทยอากาศร้อนและแสงแดดแรง ดังนั้นแว่นตากันแดดจึงเป็นสิ่งจำเป็นมาก ไม่ว่าจะเป็นในเรื่องของการขับรถ เล่นกีฬากลางแจ้ง หรือแม้กระทั่งในเรื่องของการแต่งตัว โดยเทคนิคในการเลือกแว่นตานั้นก็คือ ใส่แล้วรู้สึกสบายตา เข้ากับรูปหน้าของเรา และที่สำคัญคือน้ำหนักต้องเบาด้วย ซึ่งปัจจุบันหลายๆ คนหาซื้อแว่นได้ง่ายขึ้น แต่อย่าลืมดูแว่นที่เราเลือกใช้ให้มั่นใจว่ามีคุณสมบัติในการกรองรังสียูวี ด้วยนะ ส่วนในเรื่องของการแต่งตัวแว่นตาสามารถเป็นแอคเซสเซอรี่ ที่ช่วยทำให้บุคลิกของเราเก๋ขึ้นได้อีกด้วย
ด้านหมอฟันคนสวย พอลลีน (เต็ง) ล่ำซำ กล่าวว่า เธอชอบแว่นกันแดดที่กรองแสงและสามารถกันแสง UV ได้ 100 เปอร์เซ็นต์ ทั้ง UVA และ UVB เพื่อเป็นการถนอมสายตาของเรา ส่วนในเรื่องของแฟชั่นจะเลือกแว่นตาที่มีแป้นรองรับที่จมูก เพื่อให้เหมาะกับรูปหน้า เพราะหน้าของคนเอเชียก็จะมีเอกลักษณ์ที่แตกต่างจากหน้าของคนยุโรป ซึ่งแว่นบางแบบก็ไม่เหมาะกับโครงหน้าอย่างเรา ส่วนเรื่องแฟชั่นในการแต่งตัวเธอจะเลือกเสื้อผ้าก่อนว่าจะใส่แบบไหน แล้วค่อยมาดูแว่นกันแดดที่มีสีเลนส์เข้ากับชุดที่ใส่ ซึ่งสีของแว่นตาที่เบสิกที่สุดคงหนีไม่พ้นสีขาวและสีดำ เพราะสามารถสวมใส่ได้ในทุกๆ โอกาส
ปิดท้ายกันที่หนุ่มเท่ บิณฑ์ มหาดำรงค์กุล บอกว่า ส่วนตัวมีไลฟ์สไตล์แมนๆ ชอบขับรถสปอร์ต ชอบทำกิจกรรมกลางแจ้ง เลยต้องระวังสายตาเป็นพิเศษ ไม่อย่างนั้นอายุมากขึ้นต้อลมถามหาแน่เลย สำหรับการเลือกแว่นนั้น ส่วนใหญ่จะชอบแว่นตาที่ทรงเท่ๆ โดยจะเน้นแว่นที่เหมาะกับทรงหน้าและเหมาะกับบุคลิกเป็นหลัก แต่ก็ขึ้นอยู่กับกาลเทศะ ซึ่งการเลือกแว่นจะต้องเลือกสีของเลนส์แว่นเพื่อให้เข้ากับเสื้อผ้าที่ใส่ แต่ถ้าสีเรียบๆ อย่างขาว ดำ ก็จะสามารถสวมใส่ได้ทุกโอกาส
ได้รู้ถึงเทคนิคการเลือกแว่นของเหล่าเซเลบคนดังกันแล้ว ก็อย่าลืมนำไปปรับใช้ให้เหมาะกับบุคลิกของตัวเองนะคะ
งานนี้หนุ่มสาวสังคมชื่อดังมาร่วมแลกเปลี่ยนประสบการณ์การเลือก แว่นตามสไตล์คนดัง และอัพเดทคอลเลกชั่นล่าสุดกันอย่างคึกคัก อาทิ ม.ร.ว.จันทรลัดดา ยุคล, ศิรนุช โรจนเสถียร, พัสวีพิชญ์ ศรณ์อัครภา, ณัฐเศรษฐ์ พูนทรัพย์มณี, กิตติเทพ เทพหัสดิน ณ อยุธยา, หฤษฎ์ สกุล เกิดทิพย์ และ มาร์ค กิ่งโพยม เป็นต้น
อย่าง "แคท" ร้อยเอกหญิงวันทิตา ลิ่วเฉลิมวงศ์ กล่าวว่า เธอใส่ใจกับการเลือกแว่นกันแดดมาก เพราะเมืองไทยอากาศร้อนและแสงแดดแรง ดังนั้นแว่นตากันแดดจึงเป็นสิ่งจำเป็นมาก ไม่ว่าจะเป็นในเรื่องของการขับรถ เล่นกีฬากลางแจ้ง หรือแม้กระทั่งในเรื่องของการแต่งตัว โดยเทคนิคในการเลือกแว่นตานั้นก็คือ ใส่แล้วรู้สึกสบายตา เข้ากับรูปหน้าของเรา และที่สำคัญคือน้ำหนักต้องเบาด้วย ซึ่งปัจจุบันหลายๆ คนหาซื้อแว่นได้ง่ายขึ้น แต่อย่าลืมดูแว่นที่เราเลือกใช้ให้มั่นใจว่ามีคุณสมบัติในการกรองรังสียูวี ด้วยนะ ส่วนในเรื่องของการแต่งตัวแว่นตาสามารถเป็นแอคเซสเซอรี่ ที่ช่วยทำให้บุคลิกของเราเก๋ขึ้นได้อีกด้วย
ด้านหมอฟันคนสวย พอลลีน (เต็ง) ล่ำซำ กล่าวว่า เธอชอบแว่นกันแดดที่กรองแสงและสามารถกันแสง UV ได้ 100 เปอร์เซ็นต์ ทั้ง UVA และ UVB เพื่อเป็นการถนอมสายตาของเรา ส่วนในเรื่องของแฟชั่นจะเลือกแว่นตาที่มีแป้นรองรับที่จมูก เพื่อให้เหมาะกับรูปหน้า เพราะหน้าของคนเอเชียก็จะมีเอกลักษณ์ที่แตกต่างจากหน้าของคนยุโรป ซึ่งแว่นบางแบบก็ไม่เหมาะกับโครงหน้าอย่างเรา ส่วนเรื่องแฟชั่นในการแต่งตัวเธอจะเลือกเสื้อผ้าก่อนว่าจะใส่แบบไหน แล้วค่อยมาดูแว่นกันแดดที่มีสีเลนส์เข้ากับชุดที่ใส่ ซึ่งสีของแว่นตาที่เบสิกที่สุดคงหนีไม่พ้นสีขาวและสีดำ เพราะสามารถสวมใส่ได้ในทุกๆ โอกาส
ปิดท้ายกันที่หนุ่มเท่ บิณฑ์ มหาดำรงค์กุล บอกว่า ส่วนตัวมีไลฟ์สไตล์แมนๆ ชอบขับรถสปอร์ต ชอบทำกิจกรรมกลางแจ้ง เลยต้องระวังสายตาเป็นพิเศษ ไม่อย่างนั้นอายุมากขึ้นต้อลมถามหาแน่เลย สำหรับการเลือกแว่นนั้น ส่วนใหญ่จะชอบแว่นตาที่ทรงเท่ๆ โดยจะเน้นแว่นที่เหมาะกับทรงหน้าและเหมาะกับบุคลิกเป็นหลัก แต่ก็ขึ้นอยู่กับกาลเทศะ ซึ่งการเลือกแว่นจะต้องเลือกสีของเลนส์แว่นเพื่อให้เข้ากับเสื้อผ้าที่ใส่ แต่ถ้าสีเรียบๆ อย่างขาว ดำ ก็จะสามารถสวมใส่ได้ทุกโอกาส
ได้รู้ถึงเทคนิคการเลือกแว่นของเหล่าเซเลบคนดังกันแล้ว ก็อย่าลืมนำไปปรับใช้ให้เหมาะกับบุคลิกของตัวเองนะคะ
วันอาทิตย์ที่ 30 สิงหาคม พ.ศ. 2552
การสอบ DELF DALF
การสอบ DELF DALF ก็เป็นการสอบวัดผลความสามารถทางภาษาฝรั่งเศส นักเรียนที่ต้องการวุฒิบัตรรับรองระดับภาษาฝรั่งเศสที่ประเทศฝรั่งเศสยอมรับก็มักจะไปสอบกัน อีกทั้งยังสามารถนำไปใช้ในการเรียนต่อในประเทศฝรั่งเศสได้อีกด้วย เมื่อได้ทุนบางประเภท จะมีการบังคับให้นักเรียนไปสอบวัดระดับนี้เสียก่อน จึงจะให้ไปเรียนต่อได้จ้ะ
การสอบ DELF เป็นการสอบวัดระดับความสามารถทางภาษาฝรั่งเศส ที่ทำตามกรอบนโยบายของ สภายุโรป ซึ่งจะมีอยู่ 6 ระดับ คือ A1,A2,B1,B2,C1,C2 ซึ่งจะมีประโยชน์ในการเรียนต่อ และสามารถเป็นใบประกันได้ว่าภาษาฝรั่งเศสของเรานั้นอยู่ในระดับไหนบ้าง โดยเฉพาะการสมัครงานในบริษัทของฝรั่งเศส ที่มีอยู่ มากกว่า 350 บริษัทในประเทศไทย...
การสอบ DELF เป็นการสอบวัดระดับความสามารถทางภาษาฝรั่งเศส ที่ทำตามกรอบนโยบายของ สภายุโรป ซึ่งจะมีอยู่ 6 ระดับ คือ A1,A2,B1,B2,C1,C2 ซึ่งจะมีประโยชน์ในการเรียนต่อ และสามารถเป็นใบประกันได้ว่าภาษาฝรั่งเศสของเรานั้นอยู่ในระดับไหนบ้าง โดยเฉพาะการสมัครงานในบริษัทของฝรั่งเศส ที่มีอยู่ มากกว่า 350 บริษัทในประเทศไทย...
วันศุกร์ที่ 28 สิงหาคม พ.ศ. 2552
8 วิธีแก้อาการปวดหลัง
สำหรับคุณๆสาวออฟฟิตทั้งหลาย ที่ต้องนั่งตรากตรำทำงานอยู่หน้าคอมพิวเตอร์ วันละ7-8ชั่วโมงนั้น อาการที่ถามหากันถ้วนหน้าคงหนีไม่พ้น อาการปวดหลัง แน่ๆ บางคนถึงขนาดเดี้ยงคาเก้าอี้ กันมานักต่อนักแล้วค่ะ เราจึงไม่รอช้า หาวิธีมาให้คุณๆสาวๆเรียนรู้วิธีง่ายๆที่จะช่วยบรรเทาอาการให้คุณค่ะ
1. พยายามรักษาสมดุลของร่างกาย ทั้งในระหว่างการเดิน การนั่ง การยืน หรือแม้แต่การนอน อยู่เสมอ
2. รักษาน้ำหนักตัวให้เหมาะสม ระวังอย่าให้น้ำหนักตัวมากเกิน เพราะจะก่อให้เกิดปัญหาน้ำหนักตัวกดทับกล้ามเนื้อหลังและข้อต่อ
3. หลีกเลี่ยงการอยู่ในอริยบถหนึ่งนานเกินไป ซึ่งจะทำให้เกิดการตึงของกล้ามเนื้อได้ง่าย
4. เลือกนอนบนฟูกที่นอนที่มีความมั่นคง ไม่ยุบตัว หรือแข็งจนเกินไป และใช้หมอนที่มีส่วนเว้าโค้ง รองรับสรีระช่วงคอได้เป็นอย่างดี
5. หมั่นออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ เพื่อให้กล้ามเนื้อมีความหยืดหยุ่น
6. รักษาท่วงท่า ให้อยู่ในจุดสมดุลตลอดเวลา เช่นการงอเข่าลดละดับลำตัวลงเมื่อจะเก็บของลงจากพื้นแทนการงอหลัง
7. เลือกรองเท้าที่สวมสบาย และรองรับน้ำหนักร่างกายได้ดี หลีกเลี่ยงการสวมรองเท้าส้นสูงเป็นเวลานานๆ
8. หลีกเลี่ยงภาวะอารมณ์ที่เคร่งเครียด ซึ่งเป็นสาเหตุของอาการกล้ามเนื้อตึงตัวและปวดเมื่อย
1. พยายามรักษาสมดุลของร่างกาย ทั้งในระหว่างการเดิน การนั่ง การยืน หรือแม้แต่การนอน อยู่เสมอ
2. รักษาน้ำหนักตัวให้เหมาะสม ระวังอย่าให้น้ำหนักตัวมากเกิน เพราะจะก่อให้เกิดปัญหาน้ำหนักตัวกดทับกล้ามเนื้อหลังและข้อต่อ
3. หลีกเลี่ยงการอยู่ในอริยบถหนึ่งนานเกินไป ซึ่งจะทำให้เกิดการตึงของกล้ามเนื้อได้ง่าย
4. เลือกนอนบนฟูกที่นอนที่มีความมั่นคง ไม่ยุบตัว หรือแข็งจนเกินไป และใช้หมอนที่มีส่วนเว้าโค้ง รองรับสรีระช่วงคอได้เป็นอย่างดี
5. หมั่นออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ เพื่อให้กล้ามเนื้อมีความหยืดหยุ่น
6. รักษาท่วงท่า ให้อยู่ในจุดสมดุลตลอดเวลา เช่นการงอเข่าลดละดับลำตัวลงเมื่อจะเก็บของลงจากพื้นแทนการงอหลัง
7. เลือกรองเท้าที่สวมสบาย และรองรับน้ำหนักร่างกายได้ดี หลีกเลี่ยงการสวมรองเท้าส้นสูงเป็นเวลานานๆ
8. หลีกเลี่ยงภาวะอารมณ์ที่เคร่งเครียด ซึ่งเป็นสาเหตุของอาการกล้ามเนื้อตึงตัวและปวดเมื่อย
วันพฤหัสบดีที่ 27 สิงหาคม พ.ศ. 2552
ใช้โน้ตบุ๊คเสี่ยงเป็น "โรคปวดหลัง"
ใครที่ต้องใช้โน้ตบุ๊คเป็นเวลานานๆ อาจเสี่ยงต่อการเป็นโรคปวดหลังได้ วันนี้เกร็ดความรู้มีเรื่องนี้มากฝากกัน.... ดร.โอ๊ต บูรณะสมบัติ นายกสมาคมการแพทย์ไคโรแพรคติกแห่งประเทศไทย กล่าวว่า ปัจจุบันคนไทยเป็นโรคปวดหลังมากขึ้น เนื่องจากการใช้สิ่งของ เครื่องนอน เครื่องใช้ เก้าอี้ โต๊ะ ไม่ถูกกับสรีระ การมีบุคลิกภาพที่ไม่ดี การนั่งทำงานในท่าเดิมๆ การนั่งพิมพ์คอมพิวเตอร์นานๆ และการนั่งอยู่ในรถติดเป็นชั่วโมง ทำให้โครงสร้างของร่างกายผิดไป เกิดการเคลื่อนของข้อกระดูกสันหลัง ส่งผลกดทับเส้นประสาทและระบบประสาท เกิดอาการปวดตามร่างกายต่างๆ ส่งผลต่อประสิทธิภาพการทำงาน โดยเฉพาะการใช้โน้ตบุ๊ค เพราะเนื่องจากวิทยาการสมัยใหม่ทำให้มีขนาดเล็กลงเรื่อยๆ และมีข้อบังคับที่ตัวคีย์บอร์ดต้องพับเปิด-ปิดอยู่ด้วยกัน ทำให้การใช้งานต้องมีการบีบมือเข้ามาในการพิมพ์ ต้องห่อไหล่และเกร็งกล้ามเนื้อที่คอมากขึ้น ก้มไปมองที่จอมากขึ้นกว่าเดิม แม้จะยกจอขึ้นมาถึงระดับสายตาก็จะทำให้พิมพ์ไม่ได้ ส่วนใหญ่จะใช้โน้ตบุ๊ควางบนเตียง บนตัก บนโต๊ะ ทำให้กล้ามเนื้อทำงานผิดส่วน ดังนั้น ไม่จำเป็นไม่ควรใช้ แต่ถ้าจำเป็นควรหลีกเลี่ยงการใช้ไม่เกิน 1 ชั่วโมง รู้อย่างนี้แล้ว เวลาใช้โน้ตบุ๊คอย่าลืมนั่งหลังตรงล่ะ เพื่อสุขภาพ
วันอังคารที่ 25 สิงหาคม พ.ศ. 2552
อัมสเตอร์ดัม
อัมสเตอร์ดัม (Amsterdam) เป็นเมืองหลวงของประเทศเนเธอร์แลนด์ ตั้งอยู่ริมฝั่งแม่น้ำอัมสเทล (Amstel) เริ่มก่อตั้งประมาณคริสต์ศตวรรษที่ 12 ปัจจุบันเป็นเมืองที่ใหญ่ที่สุดของเนเธอร์แลนด์ มีประชากรในเขตตัวเมืองประมาณ 742,000 คน แต่ถ้านับรวมประชากรในเขตเมืองโดยรอบทั้งหมด จะมีประมาณ 1.5 ล้านคน (ข้อมูลปี 2005)
อัมสเตอร์ดัมเป็นเมืองศูนย์กลางทางประวัติศาสตร์ที่สำคัญแห่งหนึ่งของทวีปยุโรป โดยเฉพาะช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 17 ซึ่งเป็นช่วงยุคทองของเนเธอร์แลนด์
ถึงแม้อัมสเตอร์ดัมจะเป็นเมืองหลวงของประเทศ แต่ศูนย์กลางของหน่วยงานรัฐบาลนั้นอยู่ที่เฮก
อัมสเตอร์ดัมเป็นเมืองศูนย์กลางทางประวัติศาสตร์ที่สำคัญแห่งหนึ่งของทวีปยุโรป โดยเฉพาะช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 17 ซึ่งเป็นช่วงยุคทองของเนเธอร์แลนด์
ถึงแม้อัมสเตอร์ดัมจะเป็นเมืองหลวงของประเทศ แต่ศูนย์กลางของหน่วยงานรัฐบาลนั้นอยู่ที่เฮก
วันจันทร์ที่ 24 สิงหาคม พ.ศ. 2552
20 คำถาม อยากเป็นแอร์ สจ๊วต
Q1 : คำนำหน้าเป็น “นาง” สมัครแอร์ฯ ได้ไหม
A : ส่วน ใหญ่แล้วข้อกำหนดของผู้สมัครงานตำแหน่งพนักงานต้อนรับบนเครื่องบิน จะมีการระบุไว้ว่า “สถานภาพโสด” ก่อนที่จะสมัครงานตำแหน่งนี้ ถ้าพิจารณาจากสถานภาพโดยนิตินัยแล้ว การที่ผู้สมัครสายการบินนั้นๆ มีการจดทะเบียนสมรสชัดเจน เพราะฉะนั้นคำนำหน้าชื่อ-นามสกุล ก็บ่งบอกแล้วว่า “นาง” คำตอบบอกได้ชัดเจนเลยว่า “ไม่ได้” แต่ถ้าเป็น “นาง” แบบพฤตินัยก็น่าจะได้นะ ข้อกำหนดนี้มีขึ้นอาจจะเป็นเพราะการทำงานจะได้ราบรื่นปราศจากพันธะ แต่ถ้าทำงานไประยะหนึ่งแล้วไปแต่งงานทีหลังก็ไม่มีปัญหา
Q2 : ถ้าจะสมัครเป็นแอร์ฯ-สจ๊วดต้องได้คะแนน TOEIC อย่างต่ำเท่าไร
A : สำหรับข้อนี้ขึ้นอยู่กับตัวเราเองว่า ต้องการสมัครเข้าไปเป็นลูกเรือในสายการบินไหน สายการบินไทย สายการบินญี่ปุ่น สายหารบินเกาหลีหรือสายการบินตะวันออกกลาง ซึ่งแต่ละสายการบินจะมีมาตรฐานระดับคะแนนสอบ TOEIC ไม่เท่ากัน แต่ในปีนี้ผลคะแนนต่ำที่สุดที่ประกาศรับสมัครออกมา คือ 550 คะแนน ส่วนมากจะอยู่ที่ 650 คะแนน ดังนั้นใครที่ต้องการสมัครหลายสายการบินก็ควรเตรียมตัวสอบให้พร้อมเพื่อ สามารถนำผลคะแนนไปใช้ได้ในหลายๆ สายการบิน
Q3 : ถ้าไม่มีผลสอบ TOEIC แต่มีผลสอบ TOEFL หรือ IELTS อยู่แล้ว ใช้แทนกันได้ไหม
A : บาง สายการบินยินดีรับผลคะแนนสอบวัดระดับทางภาษาอังกฤษแบบสากลประเภทอื่นๆ เช่น TOEFL หรือ IELTS โดยทั้ง 2 การสอบอย่างหลังนี้เป็นการสอบวัดระดับภาษาอังกฤษในเชิงวิชาการเพื่อไปศึกษา ต่อขั้นสูงมากกว่าที่จะวัดผลไปเพื่อการทำงาน ความยากง่าย และจุดประสงค์ในการวัดผลค่อนข้างต่างกัน และที่สำคัญคือ ค่าใช้จ่ายในการสอบต่างกันมากๆ การสอบ TOEIC ผู้สอบต้องเสียค่าใช้จ่ายในการสอบครั้งละ 1,000 บาท แต่ในการสอบ TOEFL ต้องจ่ายค่าสอบ 140 ฿ หรือ IELTS จะต้องจ่ายเงินค่าสอบประมาณ 5,700 บาทต่อครั้ง ใครอยากสอบแบบไหน จ่ายแบบไหน เลือกกันเอาเองเลย
Q4 : สามารถสอบ TOEIC ได้ที่ไหนบ้าง
A : ศูนย์สอบ TOEIC จะเปิดสอบทุกวันจันทร์-เสาร์ สามารถติดต่อได้ที่ศูนย์สอบกรุงเทพฯ และเชียงใหม่ ตามที่อยู่ดังต่อไปนี้ศูนย์ TOEIC ประเทศไทย สำนักงานใหญ่ กรุงเทพฯที่ ตั้ง : เลขที่ 54 อาคาร Bangkok Business Building (BB Building) ห้อง Suite 1905-1908 ถนนอโศก (สุขุมวิท 21) เขตวัฒนา กรุงเทพฯ 10110โทรศัพท์ : 0-2260-7061, 0-2260-7189, 0-2260-7535, 0-2259-8840, 0-2664-3131-2โทรสาร : 0-2664-3122E-mail : information@toeic.co.thสำนักงานเขตภาคเหนือที่ตั้ง : เลขที่ 4/6 อาคารนวรัฐ ชั้น 3 ถนนแก้วนวรัฐ ซอย 3 อ.เมือง จ.เชียงใหม่ 50000โทรศัพท์ : 0-5324-8208, 0-5330-6600โทรสาร : 0-5324-8202E-mail : toeicnorthern@toeic.co.thWebsite : http://www.toeic.co.th/
Q5 : รู้มาว่า แอร์ฯ-สจ๊วดทำงานเป็นสัญญาจ้าง ปรกติแล้วจะจ้างกันกี่ปี
A : การจ้างงานในตำแหน่งพนักงานต้อนรับบนเครื่องบิน ปรกติแล้วจะมีสัญญาจ้าง 1 ปี 3 ปี 5 ปี หรือปีต่อปีแล้วแต่ข้อตกลงของสายการบิน เมื่อครบกำหนดแล้วจะมีการพิจารณาการทำงานเพื่อต่อสัญญาจ้างอีกเพราะฉะนั้นใน ขณะที่ต้องปฏิบัติหน้าที่บนเครื่องบิน พนักงานจะถูกประเมินโดยหัวหน้าระดับสูงด้วย เพื่อที่จะนำผลการประเมินนั้นมาพิจารณาการต่อสัญญาอีก ถ้ามีการลาออกก่อนกำหนดก็ต้องจ่ายค่าปรับเช่นกัน
Q6 : ถ้าว่ายน้ำไม่เป็นสมัครได้หรือเปล่า
A : สำหรับคนที่ว่ายน้ำไม่เป็นสามารถสมัครเป็นลูกเรือได้ เพราะบางสายการบินไม่ได้ระบุว่าเขาต้องการคนที่ว่ายน้ำได้ แต่ในความเป็นจริงแล้ว เราก็ควรที่จะทำความคุ้นเคยกับการว่ายน้ำ หรือลงน้ำกันบ้าง เพราะเมื่อเราผ่านการคัดเลือกเข้าไปเป็นพนักงานต้อนรับแล้ว ช่วงที่ต้องฝึกอบรมด้านความปลอดภัย ทุกคนก็ต้องลงน้ำเพื่อช่วยเหลือตัวเองขึ้นบนแพยางให้ได้อยู่ดี เป็นอย่างนี้แล้วใครที่ว่ายน้ำไม่เป็น หรือเป็นโรคกลัวน้ำสุดๆ ขอแนะนำให้ไปทำความคุ้มเคยก่อนมาสมัครก็จะเป็นการดีกว่า เพราะไม่อย่างนั้นแล้ว ถึงแม้ว่าจะผ่านขั้นตอนคัดเลือกอื่นๆ มาแล้ว แต่ถ้าเทรนไม่ผ่านก็จบกัน
Q7 : สามารถทำสีผมได้ไหม
A : ทำ สีผมในที่นี้ต้องถามก่อนว่าทำสีผมสีอะไร ส้ม แดง เขียว ทอง สีจัดจ้านทั้งหลายแหล่ก็ไม่ควร แต่ถ้าทำสีแบบสีธรรมชาติก็ได้แน่นอน อย่าลืมว่าเรื่องภาพลักษณ์ภายนอกเป็นปัจจัยสำคัญสำหรับการคัดเลือกเข้าทำงาน ในอาชีพนี้ด้วย ต้องดูดีตั้งแต่หัวจดเท้า ผมก็ต้องทำให้เป็นทรง ผู้หญิงผมยาวก็ควรรวบผมติดเน็ต ถ้าใครเป็นผู้หญิงผมสั้นมามาดมั่นใจก็ไม่มีปัญหา ขอให้เซตผมให้เรียบร้อย ไม่ทำสี ไม่ไฮไลต์เป็นอันว่าใช้ได้ ส่วนผู้ชายก็ผมสั้นเข้าว่า ไม่ใช่ว่าซอยผมทรงรากไทรก็ไม่เหมาะสม อย่างการบินไทยก็ไม่ควรเซตผมแบบ wet look ด้วยดังนั้นเรื่องผมจึงเป็นเรื่องที่ควรให้ความสำคัญด้วย เพราะเรื่องผมก็นับเป็นเรื่องของการให้คะแนน look ภายนอก ถึงแม้ว่าในบางสายการบินจะอนุญาตให้พนักงานต้อนรับบนเครื่องบินทำผมทรงไหนก็ ได้ แต่เห็นได้ว่าไม่มีใครทำสีผมแบบประเภทสีสันจี๊ดจ๊าด ส่วนผมก็เซตกันเป็นทรงอย่างเรียบร้อย เพราะฉะนั้นตอนสมัครก็ควรดูดีทุกกะเบียดนิ้ว
Q8 : ควรเตรียมตัวเรื่องอะไรบ้าง
A : การ เตรียมตัวเบื้องต้นที่ทุกคนควรจะเตรียมตัวอย่างแน่นอนเลยก็คือ เสื้อผ้า บุคลิกภาพ ภาษา ในเชิงวิชาการเรื่องของภาษาก็ต้องเตรียมสอบ TOEIC ที่ดีควรได้ 650 คะแนน การสอบข้อเขียน การสัมภาษณ์ต้องฝึกพูดให้ชัดเจนทั้งภาษาไทยและภาษาอังกฤษส่วนเสื้อผ้าที่ใส่แล้วมั่นใจที่สุด และเลือกที่สุภาพ เครื่องแต่งกายของแต่ละสายการบินกำหนดให้แต่งกายแตกต่างกันไป สำหรับผู้ชายสายการบินบางแห่งให้ใส่เสื้อเชิ้ตแขนสั้นกับผูกเนกไท แต่ถ้าไม่รู้ว่าจะแต่งยังไงดี ให้ยึดตามแบบสากลนิยมเข้าไว้ คือ ใส่สูทสีเข้าชุด หรือใส่เสื้อเชิ้ต ผูกเนกไทบวกกับรองเท้าหนังสีดำก็เรียบร้อยแล้วสำหรับผู้หญิงก็รองเท้าส้นสูง 2 นิ้วขึ้นไปเป็นดี มีเสื้อสูทแขนสั้นสวมทับเสื่อเชิ้ตด้านในหรืออาจจะเป็นเสื้อไหมพรหมบางๆ คอเต่า สีเข้ากันกับสูท กระโปรงประมาณเข่า จะผูกผ้าพันคอก็ได้ให้ดูตามความเหมาะสมของสายการบิน (เช่น สมัครเข้า JAL ผูกผ้าพันคอก็โอ.เค.น่ะ)ที่ขาดไม่ได้เลยก็คือ การเตรียมความพร้อมเรื่องบุคลิกภาพ ต้องฝึกยืนให้ดูดีมีสง่า มั่นใจ ถ้านั่งสัมภาษณ์แล้วนั่งได้หลังตรงจะดีมาก
Q9 : มีแผลเป็นที่แขนสมัครแอร์ฯ ได้ไหม
A : ไม่ได้มีการห้ามไว้นี่ว่ามีแผลเป็นที่แขนแล้วห้ามสมัคร แต่ถ้าเป็นแผลเป็นที่ปูดโปนชัดเจนนอกร่มผ้าก็คงจะไม่ผ่าน เพราะตรงส่วนแขนเป็นจุดที่มองเห็นได้ชัดเจนที่สุด แต่ถ้ามีแผลเป็นเล็กน้อยแล้วรองพื้นเอาอยู่ก็น่าจะใช้ได้ ควรจะดูดีทั้งหมด เนื่องจากผู้โดยสารเองก็คงคาดหวังที่จะเห็นพนักงานต้อนรับที่ดูดีทั้งภายนอก และภายใน
Q10 : ที่เขาบอกว่ามีการทำ Group Discussion เราควรจะเตรียมตัวยังไงดี
A : ขั้นตอนในการคัดเลือกจะประกอบไปด้วยการสอบข้อเขียน การทดสอบความถนัด Aptitude Test หรือสอบจิตวิทยทางบุคลิกภาพ การสัมภาษณเดี่ยว และการสัมภาษณ์กลุ่ม ซึ่งการสัมภาษณ์กลุ่มก็มีในรูปแบบการอภิปรายในหัวข้อที่กรรมการเตรียมไว้ อาจจะเป็นเรื่องทั่วไปหรือเรื่องสถานการณ์ที่ตั้งไว้ให้ผู้ร่วมกลุ่มช่วยกัน แก้ปัญหาการเตรียมตัวก็ลองสมมุติสถานการณ์ดูหรือลองตั้งหัวข้อ พยายามคิดว่าจะตอบอย่างไร ฝึกการแสดงความคิดเห็น พยายามฝึกการวิเคราะห์และวิจารณ์ เพราะระหว่างการอภิปรายกลุ่ม จะมีคณะกรรมการคอยดูและให้คะแนนด้วย ควรแสดงออกอย่างพอดี ถ้าน้อยเกินไปหรือเด่นซะจนโอเวอร์ไม่ปล่อยให้คนอื่นพูดบ้างก็มีสิทธิ์ถูกตัด คะแนนได้เหมือนกัน
Q11 : ได้ยินมาว่ามีการ Walk-in คืออะไร และต้องเตรียมตัวอะไรบ้าง
A : ความจริงแล้ววิธีการสมัครมี 3 แบบ ด้วยกัน คือ การสมัคร online, Walk-in และสมัครทางไปรษณีย์-การสมัคร online ถือ ว่าสะดวกที่สุดและสายการบินส่วนใหญ่ก็เปิดรับสมัครผ่านการออนไลน์แล้ว เพียงแค่กรอกข้อมูลตามขั้นตอนที่กำหนดแล้วแนบไฟล์รูปหรือเอกสารที่แจ้งไว้ ควรจะใช้ e-mail address ที่สามารถใช้ได้อย่างน้อยใช้ต่อได้อีก 1 ปี เพื่อการติดต่อกลับ เพราะสายการบินจะส่ง e-mail หรือจดหมายตอบกลับมา อย่าลืมว่าเมื่อกรอกแล้วต้อง print เอกสารใบสมัครออกมาด้วยและควรจำหมายเลขผู้สมัครของตัวเองให้ได้-Walk-in ต้องเตรี ยมเอกสารทุกสิ่งอย่างให้ครบตามที่สายการบินนั้นกำหนด แล้วนำไปตามสถานที่ วัน และเวลาที่ประกาศไว้ พร้อมกับการแต่งกายให้เต็มที่ เรียบร้อยแบบสากลนิยม ส่วนใหญ่แล้ววันที่เปิดให้ Walk-in จะจัดขึ้นตามโรงแรมใหญ่ในกรุงเทพฯ-สมัครทางไปรษณีย์ ส่ง เอกสารที่กำหนดไปตามที่อยู่ ที่สายการบินประกาศไว้ หรือบางสายการบินจะมีบริษัทตัวแทนเป็นผู้ดำเนินการรับสมัคร เอกสารที่ใช้อย่างน้อยก็ต้องเตรียมผลสอบ TOEIC สำเนาทะเบียนบ้าน Transcript สำเนาปริญญาบัตร สำเนาบัตรประชาชน เป็นต้น แล้วจะได้รับการตอบกลับทางโทรศัพท์หรือจดหมายจากสายการบิน
Q12 : ถ้าเป็นพนักงานต้อนรับบนเครื่องบินจะได้รับสวัสดิการอะไรบ้าง
A : นอกเหนือจากเงินเดือนที่ได้รับเป็นประจำแล้ว ลูกเรือจะได้รับค่าชั่วโมงบิน ค่าเบี้ยเลี้ยงระหว่างบิน ที่พักเมื่อต้องเดินทางไปทำงานต่างแดน ค่ารักษาพยาบาล ค่าเดินทางและโบนัส นี่ยังไม่รวมถึงค่าซักรีดยูนิฟอร์มที่มีให้นะ นอกจากนี้ยังได้ตั๋วเครื่องบินฟรี (ตามกำหนด) และสิทธิพิเศษต่างๆ กับสายการบิน พร้อมกันนี้สิทธิพิเศษตั๋วเครื่องบินที่ครอบคลุมไปถึงครอบครัวด้วย ซึ่งครอบครัวในที่นี้ หมายถึง พ่อ-แม่ สามีหรือภรรยาและลูก
Q13 : มีสายการบินไหนเปิดรับสมัครลูกเรือชาวไทยบ้าง
A : ข้อมูลล่าสุดในปี 2007 ที่มีประกาศ รับลูกเรือชาวไทย ก็มีอยู่สายการบินด้วยกัน เริ่มต้อนจากสายการบินภายในประเทศก่อนกันแล้ว หรับสายการบินในประเทศไทยที่รับสมัครลูกเรือไทย ได้แก่ สายการบินไทยนกแอร์ ไทยแอร์เอเชีย พีบีแอร์ บางกอกแอร์เวย์ โอเรียนไทยและสัน-ทู-โกส่วนสายการบินต่างประเทศที่เปิดรับได้แก่ Gulf Air, Emirates Airline, Etihad Finnair, Kenya Airways, Kuwait airways, Lufthansa, Qantas Qatar, Royal Brunei Airlines, Royal joranian, United Airne, Asiana Airlines, China Airines} Eva AIR, JALways, Jet Airway, Jetstar Internatiomal Airlines, Korean Air, Pakistan Internation Airliones, Sky Star Airways
Q14 : สายการบินต้นทุนต่ำบางแห่งไม่มีบริการเสิร์ฟน้ำและอาหารบนเครื่องแอร์โฮสเตสจะมีหน้าที่ทำอะไรบ้าง
A : สำหรับพนักงานต้อนรับบนเครื่องบินที่ทำงานกับสายการบินต้นทุนต่ำนั้น มีหน้าที่ต้อนรับผู้โดยสาร ตั้งแต่ก้าวขึ้นบนเครื่องจนกระทั่งเดินลงเครื่องพร้อมทั้งให้ความสะดวกสบาย แก่ผู้โดยสาร และดูแลผู้โดยสาร บนเครื่องให้เดินทางด้วยความปลอดภัย ในบางสายการบินมีการบริการขายอาหารและเครื่องดื่มแก่ผู้โดยสารด้วย
Q15 : อายุไม่ครบ 20 ปี แต่เรียนจบปริญญาตรีแล้วสมัครได้หรือเปล่า
A : ไม่ ได้เลย ถึงแม้ว่าเรียนจบปริญญาตรีตามที่เขากำหนดแล้วแต่อายุไม่ถึงก็ต้องรอจนกว่า อายุจะถึงตามเกณฑ์ที่ตั้งไว้ เนื่องจากสายการบินส่วนใหญ่รับสมัครคนที่มีอายุ 20 ปีขึ้นไป เพราะแสดงถึงการบรรลุนิติภาวะและการมีความสามารถรับผิดชอบในระดับหนึ่ง การพิจารณารับสมัครนั้น คุณสมบัติเบื้องต้นของการสมัครต้องพิจารณาประกอบกัน ถ้าขาดอันใดอันหนึ่งก็ถูกตัดสิทธิ์
Q16 : ไม่เคยเรียนทางด้านธุรกิจการบิน หรือเรียนคอร์สเตรียมความพร้อมเพื่อเป็นลูกเรือมาก่อน จะมีโอกาสได้ทำงานไหม
A : ต้องได้สิ เพราะไม่ได้มีการบังคับว่าจะต้องผ่านการเรียนคอร์สในสถาบันก่อนถึงจะมีโอกาส สมัครและได้งาน แต่การเข้าเรียนในสถาบันต่างๆ นั้นถือว่าเป็นเรื่องของการเตรียมความพร้อมและช่วยเสริมความมั่นใจก่อนการ สมัครจริง คนที่เรียนมาอาจจะได้เปรียบกว่าตรงที่รู้ว่าต้องแต่งตัวอย่างไร ควรตอบสัมภาษณ์อย่างไร เขาอาจจะชินกับการผ่านการจำลองสถานการณ์มากกว่า แต่โอกาสที่จะได้งานทำนั้น ผลตัดสินอยู่ที่ความสามารถ ความมั่นใจ และบุคลิกภาพที่เราจะสามารถนำเสนอต่อกรรมการต่างหากแต่เรื่องการเรียนในสถาบัน มีบางคนผ่านการคัดเลือกแล้วก็มีมาเรียนเพิ่มเติมความรู้ด้วยถึงแม้ว่าจะต้อง ฝึกอย่างเข้มข้นอยู่แล้ว เรียนรู้ไว้ไม่เสียหาย เพราะอาชีพนี้ทริปยุโรปสุดหรู หรือการลงจอดฉุกเฉินเกิดขึ้นได้ทั้งนั้น
Q17 : หน้าตาไม่สวย ไม่หล่อสมัครลูกเรือได้หรือเปล่า
A : การเป็นพนักงานต้อนรับบนเครื่องบิน ความสวยหรือความหล่อก็เป็นส่วนหนึ่งที่จะทำให้เรามีความโดดเด่นหากเดินเข้า ไปสมัคร แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าความสวยความหล่อแต่เพียงอย่างเดียวที่จะทำให้เราได้ รับคัดเลือก แต่ยังต้องประกอบไปด้วยส่วนอื่นๆ ด้วย เช่น บุคลิกภาพที่สง่างาม มีจิตใจที่ชอบงานบริการ หรือเป็นคนสุภาพอ่อนโยน ร่าเริงแจ่มใส มีไหวพริบปฏิภาณที่ดี สิ่งต่างๆ เหล่านี้จะเป็นตัวช่วยให้เราสามารถฝ่าฟันด่านการทดสอบต่างๆ ไปได้มากกว่า
Q18 : ทำงานอาชีพนี้ ทางสายการบินมีการกำหนดวันหยุดอย่างไร
A : ในขณะที่คนอื่นได้หยุดในช่วง Long Weekend แต่คนที่ทำงานในอาชีพนี้ไม่ได้หยุดพักต้องทำงานหนักกว่าคนอื่น เพราะเป็นช่วงทำรายได้ให้กับสายการบิน เที่ยวบินก็อาจจะเพิ่มขึ้น การทำงานสายการบินนี้ไม่มีวันหยุดแน่นอน ถ้าอยากทำงานตรงนี้ต้องเข้าใจอย่างหนึ่งว่า วันเสาร์-อาทิตย์ หรือวันหยุดนักขัตฤกษ์เราก็ต้องทำงาน ซึ่งขึ้นอยู่กับตารางการบินแต่อย่างไรก็ตาม ไม่ได้หมายความว่า พนักงานต้อนรับบนเครื่องบินจะต้องบินทุกวันทั้งเดือน เพราะมีการกำหนดชั่วโมงบินไว้ด้วย แถมวันหยุดไม่ได้บินก็มีเวลาพักเดินเล่นต่างประเทศอีกต่างหาก
Q19 : มีความสามารถมากกว่า 3 ภาษา มีโอกาสได้เป็นลูกเรือมากกว่าคนอื่นหรือเปล่า
A : ในบางสายการบินมีการแจ้งในการประกาศรับสมัครว่า หากรู้ภาษาที่ 3 จะได้รับพิจารณาเป็นพิเศษนั่นก็หมายความว่ามีโอกาสมากกว่าแน่นอน และเรื่องของการรู้ภาษาที่ 3 จะมีโอกาสพิเศษกว่าก็ต่อเมื่อกรณีที่ผู้สมัครมีคุณสมบัติเท่ากันทุกประการ แต่อีกคนหนึ่งมีคุณสมบัติที่โดดเด่นกว่าในเรื่องของภาษาที่ 3 กรณีนั้นอาจจะถือว่าเป็นโอกาสที่ได้มากกว่าส่วนคนที่เข้าไปทำงานเป็นแอร์ฯ-สจ๊วดแล้ว จะมีการติดธงภาษา ซึ่งจะบ่งบอกว่าคนๆ นั้นรู้ภาษาแล้วสามารถสื่อสารภาษาอะไรได้บ้าง ถ้าผ่านการทดสอบภาษาที่รู้เพิ่มเติมก็จะได้ค่าตอบแทนเพิ่มขึ้นด้วย (ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับข้อกำหนดของแต่ละสายการบิน)
Q20 : จะสมัครเป็นลูกเรือสายการบินที่ไหนดีระหว่างสายการบินของเอเชียกับสายการบินต่างชาติ
A : แล้วแต่ความต้องการ แต่เราควรจะดูว่าเราเหมาะสมกับสายการบินไหน สายการบินเอเชียกับสายการบินต่างชาติมีสไตล์แตกต่างกัน คุณสมบัติและลักษณะการรับลูกเรือที่เขาต้องการถึงแม้ว่าจะไม่ได้แจ้งเป็นลาย ลักษณ์อักษรว่าต้องการคนที่มีลักษณะ (เฉพาะ) แบบใด แต่สไตล์คนที่รับต่างกัน เช่น สายการบินเอเชียอาจจะชอบคนที่อ่อนโยน นอบน้อม ในขณะที่สายการบินอื่นๆ ชอบคนที่มีความมั่นใจสูงส่วนข้อแนะนำอีกข้อหนึ่งคือ บางสายการบิน มีฐานบินอยู่ที่ต่างประเทศ เพราะฉะนั้นลูกเรือต้องหอบกระเป๋าไปอยู่ที่นั่นด้วย เช่น สายการบินเอมิเรตส์ที่ลูกเรือจะต้องอยู่ประจำที่ดูไบ หรือ Dubai base แต่ไม่ต้องห่วงเรื่องความสะดวกสบาย เพราะเขาจัดที่พักลูกเรือไว้อย่างดีและสิ่งอำนวยความสะดวกที่มีไว้ให้อย่าง เพียบพร้อมแล้ว แค่ต้องคิดดูว่าตัวเราสามารถอยู่ห่างบ้านได้ไหม เท่านั้นล่ะ
วันเสาร์ที่ 22 สิงหาคม พ.ศ. 2552
สบู่เหลวที่คุณใช้อยู่ไม่ใช่สบู่เหลว
ปัจจุบันมีคนที่หันไปนิยมใช้สบู่เหลวอาบน้ำถูตัวกันมากขึ้น ทั้งๆที่สบู่เหลวมีราคาแพงกว่าสบู่ก้อนค่อนข้างมากก็ตาม ส่วนหนึ่งคงเป็นเพราะค่านิยมตามแฟชั่น อีกส่วนหนึ่งคงเป็นเพราะพวกเราถูกทำให้เชื่อตามคำโฆษณาทางสื่อต่างๆ ว่า สบู่เหลวสามารถทำความสะอาดและบำรุงผิวพรรณได้ดีกว่าสบู่ก้อน ซึ่งก็มีส่วนถูกต้องอยู่บ้าง สบู่เหลวมักจะอวดอ้างสรรพคุณในการถนอมผิวพรรณด้วยส่วนผสมที่เป็นสารปรุงแต่งที่ถูกใส่เพิ่มเติมเข้าไปในสบู่เหลว เช่น สมุน ไพร วิตามิน สารเพิ่มความชุ่มชื่น สารฆ่าเชื้อโรค เป็นต้น เพราะในกระบวนการผลิตสบู่เหลวสามารถทำได้ง่ายกว่าในสบู่ก้อน ประกอบกับสีสันที่สดใสหรือฉูดฉาด บรรจุอยู่ในขวดแก้วหรือขวดพลาสติกสวยงามดุน่าใช้กว่าสบู่ก้อน นอกจากนั้นการใช้สบู่เหลวในการอาบน้ำก็ดุจะสะดวกมากกว่าสบู่ก้อนด้วยลักษณะที่เป็นของเหลว และการออกแบบขวดที่มีฝาจุกที่สามารถบีบสบู่เหลวออกมาใช้ได้ง่าย ยิ่งส่งเสริมให้สบู่เหลวเป็นที่นิยมมากขึ้น
การใช้สบู่เหลวในการอาบน้ำถูตัวนั้นสิ้นเปลืองกว่าการใช้สบู่ก้อน ทั้งในแง่ของราคาที่แพงกว่า และในแง่ของปริมาณการใช้แต่ละครั้งก็สิ้นเปลืองกว่าแต่นั่นยังไม่สำคัญเท่ากับข้อเท็จจริงที่เราควรจะรู้ว่า สบู่เหลวเกือบทุกยี่ห้อที่วางขายอยู่ในท้องตลาด หรือทุกขวดที่เราซื้อมาใช้อยู่ทุกวันนี้มัน ไม่ใช่สบู่เหลว แต่เป็น สบู่เหลวเทียม เพราะส่วนผสมที่ใช้ในการผลิตสบู่เหลวที่ขายอยู่ไม่มีส่วนผสมของเนื้อสบู่ (soap) อย่างที่มีอยู่ในสบู่ก้อนแม้แต่น้อย ส่วนผสมหลักที่ใช้ในการผลิตสบู่เหลวชนิดนี้เขาใช้สารเคมีสังเคราะห์ที่เป็น สารซักฟอก (detergent) บวกกับสารเคมีสังเคราะห์อื่นๆ แล้วทำให้อยู่ในรูปของของเหลว และเรียกมันว่า สบู่เหลว (liquid soap) สารซักฟอกนี้มีคุณสมบัติเหมือนกับสบู่คือใช้ชำระล้างทำความสะอาดได้ดี หรือได้ดีกว่าในบางกรณี เช่นใช้ได้ดีกับน้ำกระด้าง
อันที่จริงสบู่เหลวที่เราใช้ถูตัวอยู่นี้ก็คือ แชมพูที่เราใช้สระผมนั่นเอง เพราะส่วนประกอบที่ใช้ในการผลิตกรรมวิธีในการผลิต ตลอดจนคุณสมบัติในการทำความสะอาดนั้นแทบจะเหมือนกันหรือมีความใกล้เคียงกับแชมพูสระผมมาก เพียงแต่ว่าสารเคมีที่ใช้กับสบู่เหลวนั้นมีความเหมาะสมที่จะใช้กับผิวหนังมากกว่า หรือถ้าจะกล่าวต่อไปให้ถึงที่สุดก็อาจกล่าวได้ว่า สบู่เหลวที่เราใช้ถูตัวอยู่นี้ก็คือ น้ำยาทำความสะอาดข้าวของเครื่องใช้ทั่วไปนั่นเอง เพราะสารซักฟอกซึ่งเป็นส่วนประกอบหลักในสบู่เหลว ตัวอย่างเช่น สาร SLS หรือ Sodium Lauryl Sulfate ซึ่งมีคุณสมบัติในการชำระล้างทำความสะอาด เป็นสารเคมีตัวเดียวกันกับที่เขาใช้ใน น้ำยาล้างจาน น้ำยาทำความสะอาดพื้น หรือแม้แต่น้ำยาทำความสะอาดห้องน้ำ เพียงแต่ว่าเกรดและความเข้มข้นของสารเคมีที่ใช้ในสบู่เหลวถูกกำหนดให้มีความเหมาะสมกับผิวหนัง และถูกระบุว่าไม่เป็นอันตรายต่อผู้ใช้
เรื่องอันตรายของการใช้สบู่เหลวถูตัวนี้เป็นเรื่องที่เราควรจะให้ความสนใจเป็นอย่างยิ่ง เพราะยังไม่มีการรับรู้หรือตระหนักกันมากนักถึงผลกระทบของมันว่ามีหรือไม่ หรือมีมากน้อยเพียงใดในเบื้องต้นถึงแม้ว่าสบู่เหลวจะถูกคิดค้นขึ้นมาเพื่อแก้ไขจุดอ่อนของสบู่ก้อนให้มีความระคายเคืองต่อผิว น้อยกว่าสบู่ก้อน เนื่องจากมีค่าความด่าง (pH) อ่อนน้อยกว่าสบู่ก้อน อย่างไรก็ตามเนื่องจากมันเป็นสารเคมีสังเคราะห์จึงอาจระคายเคืองผิวหรือเกิดอาการแพ้สำหรับบางคนได้ ในกรณีนี้ยังไม่ค่อยน่าเป็นห่วงเท่าใด เพราะเป็นอาการที่ปรากฏอยู่ภายนอก เมื่อใช้แล้วเกิดอาการระคายเคืองหรือแพ้ขึ้นมาเราก็จะรู้และสามารถหยุดใช้ได้ทันที แต่ผลกระทบของการใช้สบู่เหลวที่อาจจะเกิดขึ้นในระยะยาว และหากเกิดขึ้นภายในร่างกายของเรานี่สิเป็นเรื่องที่น่าเป็นห่วงเพราะส่วนประกอบหลักที่ใช้ในสบู่เหลวเป็นสารเคมีสังเคราะห์ และสารเคมีสังเคราะห์เหล่านี้มีขนาดที่เล็กมาก เล็กขนาดที่สามารถซึมผ่านผิวหนังเข้าไปในร่างกายของเราได้ หรือยิ่งกว่านั้นสามารถซึมผ่านเข้าสู่เซลล์ของอวัยวะต่างๆ ภายในร่างกาย หรือแม้แต่ซึมเข้าสู่กระแสเลือดได้
การจะดูว่าสสารใดจะเข้าสู่ร่างกายของเราโดยการซึมผ่านผิวหนังเข้าไปได้หรือไม่ ต้องดูที่น้ำหนักโมเลกุลน้ำหนักโมเลกุลของสสารที่จะสามารถซึมผ่านผิวหนังเข้าสู่ร่างกายได้จะต้องต่ำกว่า 3000 น้ำหนักโมเลกุลที่จะซึมเข้าสู่เซลล์ของอวัยวะภายในร่างกายได้จะต้องต่ำกว่า 800 และน้ำโมเลกุลของสสารที่จะซึมเข้าสู่กระแสเลือดได้จะต้องต่ำกว่า 75 สารซักฟอกอย่าง SLS หรือ Sodium Lauryl Sulfate ซึ่งเป็นสารเคมีหลักที่ใช้ในสบู่เหลวส่วนใหญ่ มีน้ำหนักโมเลกุลเพียง 40 สาร SLS นี้จึงสามารถซึมผ่านผิวหนังเข้าสู่เซลล์และกระแสเลือดทุกครั้งที่เราอาบน้ำด้วยสบู่เหลว หรือย่าง PEG : Polyethylene Glycol สารเคมีสังเคราะห์ที่ใช้ผสมลงไปในสบู่เหลว เพื่อให้มีคุณสมบัติเพิ่มความชุ่มชื่นแก่ผิวหนังเมื่อใช้แล้วจะรู้สึกนุ่มนวลต่อผิว น้ำหนักโมเลกุลของ PEG นี้ก็มีเพียง 60 จึงสามารถซึมผ่านผิวหนังเข้าไปสะสมอยู่ในกระแสเลือดของเราได้อย่างสบาย
ดังนั้นโลกทุกวันนี้เป็นโลกของสารเคมีอย่างแท้จริง มิเพียงแต่สารเคมีที่ปนเปื้อนในอาหารที่ผ่านเข้าสู่ร่างกายของเราทางปากโดยการกิน สารเคมีที่ปนเปื้อน ในอากาศที่ผ่านเข้าสู่ร่างกายของเราทางจมูกโดยการหายใจ เรายังรับเอาสารเคมีจำนวนมากมายที่มากับผลิตภัณฑ์ทำความสะอาด และเครื่องสำอางเข้าสู่ร่างกายของเราผ่านทางผิวหนังโดยไม่รู้ตัว เราคงตระหนักดีถึงพิษภัยของสารเคมีอย่าง ยาฆ่าแมลง สารกันบูด สารฟอกขาว สารเร่งเนื้อแดง ฟอร์มาลีนที่ปนเปื้อนอยู่ในพืชผักผลไม้เนื้อสัตว์อาหารทะเลดีว่ามีอันตรายเพียงใด แต่เรายังไม่ค่อยได้รับรู้หรือตระหนักถึงพิษภัยของสารเคมีที่อยู่ในผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดหรือเครื่องสำอาง อย่างเช่นสบู่เหลวที่เรากล่าวถึงในที่นี้ ว่ามันจะมีผลเสียต่อสุขภาพร่างกายของเรามากน้อยเพียงใด แต่ที่แน่นอนก็คือทุกวันนี้สารเคมีเหล่านี้ได้เข้าไปสะสมอยู่ในร่างกายของเราแล้ว รอวันที่จะแสดงผลไม่ช้าก็เร็ว
ขึ้นชื่อว่าสารเคมีสังเคราะห์แล้วหากเข้าสู่ร่างกายของเรา และถ้าร่างกายของเราไม่สามารถขับถ่ายออกไปได้หมดก็จะเกิดการตกค้างสะสมอยู่ใจอวัยวะต่างๆ ภายในร่างกาย โอกาสที่จะทำให้เกิดโรคร้ายอย่าง เนื้อร้าย มะเร็ง อัมพฤต อัมพาต ก็มีมาก ทุกวันนี้เข้าใจว่ายังไม่มีการชี้ชัดว่า สารเคมีสังเคราะห์ที่ใช้ในสบู่เหลว แชมพู ครีมนวดผม หรือเครื่องสำอางอื่นๆ จะเป็นสาเหตุโดยตรงของมะเร็งหรือโรคร้ายอื่นๆ แต่น่าจะสันนิษฐานได้ว่า สารเคมีเหล่านี้น่าจะช่วยกระตุ้นหรือเพิ่มโอกาสเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็ง และโรคร้ายได้มากขึ้น เพราะมีการยืนยันจากนักวิทยาศาสตร์ในยุโรปและอเมริกาที่ได้ทำการวิจัยและออกมากล่าวเตือนผลกระทบของสารเคมีหลักหลายตัว ที่ใช้ในสบู่เหลวแชมพู ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดและเครื่องสำอางว่า สารเคมีเหล่านี้สามารถซึมผ่านผิวหนังเข้าสู่ร่างกายและมีโอกาส ทำให้เกิดสารก่อมะเร็ง ซึ่งจะไปสะสมอยู่ในตับ ไต และกระแสเลือด รัฐบาลในบางประเทศก็ออกประกาศเตือนบริษัทผู้ผลิตบางรายก็พยายามหลีกเลี่ยงและหันไปใช้สารเคมีตัวอื่นหรือสารสกัดจากธรรมชาติแทน แต่บริษัทผู้ผลิตส่วนใหญ่ รวมทั้งบริษัทที่ประกาศตัวว่าใส่ใจเรื่องสุขภาพและสิ่งแวดล้อมก็ยังใช้อยู่ จึงเป็นเรื่องที่ผู้บริโภคต้องให้ความสนใจ ศึกษาหาความรู้ให้มากขึ้นต้องชั่งใจดูว่าจะเชื่อข้อมูลของฝ่ายไหนแต่ก่อนจะตัดสินใจว่าจะยังคงใช้สบู่เหลวที่ซื้อหามาจากท้องตลาดต่อไป หรือหันกลับไปใช้สบู่ก้อน หรือไม่ก็หันไปทำสบู่เหลวธรรมชาติใช้เองซ่ะเลย ก็ลองมาดูข้อมูลต่อไปนี้กันก่อนว่า สารเคมีหลักๆ ที่ใช้ในสบู่เหลวนั้นมีอะไรบ้าง และสารเคมีตัวไหนที่อาจจะมีพิษภัยต่อสุขภาพร่างกายขอ
การใช้สบู่เหลวในการอาบน้ำถูตัวนั้นสิ้นเปลืองกว่าการใช้สบู่ก้อน ทั้งในแง่ของราคาที่แพงกว่า และในแง่ของปริมาณการใช้แต่ละครั้งก็สิ้นเปลืองกว่าแต่นั่นยังไม่สำคัญเท่ากับข้อเท็จจริงที่เราควรจะรู้ว่า สบู่เหลวเกือบทุกยี่ห้อที่วางขายอยู่ในท้องตลาด หรือทุกขวดที่เราซื้อมาใช้อยู่ทุกวันนี้มัน ไม่ใช่สบู่เหลว แต่เป็น สบู่เหลวเทียม เพราะส่วนผสมที่ใช้ในการผลิตสบู่เหลวที่ขายอยู่ไม่มีส่วนผสมของเนื้อสบู่ (soap) อย่างที่มีอยู่ในสบู่ก้อนแม้แต่น้อย ส่วนผสมหลักที่ใช้ในการผลิตสบู่เหลวชนิดนี้เขาใช้สารเคมีสังเคราะห์ที่เป็น สารซักฟอก (detergent) บวกกับสารเคมีสังเคราะห์อื่นๆ แล้วทำให้อยู่ในรูปของของเหลว และเรียกมันว่า สบู่เหลว (liquid soap) สารซักฟอกนี้มีคุณสมบัติเหมือนกับสบู่คือใช้ชำระล้างทำความสะอาดได้ดี หรือได้ดีกว่าในบางกรณี เช่นใช้ได้ดีกับน้ำกระด้าง
อันที่จริงสบู่เหลวที่เราใช้ถูตัวอยู่นี้ก็คือ แชมพูที่เราใช้สระผมนั่นเอง เพราะส่วนประกอบที่ใช้ในการผลิตกรรมวิธีในการผลิต ตลอดจนคุณสมบัติในการทำความสะอาดนั้นแทบจะเหมือนกันหรือมีความใกล้เคียงกับแชมพูสระผมมาก เพียงแต่ว่าสารเคมีที่ใช้กับสบู่เหลวนั้นมีความเหมาะสมที่จะใช้กับผิวหนังมากกว่า หรือถ้าจะกล่าวต่อไปให้ถึงที่สุดก็อาจกล่าวได้ว่า สบู่เหลวที่เราใช้ถูตัวอยู่นี้ก็คือ น้ำยาทำความสะอาดข้าวของเครื่องใช้ทั่วไปนั่นเอง เพราะสารซักฟอกซึ่งเป็นส่วนประกอบหลักในสบู่เหลว ตัวอย่างเช่น สาร SLS หรือ Sodium Lauryl Sulfate ซึ่งมีคุณสมบัติในการชำระล้างทำความสะอาด เป็นสารเคมีตัวเดียวกันกับที่เขาใช้ใน น้ำยาล้างจาน น้ำยาทำความสะอาดพื้น หรือแม้แต่น้ำยาทำความสะอาดห้องน้ำ เพียงแต่ว่าเกรดและความเข้มข้นของสารเคมีที่ใช้ในสบู่เหลวถูกกำหนดให้มีความเหมาะสมกับผิวหนัง และถูกระบุว่าไม่เป็นอันตรายต่อผู้ใช้
เรื่องอันตรายของการใช้สบู่เหลวถูตัวนี้เป็นเรื่องที่เราควรจะให้ความสนใจเป็นอย่างยิ่ง เพราะยังไม่มีการรับรู้หรือตระหนักกันมากนักถึงผลกระทบของมันว่ามีหรือไม่ หรือมีมากน้อยเพียงใดในเบื้องต้นถึงแม้ว่าสบู่เหลวจะถูกคิดค้นขึ้นมาเพื่อแก้ไขจุดอ่อนของสบู่ก้อนให้มีความระคายเคืองต่อผิว น้อยกว่าสบู่ก้อน เนื่องจากมีค่าความด่าง (pH) อ่อนน้อยกว่าสบู่ก้อน อย่างไรก็ตามเนื่องจากมันเป็นสารเคมีสังเคราะห์จึงอาจระคายเคืองผิวหรือเกิดอาการแพ้สำหรับบางคนได้ ในกรณีนี้ยังไม่ค่อยน่าเป็นห่วงเท่าใด เพราะเป็นอาการที่ปรากฏอยู่ภายนอก เมื่อใช้แล้วเกิดอาการระคายเคืองหรือแพ้ขึ้นมาเราก็จะรู้และสามารถหยุดใช้ได้ทันที แต่ผลกระทบของการใช้สบู่เหลวที่อาจจะเกิดขึ้นในระยะยาว และหากเกิดขึ้นภายในร่างกายของเรานี่สิเป็นเรื่องที่น่าเป็นห่วงเพราะส่วนประกอบหลักที่ใช้ในสบู่เหลวเป็นสารเคมีสังเคราะห์ และสารเคมีสังเคราะห์เหล่านี้มีขนาดที่เล็กมาก เล็กขนาดที่สามารถซึมผ่านผิวหนังเข้าไปในร่างกายของเราได้ หรือยิ่งกว่านั้นสามารถซึมผ่านเข้าสู่เซลล์ของอวัยวะต่างๆ ภายในร่างกาย หรือแม้แต่ซึมเข้าสู่กระแสเลือดได้
การจะดูว่าสสารใดจะเข้าสู่ร่างกายของเราโดยการซึมผ่านผิวหนังเข้าไปได้หรือไม่ ต้องดูที่น้ำหนักโมเลกุลน้ำหนักโมเลกุลของสสารที่จะสามารถซึมผ่านผิวหนังเข้าสู่ร่างกายได้จะต้องต่ำกว่า 3000 น้ำหนักโมเลกุลที่จะซึมเข้าสู่เซลล์ของอวัยวะภายในร่างกายได้จะต้องต่ำกว่า 800 และน้ำโมเลกุลของสสารที่จะซึมเข้าสู่กระแสเลือดได้จะต้องต่ำกว่า 75 สารซักฟอกอย่าง SLS หรือ Sodium Lauryl Sulfate ซึ่งเป็นสารเคมีหลักที่ใช้ในสบู่เหลวส่วนใหญ่ มีน้ำหนักโมเลกุลเพียง 40 สาร SLS นี้จึงสามารถซึมผ่านผิวหนังเข้าสู่เซลล์และกระแสเลือดทุกครั้งที่เราอาบน้ำด้วยสบู่เหลว หรือย่าง PEG : Polyethylene Glycol สารเคมีสังเคราะห์ที่ใช้ผสมลงไปในสบู่เหลว เพื่อให้มีคุณสมบัติเพิ่มความชุ่มชื่นแก่ผิวหนังเมื่อใช้แล้วจะรู้สึกนุ่มนวลต่อผิว น้ำหนักโมเลกุลของ PEG นี้ก็มีเพียง 60 จึงสามารถซึมผ่านผิวหนังเข้าไปสะสมอยู่ในกระแสเลือดของเราได้อย่างสบาย
ดังนั้นโลกทุกวันนี้เป็นโลกของสารเคมีอย่างแท้จริง มิเพียงแต่สารเคมีที่ปนเปื้อนในอาหารที่ผ่านเข้าสู่ร่างกายของเราทางปากโดยการกิน สารเคมีที่ปนเปื้อน ในอากาศที่ผ่านเข้าสู่ร่างกายของเราทางจมูกโดยการหายใจ เรายังรับเอาสารเคมีจำนวนมากมายที่มากับผลิตภัณฑ์ทำความสะอาด และเครื่องสำอางเข้าสู่ร่างกายของเราผ่านทางผิวหนังโดยไม่รู้ตัว เราคงตระหนักดีถึงพิษภัยของสารเคมีอย่าง ยาฆ่าแมลง สารกันบูด สารฟอกขาว สารเร่งเนื้อแดง ฟอร์มาลีนที่ปนเปื้อนอยู่ในพืชผักผลไม้เนื้อสัตว์อาหารทะเลดีว่ามีอันตรายเพียงใด แต่เรายังไม่ค่อยได้รับรู้หรือตระหนักถึงพิษภัยของสารเคมีที่อยู่ในผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดหรือเครื่องสำอาง อย่างเช่นสบู่เหลวที่เรากล่าวถึงในที่นี้ ว่ามันจะมีผลเสียต่อสุขภาพร่างกายของเรามากน้อยเพียงใด แต่ที่แน่นอนก็คือทุกวันนี้สารเคมีเหล่านี้ได้เข้าไปสะสมอยู่ในร่างกายของเราแล้ว รอวันที่จะแสดงผลไม่ช้าก็เร็ว
ขึ้นชื่อว่าสารเคมีสังเคราะห์แล้วหากเข้าสู่ร่างกายของเรา และถ้าร่างกายของเราไม่สามารถขับถ่ายออกไปได้หมดก็จะเกิดการตกค้างสะสมอยู่ใจอวัยวะต่างๆ ภายในร่างกาย โอกาสที่จะทำให้เกิดโรคร้ายอย่าง เนื้อร้าย มะเร็ง อัมพฤต อัมพาต ก็มีมาก ทุกวันนี้เข้าใจว่ายังไม่มีการชี้ชัดว่า สารเคมีสังเคราะห์ที่ใช้ในสบู่เหลว แชมพู ครีมนวดผม หรือเครื่องสำอางอื่นๆ จะเป็นสาเหตุโดยตรงของมะเร็งหรือโรคร้ายอื่นๆ แต่น่าจะสันนิษฐานได้ว่า สารเคมีเหล่านี้น่าจะช่วยกระตุ้นหรือเพิ่มโอกาสเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็ง และโรคร้ายได้มากขึ้น เพราะมีการยืนยันจากนักวิทยาศาสตร์ในยุโรปและอเมริกาที่ได้ทำการวิจัยและออกมากล่าวเตือนผลกระทบของสารเคมีหลักหลายตัว ที่ใช้ในสบู่เหลวแชมพู ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดและเครื่องสำอางว่า สารเคมีเหล่านี้สามารถซึมผ่านผิวหนังเข้าสู่ร่างกายและมีโอกาส ทำให้เกิดสารก่อมะเร็ง ซึ่งจะไปสะสมอยู่ในตับ ไต และกระแสเลือด รัฐบาลในบางประเทศก็ออกประกาศเตือนบริษัทผู้ผลิตบางรายก็พยายามหลีกเลี่ยงและหันไปใช้สารเคมีตัวอื่นหรือสารสกัดจากธรรมชาติแทน แต่บริษัทผู้ผลิตส่วนใหญ่ รวมทั้งบริษัทที่ประกาศตัวว่าใส่ใจเรื่องสุขภาพและสิ่งแวดล้อมก็ยังใช้อยู่ จึงเป็นเรื่องที่ผู้บริโภคต้องให้ความสนใจ ศึกษาหาความรู้ให้มากขึ้นต้องชั่งใจดูว่าจะเชื่อข้อมูลของฝ่ายไหนแต่ก่อนจะตัดสินใจว่าจะยังคงใช้สบู่เหลวที่ซื้อหามาจากท้องตลาดต่อไป หรือหันกลับไปใช้สบู่ก้อน หรือไม่ก็หันไปทำสบู่เหลวธรรมชาติใช้เองซ่ะเลย ก็ลองมาดูข้อมูลต่อไปนี้กันก่อนว่า สารเคมีหลักๆ ที่ใช้ในสบู่เหลวนั้นมีอะไรบ้าง และสารเคมีตัวไหนที่อาจจะมีพิษภัยต่อสุขภาพร่างกายขอ
วันศุกร์ที่ 21 สิงหาคม พ.ศ. 2552
คณะศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
คณะศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เป็นส่วนราชการไทยระดับคณะวิชา สังกัดมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ กระทรวงศึกษาธิการ โดยก่อตั้งขึ้นเมื่อ พ.ศ. 2504 มีภารกิจเบื้องต้นในการจัดการเรียนการสอนวิชาพื้นฐานให้แก่นักศึกษาทุกคณะในมหาวิทยาลัยก่อนจะเลือกเข้าศึกษาแขวงวิชาเฉพาะด้านสำหรับคณะตน
คณะศิลปศาสตร์ได้จัดตั้งขึ้นในปี พ.ศ. 2504 ตาม พระราชกิจจานุเบกษา เล่มที่ 78 ตอนที่ 106 วันที่ 19 ธันวาคม 2504 โดยให้เหตุผลในการประกาศในราชกิจจานุเบกษาว่า "เพื่อให้นักศึกษาชั้นปริญญาตรีมีความรู้ภาษาต่างประเทศและความรู้ทั่วไปในด้านวิทยาศาสตร์ สังคมศาสตร์และมนุษยศาสตร์ ให้สูงเพียงพอก่อนที่จะเข้าศึกษาแขนงวิชาเฉพาะด้าน ซึ่งจัดสอนอยู่ในคณะต่างๆ ในมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์" ( ราชกิจจานุเบกษา เล่มที่ 78 ตอนที่ 106 วันที่ 19 ธันวาคม 2504 )
การจัดตั้งคณะศิลปศาสตร์ในครั้งนั้นมีจุดมุ่งหมาย 2 ประการคือ
1.เพื่อจัดสอนวิชาความรู้พื้นฐานทั่วไปทางสังคมศาสตร์ มนุษยศาสตร์และวิทยาศาสตร์แก่นักศึกษาชั้นปริญญาตรีทุกคนของมหาวิทยาลัย ธรรมศาสตร์ เพื่อให้ผู้สำเร็จการศึกษามีความรู้ความเข้าใจอย่างกว้างขวางในสภาพแวดล้อม ทางธรรมชาติและสังคม ตลอดจนมีความเข้าใจในเรื่องจิตใจมนุษย์ เห็นความต่อเนื่องของวิทยาการแขนงต่างๆ ซึ่งก่อให้เกิดวิจารณาญาณอันดี สามารถนำความรู้เฉพาะด้านในแขนงที่ตนศึกษาไปใช้ให้เกิดประโยชน์แก่สังคมให้ ดียิ่งขึ้น
2.เพื่อเปิดสอนจนถึงระดับปริญญาสาขาต่างๆทางด้านมนุษยศาสตร์ สังคมศาสตร์และวิทยาศาสตร์ ที่ยังมิได้มีการจัดสอนในมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ หรือที่มีการจัดสอนแล้วแต่ยังไม่ถึงขึ้นประสาทปริญญา
ฟฟฟฟฟจึงอาจกล่าวได้ว่าคณะศิลปศาสตร์มีปรัชญาการกำเนิดจากหลักสูตรวิชาพื้นฐานทั่วไป และเพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์ดังกล่าว คณะศิลปศาสตร์ได้เริ่มจัดการเรียนการสอนในปี พ.ศ. 2505 โดยกำหนดให้นักศึกษาที่เข้าศึกษาในมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ทุกคนต้องศึกษาในคณะศิลปศาสตร์ ก่อนใน 2 ปีแรก โดยศึกษาวิชาพื้นฐานทั่วไป ซึ่งประกอบด้วยหมวดวิชาวิทยาศาสตร์และคณิตศาสตร์ มนุษยศาสตร์ สังคมศาสตร์ และภาษาต่างประเทศ ก่อนเข้าศึกษาในแขนงวิชาเฉพาะด้านในชั้นปีที่ 3 ซึ่งจัดสอนอยู่ในคณะต่างๆ ในขณะนั้นคือ แขนงวิชานิติศาสตร์ พาณิชยศาสตร์และบัญชี รัฐศาสตร์ เศรษฐศาสตร์ สังคมสงเคราะห์ศาสตร์ ฟฟฟฟฟนอกจากการเปิดสอนหลักสูตรวิชาพื้นฐานทั่วไปในปี พ.ศ. 2505 แล้วคณะศิลปศาสตร์ยังได้ปิดสอนระดับปริญญาตรีโดยได้ผลิตบัณฑิตรุ่นแรกของคณะศิลปศาสตร์ในปี พ.ศ. 2508 จำนวน 71 คน จากสาขาวิชาต่างๆ ดังนี้
1. สาขาคณิตศาสตร์ 2. สาขาบรรณารักษศาสตร์ 3. สาขาวิชาประวัติศาสตร์ 4. สาขาวิชาภาษาศาสตร์ 5. สาขาวิชาสถิติ
aaaaaต่อมา คณะศิลปศาสตร์ได้มีการเปิดสอนระดับปริญญาตรีสาขาวิชาต่างๆเพิ่มขึ้นตามลำดับดังนี้
สาขาวิชา
ปีที่เปิดสอน 1. จิตวิทยา 2507 2. ภาษาและวรรณคดีอังกฤษ 2509 3. ภาษาอังกฤษ 2513 4. ภาษาญี่ปุ่น 2514 5. ปรัชญา 2514 6. ภูมิศาสตร์ 2514 7. ภาษาเยอรมัน 2514 8. ภาษาฝรั่งเศส 2514 9. ภาษาไทย 2515 10. ภาษาจีน 2515 11. ภาษารัสเซีย 2518 12. การละคอน ปัจจุบันสาขาวิชาการละคอนได้โอนไปอยู่ในความรับผิดชอบของ โครงการจัดตั้งคณะศิลปกรรมศาสตร ์ 13. ศาสนา 2525
อนึ่ง คณะศิลปศาสตร์ยังได้เปิดสอนวิชาวิทยาศาสตร์เป็นวิชาเลือก และในปี พ.ศ. 2529 สาขาวิชาคณิตศาสตร์ สาขาวิชาสถิติ และสาขาวิชาวิทยาศาสตร์ได้โอนไปสังกัดคณะวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีและดำเนิน การเรียนการสอน ณ ศูนย์รังสิต
สำหรับในระดับบัณฑิตศึกษานั้น คณะศิลปศาสตร์ได้เปิดสอนครั้งแรกในปี พ.ศ. 2527 จำนวน 2 หลักสูตร คือ 1.หลักสูตรปริญญาโทสาขาวิชาภาษาศาสตร์ (ภาษาไทย) 2.สาขาวิชาประวัติศาสตร์ และต่อมาได้มีการเปิดสอนในระดับบัณฑิตศึกษาเพิ่มขึ้นดังนี้
สาขาวิชา
ปี่ที่เปิดสอน 1. บรรณารักษศาสตร์และสารนิเทศศาสตร์ 2529 2. จิตวิทยาอุตสาหกรรมและองค์การ ในปี 2543 ได้ปรับเปลี่ยนเป็นโครงการพิเศษ (เลี้ยงตัวเอง) 2532 3. ประกาศนียบัตรบัณฑิตทางการแปล ภาษาไทยและภาษาอังกฤษ 2532 4. ประกาศนียบัตรบัณฑิตการแปลภาษาไทยและภาษาฝรั่งเศส ( ปัจจุบันได้ปิดหลักสูตรประกาศนียบัตรบัณฑิตทางการแปลภาษาไทยและ ภาษาฝรั่งเศสและเปิดสอนหลักสูตรปริญญาโท สาขาวิชาการแปลภาษาฝรั่งเศส-ไทยแทน ตั้งแต่ปีการศึกษา 2536 ) 2532 5. ฝรั่งเศสศึกษา 2536 6. จิตวิทยาการปรึกษา 2539 7. ญี่ปุ่นศึกษา 2540 8. พุทธศาสนศึกษา 2540 9. ภาษาไทย 2543 10. ภาษาและวรรณคดีอังกฤษ 2543
[แก้] สาขาวิชา
ปัจจุบันคณะศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ มีการสอนหลากหลายสาขาวิชา ประกอบไปด้วย 14 สาขาวิชา 4 โครงการพิเศษ ดังนี้ หลักสูตรปริญญาตรี
กลุ่มวิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์ สถิติ จิตวิทยา ภูมิศาสตร์ (ปัจจุบันมีสอนเฉพาะภูมิศาสตร์ และจิตวิทยา)
กลุ่มภาษา ได้แก่ ภาษาศาสตร์ ภาษาไทย ภาษาอังกฤษ ภาษาฝรั่งเศส ภาษาจีน ภาษาญี่ปุ่น ภาษาเยอรมัน ภาษารัสเซีย และภาษาและวรรณคดีอังกฤษ
สาขาปรัชญาและศาสนา
สาขาประวัติศาสตร์
สาขาบรรณารักษศาสตร์และสารสนเทศศาสตร์
โครงการอังกฤษและอเมริกันศึกษา หลักสูตรนานาชาติ (British & American Studies)
โครงการเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ศึกษา
โครงการรัสเซียศึกษา
โครงการภาษาอังกฤษเพื่อการสื่อสารธุรกิจ หลักสูตรนานาชาติ (Business English Communication) หรือ BEC
หลักสูตรสาขาวิชาโทศาสนา ภาควิชาปรัชญา
หลักสูตรสาขาวิชาโทสเปนและละตินอเมริกันศึกษา ภาควิชาประวัติศาสตร์
หลักสูตรปริญญาโทใน 12 สาขาวิชาคือ
1. สาขาวิชาภาษาไทย
2. สาขาวิชภาษาและวรรณคดีอังกฤษ
3. สาขาวิชาฝรั่งเศสศึกษา
4. สาขาวิชาการแปลภาษาฝรั่งเศส-ไทย
5. สาขาวิชาญี่ปุ่นศึกษา
6. สาขาวิชาประวัติศาสตร์
7. สาขาวิชาจิตวิทยาการปรึกษา
8. สาขาวิชาจิตวิทยาอุตสาหกรรมและองค์กร
9. สาขาวิชาภาษาศาสตร์เพื่อการสื่อสาร
10. สาขาวิชาพุทธศาสนศึกษา
11. สาขาวิชาบรรณารักษศาสตร์และสารสนเทศศาสตร์
12. สาขาวิชาการแปลภาษาอังกฤษ-ไทย
หลักสูตรปริญญาเอกใน 1 สาขาวิชาคือ
1. สาขาวิชาภาษาศาสตร์
คณะศิลปศาสตร์แบ่งกลุ่มนักศึกษาหรือที่เรียกว่า"โต๊ะ"ออกเป็น 6 กลุ่ม ตามสัญลักษณ์ของคณะศิลปศาสตร์ ดังนี้ 1. จิ๊งหน่อง 2. ลานโพธิ์ 3. สวนศิลป์ 4. จอว์ 5. ลายสือ 6. น้ำพุ เพื่อสะดวกในการให้คำแนะนำหรือให้ปรึกษา การทำกิจกรรมก่อให้เกิดความคุ้นเคยสนิทสนมกลมเกลียวกันระหว่าง"เพื่อนใหม่" ซึ่งเป็นอุดมการณ์ของมหาวิทยาลัยที่ผู้ที่เข้ามาศึกษา ณ มหาวิทยาลัยแห่งนี้มีความเท่าเทียมกัน ไม่มีรุ่นพี่รุ่นน้อง เราคือเพื่อนกัน
คณะศิลปศาสตร์ได้จัดตั้งขึ้นในปี พ.ศ. 2504 ตาม พระราชกิจจานุเบกษา เล่มที่ 78 ตอนที่ 106 วันที่ 19 ธันวาคม 2504 โดยให้เหตุผลในการประกาศในราชกิจจานุเบกษาว่า "เพื่อให้นักศึกษาชั้นปริญญาตรีมีความรู้ภาษาต่างประเทศและความรู้ทั่วไปในด้านวิทยาศาสตร์ สังคมศาสตร์และมนุษยศาสตร์ ให้สูงเพียงพอก่อนที่จะเข้าศึกษาแขนงวิชาเฉพาะด้าน ซึ่งจัดสอนอยู่ในคณะต่างๆ ในมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์" ( ราชกิจจานุเบกษา เล่มที่ 78 ตอนที่ 106 วันที่ 19 ธันวาคม 2504 )
การจัดตั้งคณะศิลปศาสตร์ในครั้งนั้นมีจุดมุ่งหมาย 2 ประการคือ
1.เพื่อจัดสอนวิชาความรู้พื้นฐานทั่วไปทางสังคมศาสตร์ มนุษยศาสตร์และวิทยาศาสตร์แก่นักศึกษาชั้นปริญญาตรีทุกคนของมหาวิทยาลัย ธรรมศาสตร์ เพื่อให้ผู้สำเร็จการศึกษามีความรู้ความเข้าใจอย่างกว้างขวางในสภาพแวดล้อม ทางธรรมชาติและสังคม ตลอดจนมีความเข้าใจในเรื่องจิตใจมนุษย์ เห็นความต่อเนื่องของวิทยาการแขนงต่างๆ ซึ่งก่อให้เกิดวิจารณาญาณอันดี สามารถนำความรู้เฉพาะด้านในแขนงที่ตนศึกษาไปใช้ให้เกิดประโยชน์แก่สังคมให้ ดียิ่งขึ้น
2.เพื่อเปิดสอนจนถึงระดับปริญญาสาขาต่างๆทางด้านมนุษยศาสตร์ สังคมศาสตร์และวิทยาศาสตร์ ที่ยังมิได้มีการจัดสอนในมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ หรือที่มีการจัดสอนแล้วแต่ยังไม่ถึงขึ้นประสาทปริญญา
ฟฟฟฟฟจึงอาจกล่าวได้ว่าคณะศิลปศาสตร์มีปรัชญาการกำเนิดจากหลักสูตรวิชาพื้นฐานทั่วไป และเพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์ดังกล่าว คณะศิลปศาสตร์ได้เริ่มจัดการเรียนการสอนในปี พ.ศ. 2505 โดยกำหนดให้นักศึกษาที่เข้าศึกษาในมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ทุกคนต้องศึกษาในคณะศิลปศาสตร์ ก่อนใน 2 ปีแรก โดยศึกษาวิชาพื้นฐานทั่วไป ซึ่งประกอบด้วยหมวดวิชาวิทยาศาสตร์และคณิตศาสตร์ มนุษยศาสตร์ สังคมศาสตร์ และภาษาต่างประเทศ ก่อนเข้าศึกษาในแขนงวิชาเฉพาะด้านในชั้นปีที่ 3 ซึ่งจัดสอนอยู่ในคณะต่างๆ ในขณะนั้นคือ แขนงวิชานิติศาสตร์ พาณิชยศาสตร์และบัญชี รัฐศาสตร์ เศรษฐศาสตร์ สังคมสงเคราะห์ศาสตร์ ฟฟฟฟฟนอกจากการเปิดสอนหลักสูตรวิชาพื้นฐานทั่วไปในปี พ.ศ. 2505 แล้วคณะศิลปศาสตร์ยังได้ปิดสอนระดับปริญญาตรีโดยได้ผลิตบัณฑิตรุ่นแรกของคณะศิลปศาสตร์ในปี พ.ศ. 2508 จำนวน 71 คน จากสาขาวิชาต่างๆ ดังนี้
1. สาขาคณิตศาสตร์ 2. สาขาบรรณารักษศาสตร์ 3. สาขาวิชาประวัติศาสตร์ 4. สาขาวิชาภาษาศาสตร์ 5. สาขาวิชาสถิติ
aaaaaต่อมา คณะศิลปศาสตร์ได้มีการเปิดสอนระดับปริญญาตรีสาขาวิชาต่างๆเพิ่มขึ้นตามลำดับดังนี้
สาขาวิชา
ปีที่เปิดสอน 1. จิตวิทยา 2507 2. ภาษาและวรรณคดีอังกฤษ 2509 3. ภาษาอังกฤษ 2513 4. ภาษาญี่ปุ่น 2514 5. ปรัชญา 2514 6. ภูมิศาสตร์ 2514 7. ภาษาเยอรมัน 2514 8. ภาษาฝรั่งเศส 2514 9. ภาษาไทย 2515 10. ภาษาจีน 2515 11. ภาษารัสเซีย 2518 12. การละคอน ปัจจุบันสาขาวิชาการละคอนได้โอนไปอยู่ในความรับผิดชอบของ โครงการจัดตั้งคณะศิลปกรรมศาสตร ์ 13. ศาสนา 2525
อนึ่ง คณะศิลปศาสตร์ยังได้เปิดสอนวิชาวิทยาศาสตร์เป็นวิชาเลือก และในปี พ.ศ. 2529 สาขาวิชาคณิตศาสตร์ สาขาวิชาสถิติ และสาขาวิชาวิทยาศาสตร์ได้โอนไปสังกัดคณะวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีและดำเนิน การเรียนการสอน ณ ศูนย์รังสิต
สำหรับในระดับบัณฑิตศึกษานั้น คณะศิลปศาสตร์ได้เปิดสอนครั้งแรกในปี พ.ศ. 2527 จำนวน 2 หลักสูตร คือ 1.หลักสูตรปริญญาโทสาขาวิชาภาษาศาสตร์ (ภาษาไทย) 2.สาขาวิชาประวัติศาสตร์ และต่อมาได้มีการเปิดสอนในระดับบัณฑิตศึกษาเพิ่มขึ้นดังนี้
สาขาวิชา
ปี่ที่เปิดสอน 1. บรรณารักษศาสตร์และสารนิเทศศาสตร์ 2529 2. จิตวิทยาอุตสาหกรรมและองค์การ ในปี 2543 ได้ปรับเปลี่ยนเป็นโครงการพิเศษ (เลี้ยงตัวเอง) 2532 3. ประกาศนียบัตรบัณฑิตทางการแปล ภาษาไทยและภาษาอังกฤษ 2532 4. ประกาศนียบัตรบัณฑิตการแปลภาษาไทยและภาษาฝรั่งเศส ( ปัจจุบันได้ปิดหลักสูตรประกาศนียบัตรบัณฑิตทางการแปลภาษาไทยและ ภาษาฝรั่งเศสและเปิดสอนหลักสูตรปริญญาโท สาขาวิชาการแปลภาษาฝรั่งเศส-ไทยแทน ตั้งแต่ปีการศึกษา 2536 ) 2532 5. ฝรั่งเศสศึกษา 2536 6. จิตวิทยาการปรึกษา 2539 7. ญี่ปุ่นศึกษา 2540 8. พุทธศาสนศึกษา 2540 9. ภาษาไทย 2543 10. ภาษาและวรรณคดีอังกฤษ 2543
[แก้] สาขาวิชา
ปัจจุบันคณะศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ มีการสอนหลากหลายสาขาวิชา ประกอบไปด้วย 14 สาขาวิชา 4 โครงการพิเศษ ดังนี้ หลักสูตรปริญญาตรี
กลุ่มวิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์ สถิติ จิตวิทยา ภูมิศาสตร์ (ปัจจุบันมีสอนเฉพาะภูมิศาสตร์ และจิตวิทยา)
กลุ่มภาษา ได้แก่ ภาษาศาสตร์ ภาษาไทย ภาษาอังกฤษ ภาษาฝรั่งเศส ภาษาจีน ภาษาญี่ปุ่น ภาษาเยอรมัน ภาษารัสเซีย และภาษาและวรรณคดีอังกฤษ
สาขาปรัชญาและศาสนา
สาขาประวัติศาสตร์
สาขาบรรณารักษศาสตร์และสารสนเทศศาสตร์
โครงการอังกฤษและอเมริกันศึกษา หลักสูตรนานาชาติ (British & American Studies)
โครงการเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ศึกษา
โครงการรัสเซียศึกษา
โครงการภาษาอังกฤษเพื่อการสื่อสารธุรกิจ หลักสูตรนานาชาติ (Business English Communication) หรือ BEC
หลักสูตรสาขาวิชาโทศาสนา ภาควิชาปรัชญา
หลักสูตรสาขาวิชาโทสเปนและละตินอเมริกันศึกษา ภาควิชาประวัติศาสตร์
หลักสูตรปริญญาโทใน 12 สาขาวิชาคือ
1. สาขาวิชาภาษาไทย
2. สาขาวิชภาษาและวรรณคดีอังกฤษ
3. สาขาวิชาฝรั่งเศสศึกษา
4. สาขาวิชาการแปลภาษาฝรั่งเศส-ไทย
5. สาขาวิชาญี่ปุ่นศึกษา
6. สาขาวิชาประวัติศาสตร์
7. สาขาวิชาจิตวิทยาการปรึกษา
8. สาขาวิชาจิตวิทยาอุตสาหกรรมและองค์กร
9. สาขาวิชาภาษาศาสตร์เพื่อการสื่อสาร
10. สาขาวิชาพุทธศาสนศึกษา
11. สาขาวิชาบรรณารักษศาสตร์และสารสนเทศศาสตร์
12. สาขาวิชาการแปลภาษาอังกฤษ-ไทย
หลักสูตรปริญญาเอกใน 1 สาขาวิชาคือ
1. สาขาวิชาภาษาศาสตร์
คณะศิลปศาสตร์แบ่งกลุ่มนักศึกษาหรือที่เรียกว่า"โต๊ะ"ออกเป็น 6 กลุ่ม ตามสัญลักษณ์ของคณะศิลปศาสตร์ ดังนี้ 1. จิ๊งหน่อง 2. ลานโพธิ์ 3. สวนศิลป์ 4. จอว์ 5. ลายสือ 6. น้ำพุ เพื่อสะดวกในการให้คำแนะนำหรือให้ปรึกษา การทำกิจกรรมก่อให้เกิดความคุ้นเคยสนิทสนมกลมเกลียวกันระหว่าง"เพื่อนใหม่" ซึ่งเป็นอุดมการณ์ของมหาวิทยาลัยที่ผู้ที่เข้ามาศึกษา ณ มหาวิทยาลัยแห่งนี้มีความเท่าเทียมกัน ไม่มีรุ่นพี่รุ่นน้อง เราคือเพื่อนกัน
วันพุธที่ 19 สิงหาคม พ.ศ. 2552
มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
มหาวิทยาลัยวิชาธรรมศาสตร์และการเมืองถือได้ว่าเป็นผลพวงหรือ “คู่แฝด” ของการปฏิวัติเปลี่ยนแปลงการปกครองจากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์มาสู่ระบอบประชาธิปไตยในประเทศไทย เมื่อวันที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2475 โดยในคำประกาศของคณะราษฎรในวันยึดอำนาจกล่าวว่า การที่ราษฎรยังถูกดูหมิ่นว่ายังโง่อยู่ ไม่พร้อมกับระบอบประชาธิปไตยนั้น “เป็นเพราะขาดการศึกษาที่พวกเจ้าปกปิดไว้ไม่ให้เรียนเต็มที่”[4] นโยบายหรือหลักประการที่ 6 ใน หลัก 6 ประการของคณะราษฎร จึงระบุไว้ว่า “จะต้องให้การศึกษาอย่างเต็มที่แก่ราษฎร”[4] สถาบันศึกษาแบบใหม่ที่เปิดกว้างให้ประชาชนชาวสยามได้รับการศึกษาชั้นสูง โดยเฉพาะที่จะรองรับการปกครองบ้านเมืองที่เปลี่ยนไป จึงเป็นสิ่งที่จำเป็นต้องมาคู่กันกับการเปลี่ยนแปลงการปกครอง ดังที่ปรีดี พนมยงค์ ได้กล่าวไว้ในโอกาสจัดตั้งมหาวิทยาลัยว่า “การตั้งสถานศึกษาตามลักษณะมหาวิทยาลัยย่อมเป็นเครื่องพิสูจน์ และเป็นปัจจัยในการแสดงความก้าวหน้าของประเทศ ประชาชนชาวสยามจะเจริญในอารยธรรมได้ก็โดยอาศัยการศึกษาอันดีตั้งแต่ชั้นต่ำ ตลอดจนการศึกษาชั้นสูง เพราะฉะนั้นการที่จะอำนวยความประสงค์และประโยชน์ของราษฎรในสมัยนี้ จึงจำต้องมีสถานการศึกษาให้ครบบริบูรณ์ทุกชั้น” และ “มหาวิทยาลัยย่อมอุปมาประดุจบ่อน้ำบำบัดความกระหายของราษฎร ผู้สมัครแสวงหาความรู้อันเป็นสิทธิและโอกาสที่เขาควรมีควรได้ตามหลักแห่งเสรีภาพในการศึกษา รัฐบาลและสภาผู้แทนราษฎรเห็นความจำเป็นในข้อนี้ จึงได้ตราพระราชบัญญัติจัดตั้งมหาวิทยาลัยขึ้น”[1][5]
อีกแรงผลักดันหนึ่งที่ทำให้เกิดการก่อตั้ง มธก. ขึ้น อาจมาจากกลุ่มอดีตนักเรียนโรงเรียนกฎหมายของกระทรวงยุติธรรม กล่าวคือใน พ.ศ. 2476 รัฐบาลอนุรักษนิยมช่วงเปลี่ยนผ่านของพระยามโนปกรณ์นิติธาดา โรงเรียนกฎหมายของกระทรวงยุติธรรมได้ถูกโอนไปขึ้นกับคณะรัฐศาสตร์และนิติศาสตร์ของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยอยู่หนึ่งปี[6] ซึ่งสร้างความไม่พอใจให้แก่นักเรียนโรงเรียนกฎหมาย ที่ต้องการให้ยกฐานะโรงเรียนของตนเป็นมหาวิทยาลัยดังเช่นจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย แต่กลับถูกทำให้เสมือนถูกยุบหายไป จึงมีผลผลักดันให้นักเรียนกฎหมายดังกล่าวเคลื่อนไหวหนุนให้มีการก่อตั้ง มธก. ขึ้น[1] โดยเมื่อจัดตั้งมหาวิทยาลัยวิชาธรรมศาสตร์และการเมืองนั้น ได้โอนทรัพย์สินตลอดจนคณาจารย์ของโรงเรียนกฎหมายเดิม เข้ามาสังกัดในมหาวิทยาลัยใหม่นี้ด้วย[7]
ด้วยเหตุทั้งหมดนี้ มหาวิทยาลัยวิชาธรรมศาสตร์และการเมืองจึงได้สถาปนาขึ้นเมื่อวันที่ 27 มิถุนายน พ.ศ. 2477 ณ ที่ตั้งเก่าของโรงเรียนกฎหมาย บนถนนราชดำเนิน เชิงสะพานผ่านพิภพลีลา[1] โดยมีสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้ากรมพระนริศรานุวัดติวงศ์ ผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ในพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวทำพิธีเปิดมหาวิทยาลัย[8][9]
ในช่วงเวลา 2 ปีแรก (พ.ศ. 2477-2479) การเรียนการสอนของมหาวิทยาลัยยังคงดำเนินอยู่ที่ตึกโรงเรียนกฎหมายเดิม หลังจากนั้นจึงได้ย้ายมาที่บริเวณวังหน้า ท่าพระจันทร์ ดังเช่นในปัจจุบัน[1] และต่อมาได้มีการขยายการเรียนการสอนออกไปที่จังหวัดปทุมธานี ลำปาง ชลบุรี นราธิวาส และอุดรธานี
แต่เดิมเมื่อเริ่มก่อตั้งมหาวิทยาลัยวิชาธรรมศาสตร์และการเมืองนั้น ในระดับปริญญาตรีมีเปิดสอนเพียงหลักสูตรเดียวคือ "ธรรมศาสตร์บัณฑิต" (ธ.บ.) ซึ่งเน้นวิชากฎหมาย รวมถึงกฎหมายที่เป็นเรื่องใหม่ในขณะนั้นคือกฎหมายรัฐธรรมนูญ[1] และมีวิชารัฐศาสตร์และวิชาเศรษฐศาสตร์แทรกอยู่ด้วย[3][10] ส่วนในระดับปริญญาโทนั้นมีแยกสามแขนงคือ นิติศาสตร์ รัฐศาสตร์ เศรษฐศาสตร์ และต่อมาได้มีหลักสูตรประกาศนียบัตรชั้นสูงทางการบัญชีซึ่งเทียบเท่าปริญญาโท และในระดับระดับปริญญาเอกมีสี่แขนงคือ นิติศาสตร์ รัฐศาสตร์ เศรษฐศาสตร์ และการทูต แต่ใน พ.ศ. 2492 ภายหลังการเปลี่ยนแปลงทางการเมือง หลักสูตรธรรมศาสตร์บัณฑิตก็ได้ถูกยกเลิกไป และเปลี่ยนเป็นหลักสูตรปริญญาตรีเฉพาะทางในสาขาต่าง ๆ แทน ตาม “ข้อบังคับเพิ่มเติมว่าด้วยการแบ่งแยกการศึกษาเป็น 4 คณะ ได้แก่ คณะนิติศาสตร์ คณะพานิชยศาสตร์และการบัญชี คณะรัฐศาสตร์ และคณะเศรษฐศาสตร์ และกำหนดสมัยการศึกษาและการสอบไล่ พ.ศ. 2492”[3]
ปัจจุบันมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์จัดการศึกษาครอบคลุมทางด้านสังคมศาสตร์และมนุษยศาสตร์ วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี และวิทยาศาสตร์สุขภาพ ทุกระดับจำนวนทั้งสิ้น 256 หลักสูตร เป็นระดับปริญญาตรี 111 หลักสูตร ประกาศนียบัตรบัณฑิต 8 หลักสูตร ปริญญาตรีควบปริญญาโท 4 หลักสูตร ปริญญาโท 99 หลักสูตร และปริญญาเอก 34 หลักสูตร จัดการศึกษาทั้งภาคกลางวันและภาคค่ำ (ข้อมูลปี พ.ศ. 2550[11])
[แก้] กลุ่มสังคมศาสตร์และมนุษยศาสตร์
คณะนิติศาสตร์
คณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชี
คณะรัฐศาสตร์
คณะเศรษฐศาสตร์
คณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์
คณะศิลปศาสตร์
คณะวารสารศาสตร์และสื่อสารมวลชน
คณะสังคมวิทยาและมานุษยวิทยา
คณะศิลปกรรมศาสตร์
วิทยาลัยสหวิทยาการ
วิทยาลัยนานาชาติปรีดี พนมยงค์
[แก้] กลุ่มวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
คณะวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
คณะวิศวกรรมศาสตร์
คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์และการผังเมือง
สถาบันเทคโนโลยีนานาชาติสิรินธร
[แก้] กลุ่มวิทยาศาสตร์สุขภาพ
คณะแพทยศาสตร์
คณะสหเวชศาสตร์
คณะทันตแพทยศาสตร์
คณะพยาบาลศาสตร์
คณะสาธารณสุขศาสตร์
นอกจากนี้ ยังมีหลายหน่วยงานที่จัดหลักสูตรการเรียนการสอนสำหรับนักศึกษา อาทิ สถาบันภาษา, กองกิจการนักศึกษา เป็นต้น อีกทั้งทางมหาวิทยาลัยยังมีหน่วยงานที่จัดการเรียนการสอนเฉพาะระดับสูงกว่าปริญญาตรีอีกด้วย อันได้แก่ วิทยาลัยนวัตกรรมอุดมศึกษา มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และสำนักบัณฑิตอาสาสมัคร
[แก้] หลักสูตรนานาชาติ
นอกจาก วิทยาลัยนานาชาติปรีดี พนมยงค์ ซึ่งเป็นวิทยาลัยนานาชาติของมหาวิทยาลัยแล้ว[12][13] คณะต่าง ๆ ได้จัดหลักสูตรการเรียนการสอนนานาชาติสำหรับนักศึกษาทั้งชาวไทยและต่างประเทศหลายหลักสูตรด้วยกัน โดยคณะที่เปิดหลักสูตรในลักษณะดังกล่าว ได้แก่ คณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชี, คณะรัฐศาสตร์, คณะเศรษฐศาสตร์, คณะศิลปศาสตร์, คณะวารสารศาสตร์และสื่อสารมวลชน, คณะวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี, คณะวิศวกรรมศาสตร์, และสถาบันเทคโนโลยีนานาชาติสิรินธร
อีกแรงผลักดันหนึ่งที่ทำให้เกิดการก่อตั้ง มธก. ขึ้น อาจมาจากกลุ่มอดีตนักเรียนโรงเรียนกฎหมายของกระทรวงยุติธรรม กล่าวคือใน พ.ศ. 2476 รัฐบาลอนุรักษนิยมช่วงเปลี่ยนผ่านของพระยามโนปกรณ์นิติธาดา โรงเรียนกฎหมายของกระทรวงยุติธรรมได้ถูกโอนไปขึ้นกับคณะรัฐศาสตร์และนิติศาสตร์ของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยอยู่หนึ่งปี[6] ซึ่งสร้างความไม่พอใจให้แก่นักเรียนโรงเรียนกฎหมาย ที่ต้องการให้ยกฐานะโรงเรียนของตนเป็นมหาวิทยาลัยดังเช่นจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย แต่กลับถูกทำให้เสมือนถูกยุบหายไป จึงมีผลผลักดันให้นักเรียนกฎหมายดังกล่าวเคลื่อนไหวหนุนให้มีการก่อตั้ง มธก. ขึ้น[1] โดยเมื่อจัดตั้งมหาวิทยาลัยวิชาธรรมศาสตร์และการเมืองนั้น ได้โอนทรัพย์สินตลอดจนคณาจารย์ของโรงเรียนกฎหมายเดิม เข้ามาสังกัดในมหาวิทยาลัยใหม่นี้ด้วย[7]
ด้วยเหตุทั้งหมดนี้ มหาวิทยาลัยวิชาธรรมศาสตร์และการเมืองจึงได้สถาปนาขึ้นเมื่อวันที่ 27 มิถุนายน พ.ศ. 2477 ณ ที่ตั้งเก่าของโรงเรียนกฎหมาย บนถนนราชดำเนิน เชิงสะพานผ่านพิภพลีลา[1] โดยมีสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้ากรมพระนริศรานุวัดติวงศ์ ผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ในพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวทำพิธีเปิดมหาวิทยาลัย[8][9]
ในช่วงเวลา 2 ปีแรก (พ.ศ. 2477-2479) การเรียนการสอนของมหาวิทยาลัยยังคงดำเนินอยู่ที่ตึกโรงเรียนกฎหมายเดิม หลังจากนั้นจึงได้ย้ายมาที่บริเวณวังหน้า ท่าพระจันทร์ ดังเช่นในปัจจุบัน[1] และต่อมาได้มีการขยายการเรียนการสอนออกไปที่จังหวัดปทุมธานี ลำปาง ชลบุรี นราธิวาส และอุดรธานี
แต่เดิมเมื่อเริ่มก่อตั้งมหาวิทยาลัยวิชาธรรมศาสตร์และการเมืองนั้น ในระดับปริญญาตรีมีเปิดสอนเพียงหลักสูตรเดียวคือ "ธรรมศาสตร์บัณฑิต" (ธ.บ.) ซึ่งเน้นวิชากฎหมาย รวมถึงกฎหมายที่เป็นเรื่องใหม่ในขณะนั้นคือกฎหมายรัฐธรรมนูญ[1] และมีวิชารัฐศาสตร์และวิชาเศรษฐศาสตร์แทรกอยู่ด้วย[3][10] ส่วนในระดับปริญญาโทนั้นมีแยกสามแขนงคือ นิติศาสตร์ รัฐศาสตร์ เศรษฐศาสตร์ และต่อมาได้มีหลักสูตรประกาศนียบัตรชั้นสูงทางการบัญชีซึ่งเทียบเท่าปริญญาโท และในระดับระดับปริญญาเอกมีสี่แขนงคือ นิติศาสตร์ รัฐศาสตร์ เศรษฐศาสตร์ และการทูต แต่ใน พ.ศ. 2492 ภายหลังการเปลี่ยนแปลงทางการเมือง หลักสูตรธรรมศาสตร์บัณฑิตก็ได้ถูกยกเลิกไป และเปลี่ยนเป็นหลักสูตรปริญญาตรีเฉพาะทางในสาขาต่าง ๆ แทน ตาม “ข้อบังคับเพิ่มเติมว่าด้วยการแบ่งแยกการศึกษาเป็น 4 คณะ ได้แก่ คณะนิติศาสตร์ คณะพานิชยศาสตร์และการบัญชี คณะรัฐศาสตร์ และคณะเศรษฐศาสตร์ และกำหนดสมัยการศึกษาและการสอบไล่ พ.ศ. 2492”[3]
ปัจจุบันมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์จัดการศึกษาครอบคลุมทางด้านสังคมศาสตร์และมนุษยศาสตร์ วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี และวิทยาศาสตร์สุขภาพ ทุกระดับจำนวนทั้งสิ้น 256 หลักสูตร เป็นระดับปริญญาตรี 111 หลักสูตร ประกาศนียบัตรบัณฑิต 8 หลักสูตร ปริญญาตรีควบปริญญาโท 4 หลักสูตร ปริญญาโท 99 หลักสูตร และปริญญาเอก 34 หลักสูตร จัดการศึกษาทั้งภาคกลางวันและภาคค่ำ (ข้อมูลปี พ.ศ. 2550[11])
[แก้] กลุ่มสังคมศาสตร์และมนุษยศาสตร์
คณะนิติศาสตร์
คณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชี
คณะรัฐศาสตร์
คณะเศรษฐศาสตร์
คณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์
คณะศิลปศาสตร์
คณะวารสารศาสตร์และสื่อสารมวลชน
คณะสังคมวิทยาและมานุษยวิทยา
คณะศิลปกรรมศาสตร์
วิทยาลัยสหวิทยาการ
วิทยาลัยนานาชาติปรีดี พนมยงค์
[แก้] กลุ่มวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
คณะวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
คณะวิศวกรรมศาสตร์
คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์และการผังเมือง
สถาบันเทคโนโลยีนานาชาติสิรินธร
[แก้] กลุ่มวิทยาศาสตร์สุขภาพ
คณะแพทยศาสตร์
คณะสหเวชศาสตร์
คณะทันตแพทยศาสตร์
คณะพยาบาลศาสตร์
คณะสาธารณสุขศาสตร์
นอกจากนี้ ยังมีหลายหน่วยงานที่จัดหลักสูตรการเรียนการสอนสำหรับนักศึกษา อาทิ สถาบันภาษา, กองกิจการนักศึกษา เป็นต้น อีกทั้งทางมหาวิทยาลัยยังมีหน่วยงานที่จัดการเรียนการสอนเฉพาะระดับสูงกว่าปริญญาตรีอีกด้วย อันได้แก่ วิทยาลัยนวัตกรรมอุดมศึกษา มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และสำนักบัณฑิตอาสาสมัคร
[แก้] หลักสูตรนานาชาติ
นอกจาก วิทยาลัยนานาชาติปรีดี พนมยงค์ ซึ่งเป็นวิทยาลัยนานาชาติของมหาวิทยาลัยแล้ว[12][13] คณะต่าง ๆ ได้จัดหลักสูตรการเรียนการสอนนานาชาติสำหรับนักศึกษาทั้งชาวไทยและต่างประเทศหลายหลักสูตรด้วยกัน โดยคณะที่เปิดหลักสูตรในลักษณะดังกล่าว ได้แก่ คณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชี, คณะรัฐศาสตร์, คณะเศรษฐศาสตร์, คณะศิลปศาสตร์, คณะวารสารศาสตร์และสื่อสารมวลชน, คณะวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี, คณะวิศวกรรมศาสตร์, และสถาบันเทคโนโลยีนานาชาติสิรินธร
วันจันทร์ที่ 17 สิงหาคม พ.ศ. 2552
หลักในการเลือกซื้อ Printer
หลักในการเลือกซื้อ Printer
ถ้ากาแฟคู่กับครีมเทียมฉันใด คอมพิวเตอร์ก็คู่กับพริ้นเตอร์ฉันนั้น อุปกรณ์ทั้งสองอย่าง ล้วนต้องพึ่งพากันและกัน ถ้าแยกหมู่ต่างคนต่างทำ งานก็ไม่สำเร็จ คุณภาพก็ไม่เต็มร้อย แต่การซื้อพริ้นเตอร์มาใช้สักเครื่องจะต้องคำนึงถึงเรื่องอะไรบ้าง ถ้าอย่างนั้นเรามาทำความรู้จักกับพริ้นเตอร์กันก่อนดีกว่านะคะเราสามารถจัดแบ่งพริ้นเตอร์ออกเป็น 3 ประเภทดังนี้
ดอตเมทริกซ์
เอกลักษณ์ของพรินเตอร์ประเภทนี้ก็คือเวลาพิมพ์จะมีเสียงดัง ต๊อกแต๊กๆ เหตุที่เครื่องมันดังเช่นนี้ก็เพราะมันใช้หลักการทำงานแบบหัวเข็มกระแทกคล้ายเครื่องพิมพ์ดีด นิยมใช้พิมพ์งานที่ต้องการสำเนา เช่น ใบเสร็จรับเงิน , ใบวางบิล ฯลฯ พริ้นเตอร์ประเภทนี้มีข้อดีหลายอย่าง เช่น พิมพ์กระดาษต่อเนื่องได้ หมึกก็ใช้ไม่เยอะเลยทำให้ต้นทุนในการพิมพ์ต่อหน่วยต่ำ ฯลฯ เครื่องพิมพ์ประเภทนี้ไม่เหมาะที่จะพิมพ์งานที่ต้องการความละเอียดสูงๆ นะคะ
เครื่องดอตเมทริกซ์ นั้นมี 2 แบบ คือแคร่สั้นและยาว มีเข็มสำหรับพิมพ์ 9 และ 24 เข็มให้เลือก เวลาเลือกให้ดูเรื่อง ความเร็วในการพิมพ์ด้วย (เป็นตัวอักษรต่อนาที) ยิ่งมีความเร็วก็สามารถพิมพ์งานได้มากขึ้น ความเร็วที่ทั่วไปอยู่ที่ประมาณ 390 ตัวอักษรต่อนาที สิ่งที่ต้องพิจารณาต่อไปก็คือ ความละเอียดความละเอียดในการพิมพ์ ถ้าต้องการงานที่ละเอียดมากก็ให้เลือกเครื่องที่มีจำนวนหัวเข็มมาก ส่วนการเชื่อมต่อกับคอมพิวเตอร์ส่วนใหญ่จะเป็นอินเทอร์เฟซแบบพาราเรล พอร์ต มาดูกันที่ราคาบ้าง ถ้าเป็นแบบ 9 เข็ม ราคาจะอยู่ในช่วงประมาณ เจ็ดพันถึงหนึ่งหมื่นสองพันบาท แต่ถ้าเป็นแบบ 24 เข็ม ก็เป็นราคาหลักหนึ่งหมื่นเป็นต้นไป
เลเซอร์พริ้นเตอร์
คุณภาพของงานที่พิมพ์ด้วยเลเซอร์พรินเตอร์ จะมีความคมชัดมากกว่า เครื่องพิมพ์ดอตเมทริกซ์ เพราะใช้เทคโนโลยีคล้ายกับ การทำงานของเครื่องถ่ายเอกสาร เลเซอร์พริ้นเตอร์ส่วนใหญ่จะพิมพ์ภาพขาวดำได้ดี ต้นทุนต่อแผ่นไม่สูงมากนัก แต่ถ้าจะพิมพ์สีก็ต้องลงทุนเพิ่มอีกเยอะพอสมควร ถ้าไม่จำเป็นจริงๆ ไม่แนะนำให้พริ้นเลเซอร์สีคะ
เวลาเลือกซื้อพริ้นเตอร์ประเภทนี้ ต้องให้ความสำคัญกับความละเอียดก่อนเรื่องอื่น มาตรฐานของความละเอียดที่ 600x600 dpi และ 600 x 1200 dpi แต่ก็มีรุ่นอื่นๆ ที่มีความละเอียดมากกว่ามาตรฐาน ซึ่งก็จะมีราคาสูงตามไปด้วย ราคาของเลเซอร์พริ้นเตอร์ที่มีความละเอียด 600x600 และ 600x1200 dpi ก็จะอยู่ประมาณ 10,000-15,000 บาท ปัจจัยต่อมาก็ต้องพิจารณาความเร็วในการพิมพ์เหมือนกับพริ้นเตอร์ประเภทอื่น ด้วยการจับเวลาในการพิมพ์ ว่าในหนึ่งนาทีเครื่องจะพิมพ์ขาว-ดำ และสี ได้กี่หน้า เท่าที่ทดสอบกันมาก็มีตั้งแต่ 4 หน้าขึ้นไป มีเครื่องบางรุ่นเหมือนกันที่พิมพ์เร็วเหลือเกินได้ถึง 32 หน้าต่อนาที (ขาวดำ) แต่เป็นงานเอกสารที่ไม่ใช่รูปนะคะ
เรื่องต่อมาก็ต้องดูว่าหน่วยความจำที่ติดตั้งมากับเครื่องมีเท่าไหร่ ถ้ามีน้อย (บางรุ่นมีแค่ 256 กิโลไบต์) ก็จะส่งผลต่อความสามารถในการพิมพ์ จนบางครั้งพิมพ์ไม่ได้เลยทีเดียว แต่เลเซอร์ในปัจจุบันส่วนมากจะมีหน่วยความจำ เป็นมาตรฐานประมาณ 4-8 เมกะไบต์
อิงค์เจ็ต
พรินเตอร์ระบบพ่นหมึก ที่มาแรงมาก มีจำนวนผู้ใช้แซงพริ้นเตอร์ทั้งสองประเภทข้างต้นแล้ว ด้วยความเฉียบในการพิมพ์ ทั้งเอกสารและภาพทั้งานพิมพ์สีและขาว-ดำ แถมยังมีต้นทุนต่อหน่วยต่ำด้วย ก็เลยไม่แปลกใจว่า ทำไมเดี๋ยวนี้ใครๆ ถึงได้ใช้อิงค์เจ็ตกันทั่วบ้านทั่วเมือง นอกจาคุณภาพดีแล้วราคาก็มีให้เลือกหลายระดับด้วยตั้งแต่หลักพันกลางๆ จนถึงหลักหมื่นต้นๆ ผู้ผลิตอิงค์เจ็ตพริ้นเตอร์ที่ดังๆ ตอนนี้ก็มี Canon ที่ชูเทคโนโลยี โฟโต้ เรียลลิซึ่ม ( Photo Realism), ส่วน Epson ก็มี Micro Piezo, ส่วน HP เขาใช้ PhotoREt และค่าย Lexmark ก็เลือกเทคโนโลยี Thermal Inkjet มาใช้ดึงลูกค้า เมื่อรู้จักยี่ห้อกันแล้ว ก็ได้เวลาดูว่าจะต้องพิจารณาอะไรบ้าง ถ้าคิดจะซื้อพริ้นเตอร์ประเภทนี้
คุณสมบัติที่ทำให้ภาพที่พิมพ์ออกมามีความสวยงามหรือไม่ก็คือความละเอียดในการพิมพ์ คล้ายกับเลเซอร์พรินเตอร์ ให้เลือกตั้งแต่ 300x600 dpi ไปจนถึง 2400x1200 dpi มีข้อสังเกตอยู่อย่างหนึ่งก็คือ ถ้าใช้เครื่องที่มีความละเอียดสูง จะต้องใช้เวลาในการพิมพ์นานขึ้นและต้องใช้กระดาษที่ถูกออกแบบมาสำหรับการพิมพ์งานที่ละเอียดเท่านั้น จึงจะได้ภาพที่สวยงาม ถ้าเป็นงานเอกสารทั่วไป ที่ไม่จำเป็นต้องเน้นรายละเอียดในการพิมพ์มากนัก ก็ใช้เครื่องที่มีความละเอียดประมาณ 720x720 dpi ก็เพียงพอ
วันอาทิตย์ที่ 16 สิงหาคม พ.ศ. 2552
เทศกาลวันหยุดบรรดาคำอวยพรบนไซเบอร์สเปซอาจแฝงไว้ด้วยไวรัส
ผู้เชี่ยวชาญด้านไวรัสกล่าวเตือนว่า ในช่วงเทศกาลวันหยุดบรรดาคำอวยพรบนไซเบอร์สเปซอาจแฝงไว้ด้วยไวรัส ไวรัสสองชนิดในวันคริสต์มาสได้แพร่เชื้อไปอย่างรวดเร็วชนิดแรกมีชื่อว่า “เพลง” หรือ “มิวสิค” เป็นไวรัสที่ซ่อนอยู่ในรูปของโปรแกรมเพลงคริสต์มาส อันเป็นเชื้อโรคที่สามารถปรับเปลี่ยนรูปร่างตัวเองให้ทันสมัย โดยติดต่อไปยังเว็บไซต์ที่สร้างตัวไวรัสตัวนี้ขึ้นมา ไวรัสอีกตัวชื่อ “นาวิแด็ด” มีเป้าหมายไปที่ผู้พูดภาษาสเปนได้กลายเป็นไวรัสที่ทำความรำคาญอันดับสองให้กับลูกค้าของบริษัทแอนตี้ไวรัสชื่อ โซโฟส เกรแฮม คลูลี ผู้เชี่ยวชาญทางเทคโนโลยีของโซโฟสบอกว่า ไวรัสที่ทำความเสียหายอย่างที่สุดอาจจะเป็นชนิดที่ผู้ใช้ไม่รู้ว่ากำลังมีเชื้อไวรัสประเภทนั้นอยู่ จำนวนไวรัสกว่าพันชนิดได้ถูกค้นพบในแต่ละเดือนทั่วโลก เพิ่มขึ้นจากปีครึ่งที่ผ่านมาซึ่งในปีก่อนมีเพียง ๔๐๐ ชนิดเท่านั้น ผู้เชี่ยวชาญในการต่อต้านไวรัสบอกว่า อาวุธสำคัญที่จะทำให้คอมพิวเตอร์ปราศจากไวรัสก็คือ ต้องให้ความรู้แก่ผู้ใช้เครื่องพีซีเกี่ยวกับการป้องกัน ปัจจุบันผู้ใช้พีซีเริ่มระวังเวิร์ดดอทคิวเมนท์ว่าอาจมีไวรัสอันตรายซ่อนอยู่ และยังเพิ่มความสงสัยในอีเมลที่ไม่คุ้นเคย พร้อมทั้งต้องระวังต่อการพลิกแพลงแบบใหม่ ๆ ของดับเบิล เอ็กซเทนชั่น สำหรับวิธีที่ดีที่สุดคือ หลีกเลี่ยงการเข้าไปในเว็บไซต์ภาพโป๊ อนาจาร หรือ บรรดากลุ่มนิวกรุ้ป--จบ--
วันศุกร์ที่ 14 สิงหาคม พ.ศ. 2552
สารก่อมเร็งในลิปสติกและเครื่องสำอางทาเปลือกตา
กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ พบสีห้ามให้ซึ่งเป็น สารก่อมะเร็งในลิปสติกและเครื่องสำอางทาเปลือกตา(อายชาโดว์) ทั่วประเทศ เตือนคุณผู้หญิงอยากสวยต้องระวัง พร้อมแนะวิธีการเลือกซื้อ เลือกใช้เครื่องสำอางที่ถูกต้องในเบื้องต้น
นายแพทย์ไพจิตร์ วราชิต อธิบดีกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ กล่าวว่า การดำเนินชีวิตประจำวันของประชาชนในปัจจุบันจำ เป็นต้องเกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ เช่น
ยาสีฟัน สบู่ แชมพูสระผม ครีมกันแดด และครีมบำรุงผิว ฯลฯ
โดยเฉพาะคุณผู้หญิงที่ต้องเสริมความงามบนใบหน้าด้วยลิปสติก อายชาโดว์ ซึ่งเป็นเครื่องสำอางที่ช่วยในการเพิ่มสีสรร ให้กับใบหน้า ล้วนก่อให้เกิดความเสี่ยงจากการได้รับอันตรายในการใช้ผลิตภัณฑ์เหล่านี้ หากผู้ผลิตไม่ใส่ใจคุณภาพของ ผลิตภัณฑ์หรือรู้เท่าไม่ถึงการณ์ก็อาจก่อให้เกิดอันตรายแก่ผู้บริโภคได้
ด้วยเหตุนี้ กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ โดยกองเครื่องสำอางและวัตถุอันตราย ได้จัดทำโครงการร่วมกับศูนย์วิทยาศาสตร์การแพทย์ในส่วนภูมิภาค 10 แห่ง ครอบคลุมพื้นที่ทั่วประเทศ เพื่อสำรวจสีห้ามใช้ในลิปสติกและเครื่องสำอางทาเปลือกตา (อายชาโดว์)
ที่มีจำหน่ายในตลาดนัด ร้านค้า ห้องสรรพสินค้า รวมทั้งตลาดในจังหวัดที่มีเขตติดต่อกับประเทศเพื่อนบ้าน
ผลจากการสำรวจและสุ่มซื้อตัวอย่างลิปสติก และอายชาโดว์ จำนวน 1,116 ตัวอย่าง โดยแยกเป็นลิปสติกจำนวน 693 ตัวอย่าง
พบว่า
มีตัวอย่างที่ใช้สีห้ามใช้จำนวน 164 ตัวอย่าง คิดเป็นร้อยละ 23.67
แบ่งเป็นตัวอย่างที่ผลิตภายในประเทศซึ่งมีฉลากระบุรายละเอียดครบถ้วน 15 ตัวอย่าง คิดเป็นร้อยละ 4.9 และ ตัวอย่างที่มีฉลากระบุรายละเอียดไม่ครบถ้วนหรือมีฉลากเป็นภาษาต่างประเทศ จำนวน 149 ตัวอย่าง คิดเป็นร้อยละ 38.3 สำหรับ
ตัวอย่างอายชาโดว์ จำนวน 423 ตัวอย่าง พบตัวอย่างที่ใช้สีห้ามใช้ จำนวน 70 ตัวอย่าง คิดเป็นร้อยละ 16.55 แบ่งเป็นตัวอย่างที่ผลิต ภายในประเทศซึ่งมีรายละเอียดของฉลากครบถ้วน 3 ตัวอย่าง คิดเป็นร้อยละ 1.3 และตัวอย่างที่มีฉลากเป็นภาษาต่างประเทศ จำนวน 67 ตัวอย่าง คิดเป็นร้อยละ 34.7
จากผลการสำรวจทำให้ทราบว่า มีการใช้สี C1 No.15585 และสี C1 No.45170 ในตัวอย่างลิปสติกและอายชาโดว์ ที่เก็บ จากทุกภาค ส่วนสีห้ามใช้อื่น ๆ มีพบบ้างแต่ไม่ครบทุกพื้นที่ โดยสีห้ามใช้ที่พบเป็นสีที่ไม่อยู่ในบัญชีแนบท้ายประกาศกระทรวง สาธารณสุข ฉบับที่ 20 (พ.ศ.2528) ออกตามความใน
พระราชบัญญัติเครื่องสำอาง พ.ศ. 2535 เรื่อง “กำหนดสีที่อนุญาตให้ใช้เป็น ส่วนผสมในการผลิตเครื่องสำอาง” หรือเป็นสีที่อนุญาตให้ใช้กับเครื่องสำอางที่ใช้ภายนอกที่มิได้สัมผัสกับเยื่อบุ mucousmembrane ซึ่งรวมถึงบริเวณริมฝีปากและรอบดวงตา อีกทั้งเป็นสีที่องค์การอาหารและยาของสหรัฐอเมริกา (United States and Drug Administration : USFDA) คณะกรรมการของสหภาพยุโรป (Council of the European Communities; Directive 76/768/EEC 2002) และ ASEAN Cosmetic Document 2003
โดยระบุว่าห้ามใช้กับเครื่องสำอางทุกชนิด ซึ่งสีห้าม ใช้เหล่านี้ ได้มีการทดสอบแล้วว่าก่อมะเร็ง ในสัตว์ทดลอง เช่นหนู กระต่าย และสุนัข ทั้งนี้ กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ ได้รายงานผลการตรวจวิเคราะห์ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการกำกับดูแลความปลอดภัยของผู้บริโภคได้รับทราบและดำเนินการต่อไปแล้ว
อธิบดีกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ กล่าวต่อไปว่า สำหรับประชาชนควรมีความรู้ในการเลือกซื้อ เลือกใช้ผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางเพื่อหลีกเลี่ยงอันตรายที่อาจจะได้รับจากการใช้ผลิตภัณฑ์ที่ไม่มีคุณภาพ และมีความเสี่ยงต่อสุขภาพ โดยมีวิธีปฏิบัติดังนี้
1. สังเกตฉลากเครื่องสำอางก่อนซื้อทุกครั้ง ซึ่งฉลากต้องมีสภาพเรียบร้อยและมีข้อความเป็นภาษาไทย อ่านได้ชัดเจน โดยระบุชื่อ ประเภทหรือชนิดของเครื่องสำอาง ชื่อผู้ผลิต แหล่งผลิต วิธีใช้ปริมาณสุทธิ วันเดือนปีที่ผลิต ชื่อวัตถุที่ใช้ เป็นส่วนผสมสำคัญและปริมาณ พร้อมคำเตือน (ถ้ามี) เพื่อป้องกันการซื้อเครื่องสำอางที่มีการลอกเลียนแบบ เพราะ จากผลสำรวจชี้ให้เห็นว่า เครื่องสำอางที่มีฉลากระบุเป็นภาษาไทยครบถ้วนนั้น พบการใช้สีห้ามใช้เป็นส่วนผสมใน การผลิตในอัตราที่น้อยกว่าเครื่องสำอางที่มีฉลากเป็นภาษาต่างประเทศ หรือมีชื่อและลักษณะใกล้เคียงกับลิปสติกและอายชาโดว์ยี่ห้อดังๆ
2. เลือกซื้อเครื่องสำอางที่มีขนาดปริมาณที่เหมาะสม เพื่อให้ใช้หมดภายในเวลาสมควร ไม่ควรเลือกเครื่องสำอางที่มีกลิ่นหืนหรือมีสีแปลกไปจากเดิม
3. ก่อนใช้เครื่องสำอาง ควรอ่านฉลากให้ละเอียดและปฏิบัติตามวิธีใช้ คำเตือน รวมทั้งทดสอบการแพ้ ก่อนใช้ หากมีอาการแพ้ให้รีบล้างออก และหยุดใช้เครื่องสำอางนั้นๆ แต่ถ้ามีอาการรุนแรงควรปรึกษาแพทย์
4. สำหรับวิธีการเลือกซื้อลิปสติก ควรเลือกลิปสติกที่มีเนื้อเรียบ นุ่มนวล มีความชุ่มชื้น และความมันพอเหมาะ ไม่มีเหงื่อแตกร่วนหรือแข็งเป็นก่อน ไม่อันตรายต่อผิวหนัง ให้สีติดทนแต่สามารถล้างออกได้ง่ายเมื่อต้องการ และต้องไม่มีกลิ่นหืน
อ่านแร้วเป็นไงบ้างคะสาวๆ
อย่างนี้เราควรระมัดระวังตัวกันเพิ่มนะอิอิจะซื้ออะไรก็ต้องอ่านฉลากให้ดีนะคะ
^^
.
นายแพทย์ไพจิตร์ วราชิต อธิบดีกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ กล่าวว่า การดำเนินชีวิตประจำวันของประชาชนในปัจจุบันจำ เป็นต้องเกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ เช่น
ยาสีฟัน สบู่ แชมพูสระผม ครีมกันแดด และครีมบำรุงผิว ฯลฯ
โดยเฉพาะคุณผู้หญิงที่ต้องเสริมความงามบนใบหน้าด้วยลิปสติก อายชาโดว์ ซึ่งเป็นเครื่องสำอางที่ช่วยในการเพิ่มสีสรร ให้กับใบหน้า ล้วนก่อให้เกิดความเสี่ยงจากการได้รับอันตรายในการใช้ผลิตภัณฑ์เหล่านี้ หากผู้ผลิตไม่ใส่ใจคุณภาพของ ผลิตภัณฑ์หรือรู้เท่าไม่ถึงการณ์ก็อาจก่อให้เกิดอันตรายแก่ผู้บริโภคได้
ด้วยเหตุนี้ กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ โดยกองเครื่องสำอางและวัตถุอันตราย ได้จัดทำโครงการร่วมกับศูนย์วิทยาศาสตร์การแพทย์ในส่วนภูมิภาค 10 แห่ง ครอบคลุมพื้นที่ทั่วประเทศ เพื่อสำรวจสีห้ามใช้ในลิปสติกและเครื่องสำอางทาเปลือกตา (อายชาโดว์)
ที่มีจำหน่ายในตลาดนัด ร้านค้า ห้องสรรพสินค้า รวมทั้งตลาดในจังหวัดที่มีเขตติดต่อกับประเทศเพื่อนบ้าน
ผลจากการสำรวจและสุ่มซื้อตัวอย่างลิปสติก และอายชาโดว์ จำนวน 1,116 ตัวอย่าง โดยแยกเป็นลิปสติกจำนวน 693 ตัวอย่าง
พบว่า
มีตัวอย่างที่ใช้สีห้ามใช้จำนวน 164 ตัวอย่าง คิดเป็นร้อยละ 23.67
แบ่งเป็นตัวอย่างที่ผลิตภายในประเทศซึ่งมีฉลากระบุรายละเอียดครบถ้วน 15 ตัวอย่าง คิดเป็นร้อยละ 4.9 และ ตัวอย่างที่มีฉลากระบุรายละเอียดไม่ครบถ้วนหรือมีฉลากเป็นภาษาต่างประเทศ จำนวน 149 ตัวอย่าง คิดเป็นร้อยละ 38.3 สำหรับ
ตัวอย่างอายชาโดว์ จำนวน 423 ตัวอย่าง พบตัวอย่างที่ใช้สีห้ามใช้ จำนวน 70 ตัวอย่าง คิดเป็นร้อยละ 16.55 แบ่งเป็นตัวอย่างที่ผลิต ภายในประเทศซึ่งมีรายละเอียดของฉลากครบถ้วน 3 ตัวอย่าง คิดเป็นร้อยละ 1.3 และตัวอย่างที่มีฉลากเป็นภาษาต่างประเทศ จำนวน 67 ตัวอย่าง คิดเป็นร้อยละ 34.7
จากผลการสำรวจทำให้ทราบว่า มีการใช้สี C1 No.15585 และสี C1 No.45170 ในตัวอย่างลิปสติกและอายชาโดว์ ที่เก็บ จากทุกภาค ส่วนสีห้ามใช้อื่น ๆ มีพบบ้างแต่ไม่ครบทุกพื้นที่ โดยสีห้ามใช้ที่พบเป็นสีที่ไม่อยู่ในบัญชีแนบท้ายประกาศกระทรวง สาธารณสุข ฉบับที่ 20 (พ.ศ.2528) ออกตามความใน
พระราชบัญญัติเครื่องสำอาง พ.ศ. 2535 เรื่อง “กำหนดสีที่อนุญาตให้ใช้เป็น ส่วนผสมในการผลิตเครื่องสำอาง” หรือเป็นสีที่อนุญาตให้ใช้กับเครื่องสำอางที่ใช้ภายนอกที่มิได้สัมผัสกับเยื่อบุ mucousmembrane ซึ่งรวมถึงบริเวณริมฝีปากและรอบดวงตา อีกทั้งเป็นสีที่องค์การอาหารและยาของสหรัฐอเมริกา (United States and Drug Administration : USFDA) คณะกรรมการของสหภาพยุโรป (Council of the European Communities; Directive 76/768/EEC 2002) และ ASEAN Cosmetic Document 2003
โดยระบุว่าห้ามใช้กับเครื่องสำอางทุกชนิด ซึ่งสีห้าม ใช้เหล่านี้ ได้มีการทดสอบแล้วว่าก่อมะเร็ง ในสัตว์ทดลอง เช่นหนู กระต่าย และสุนัข ทั้งนี้ กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ ได้รายงานผลการตรวจวิเคราะห์ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการกำกับดูแลความปลอดภัยของผู้บริโภคได้รับทราบและดำเนินการต่อไปแล้ว
อธิบดีกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ กล่าวต่อไปว่า สำหรับประชาชนควรมีความรู้ในการเลือกซื้อ เลือกใช้ผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางเพื่อหลีกเลี่ยงอันตรายที่อาจจะได้รับจากการใช้ผลิตภัณฑ์ที่ไม่มีคุณภาพ และมีความเสี่ยงต่อสุขภาพ โดยมีวิธีปฏิบัติดังนี้
1. สังเกตฉลากเครื่องสำอางก่อนซื้อทุกครั้ง ซึ่งฉลากต้องมีสภาพเรียบร้อยและมีข้อความเป็นภาษาไทย อ่านได้ชัดเจน โดยระบุชื่อ ประเภทหรือชนิดของเครื่องสำอาง ชื่อผู้ผลิต แหล่งผลิต วิธีใช้ปริมาณสุทธิ วันเดือนปีที่ผลิต ชื่อวัตถุที่ใช้ เป็นส่วนผสมสำคัญและปริมาณ พร้อมคำเตือน (ถ้ามี) เพื่อป้องกันการซื้อเครื่องสำอางที่มีการลอกเลียนแบบ เพราะ จากผลสำรวจชี้ให้เห็นว่า เครื่องสำอางที่มีฉลากระบุเป็นภาษาไทยครบถ้วนนั้น พบการใช้สีห้ามใช้เป็นส่วนผสมใน การผลิตในอัตราที่น้อยกว่าเครื่องสำอางที่มีฉลากเป็นภาษาต่างประเทศ หรือมีชื่อและลักษณะใกล้เคียงกับลิปสติกและอายชาโดว์ยี่ห้อดังๆ
2. เลือกซื้อเครื่องสำอางที่มีขนาดปริมาณที่เหมาะสม เพื่อให้ใช้หมดภายในเวลาสมควร ไม่ควรเลือกเครื่องสำอางที่มีกลิ่นหืนหรือมีสีแปลกไปจากเดิม
3. ก่อนใช้เครื่องสำอาง ควรอ่านฉลากให้ละเอียดและปฏิบัติตามวิธีใช้ คำเตือน รวมทั้งทดสอบการแพ้ ก่อนใช้ หากมีอาการแพ้ให้รีบล้างออก และหยุดใช้เครื่องสำอางนั้นๆ แต่ถ้ามีอาการรุนแรงควรปรึกษาแพทย์
4. สำหรับวิธีการเลือกซื้อลิปสติก ควรเลือกลิปสติกที่มีเนื้อเรียบ นุ่มนวล มีความชุ่มชื้น และความมันพอเหมาะ ไม่มีเหงื่อแตกร่วนหรือแข็งเป็นก่อน ไม่อันตรายต่อผิวหนัง ให้สีติดทนแต่สามารถล้างออกได้ง่ายเมื่อต้องการ และต้องไม่มีกลิ่นหืน
อ่านแร้วเป็นไงบ้างคะสาวๆ
อย่างนี้เราควรระมัดระวังตัวกันเพิ่มนะอิอิจะซื้ออะไรก็ต้องอ่านฉลากให้ดีนะคะ
^^
.
วันพฤหัสบดีที่ 13 สิงหาคม พ.ศ. 2552
ครีมกันแดดซื้อยี่ห้อไหนดีมาดูกัน
1.Nivea Sun Block SPF 30 อาจต้องใช้ SPF ที่สูงกว่านี้อีกนิดเพราะสังเกตได้จากรอยหมองคล้ำที่ปรากฎอย่างเห็นได้ชัด แต่นีเวียก็เด่นเรื่องเนื้อครีมที่ไม่เหนียวเหนอะจนเกินไป C- Vaseline SPF 30 เด่นที่ราคาสมเหตุสมผลและของเขาดี แต่สำหรับแดดหน้าร้อนริมหาดตอนใต้นั้น
2.วาสลิน SPF 30 อาจจะยังไม่แข็งแกร่งพอจะรับมือ เรียกว่าคุณภาพไล่กันมาติดๆ กับนีเวีย แต่ก็สามารถนำแซงโค้งสุดท้ายได้ในที่สุด C+
3.Banana Boat Sport SPF 30 หลอดนี้ขนะใจเต็มๆ เพราะหลังจากทดสอบแล้ว แผ่นหลังของนายแบบยังคงขาวกิ๊กแทบจะไม่ต่างจากตอนแรก เราจึงขอเทคะแนนให้ว่าขวดนี้เหมาะสำหรับการไปทะเลอย่างยิ่ง A
4.Biore UV Protect SPF 50 แม้ชื่อของบิโอเรจะเป็นที่รู้จักกันในนามของโฟมล้างหน้ามากกว่า แต่ในฐานะครีมกันแดดแล้วบิโอเรก็ทำได้อย่างยอดเยี่ยม แม้จะมีความหมองคล้ำให้เห็นบ้าง แต่ก็ยังจัดว่าใช้ได้ อีกทั้งความเหนียวเหนอะก็ยังน้อยอีกด้วย แต่ราคาแพงไปนิดหากคิดเทียบกับปริมาณ B
5.Watson Spray Sun SPF 30 เป็นครีมกันแดดแบบสเปรย์เจ้าเดียวที่เข้าร่วมแข่งขันแม้จะได้ประโยชน์เต็มที่จากความสบายผิวในการใช้ แต่มาตกม้าตายเมื่อเจอของจริง เพราะครีมสเปรย์ขวดนี้ไม่ค่อยจะปกป้องผิวของนายแบบเราสักเท่าไหร่
วันพุธที่ 12 สิงหาคม พ.ศ. 2552
เพลง ใครหนอ
ใคร หนอ รักเรา เท่าชีวี
ใคร หนอ ปราณี ไม่มีเสื่อมคลาย
ใคร หนอ รักเราใช่เพียงรูปกาย
รักเขาไม่หน่าย มิคิดทำลาย
ใคร หนา ใคร หนอ เห็นเรา เศร้าทรวงใน
ใคร หนอ เอาใจปลอบเราเรื่อยมา
ใคร หนอ รักเราดังดวงแก้วตา
รักเขากว้างกว่า พื้นพสุธา นภากาศ
จะเอาโลก มาทำปากกา
แล้วเอานภา มาแทน กระดาษ
เอาน้ำหมด มหาสมุทรแทนหมึกวาด
ประกาศ พระคุณไม่พอ
ใคร หนอ รักเรา เท่าชีวัน (เท่าชีวัน)
ใคร หนอ ใครกันให้เราขี่คอ (คุณพ่อ คุณแม่)
ใคร หนอ ชักชวนดูหนังสี่จอ
รู้แล้วละก็ อย่ามัวรั้งรอ ทดแทนบุญคุณ
ใคร หนอ รักเรา เท่าชีวัน (เท่าชีวัน)
ใคร หนอ ใครกันให้เราขี่คอ(คุณพ่อ คุณแม่)
ใคร หนอ ชักชวนดูหนังสี่จอ
รู้แล้วละก็ อย่ามัวรั้งรอ ทดแทนบุญคุณ
แน่ๆเพื่อนๆคงรู้แล้วว่าคุณพ่อคุณแม่คือคนที่สำคัญที่สุดยังไงก็อย่าลืมไปกอดท่านกราบเท้าท่านหรืออะไรก็ได้คะที่ทำให้ท่านมีความสุขนะคะ
ใคร หนอ ปราณี ไม่มีเสื่อมคลาย
ใคร หนอ รักเราใช่เพียงรูปกาย
รักเขาไม่หน่าย มิคิดทำลาย
ใคร หนา ใคร หนอ เห็นเรา เศร้าทรวงใน
ใคร หนอ เอาใจปลอบเราเรื่อยมา
ใคร หนอ รักเราดังดวงแก้วตา
รักเขากว้างกว่า พื้นพสุธา นภากาศ
จะเอาโลก มาทำปากกา
แล้วเอานภา มาแทน กระดาษ
เอาน้ำหมด มหาสมุทรแทนหมึกวาด
ประกาศ พระคุณไม่พอ
ใคร หนอ รักเรา เท่าชีวัน (เท่าชีวัน)
ใคร หนอ ใครกันให้เราขี่คอ (คุณพ่อ คุณแม่)
ใคร หนอ ชักชวนดูหนังสี่จอ
รู้แล้วละก็ อย่ามัวรั้งรอ ทดแทนบุญคุณ
ใคร หนอ รักเรา เท่าชีวัน (เท่าชีวัน)
ใคร หนอ ใครกันให้เราขี่คอ(คุณพ่อ คุณแม่)
ใคร หนอ ชักชวนดูหนังสี่จอ
รู้แล้วละก็ อย่ามัวรั้งรอ ทดแทนบุญคุณ
แน่ๆเพื่อนๆคงรู้แล้วว่าคุณพ่อคุณแม่คือคนที่สำคัญที่สุดยังไงก็อย่าลืมไปกอดท่านกราบเท้าท่านหรืออะไรก็ได้คะที่ทำให้ท่านมีความสุขนะคะ
วันจันทร์ที่ 10 สิงหาคม พ.ศ. 2552
การศึกษาของนักเรียนไทยในเนเธอร์แลนด์
ประเทศเนเธอร์แลนด์เป็นประเทศหนึ่งในยุโรปที่มีการแลกเปลี่ยนและรับนักเรียนในระดับอุดมศึกษาและบัณฑิตศึกษาจากประเทศไทยอย่างต่อเนื่องมาเป็นเวลานาน สาขาที่เป็นที่นิยมและได้รับการส่งเสริมทั้งจากหน่วยงานของรัฐบาลไทยและเนเธอร์แลนด์สนับสนุนในรูปแบบทุนการศึกษา ได้แก่ สาขาเศรษฐศาสตร์, ธรณีวิทยาและ Remote Sensing, ผังเมืองและเคหะการ (Housing and Urban Study) วิศวกรรมแหล่งน้ำ รัฐศาสตร์ สังคมวิทยา ฯลฯ จากสถาบันที่มีชื่อเสียง เช่น ธรณีวิทยาและวิศวกรรมแหล่งน้ำจาก ITC-Delft/Enschede, ทางด้านรัฐศาสตร์จากISS-The Hague, ทางด้านผังเมืองและเคหะการ จาก IHS-Rotterdam
ตัวอย่างนักศึกษาที่มีชื่อเสียงที่จบจากประเทศเนเธอร์แลนด์ ได้แก่ ดร.ศุภชัย พานิชภักดิ์ ดร.พิสิฐ ลี้อาธรรม อ.ทิวา ศุภจรรยา อ.ธีรยุทธ บุญมี ดร.ตรึงใจ บูรณสมภพ อ.มานพ พงศทัต เป็นต้น และได้มีการก่อตั้งเป็นสมาคมนักเรียนเก่าฯที่มีประวัติยาวนานแห่งหนึ่ง อยู่ภายใต้สมาคมนักเรียนเก่าเนเธอร์แลนด์ เว็บไซต์ Netherlands Alumni Association
สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯสยามบรมราชกุมารี ทรงรับสมาคมนักเรียนเก่าเนเธอร์แลนด์ฯ อยู่ในพระราชูปถัมภ์ ตั้งแต่ วันที่ 3 กันยายน 2546 ปัจจุบันมีนายกสมาคม คือ คุณสาธิต ชาญเชาวน์กุล เว็บไซต์ของสมาคมนักเรียนเก่าฯ นอกจากนี้นักเรียนไทยที่ยังศึกษาอยู่ในประเทศเนเธอร์แลนด์ก็ยังได้รวมตัวจัดตั้งเป็นสมาคมนักเรียนไทยในเนเธอร์แลนด์อีกด้วย เว็บไซต์ของสมาคมนักเรียนไทยในเนเธอร์แลนด์
ตัวอย่างนักศึกษาที่มีชื่อเสียงที่จบจากประเทศเนเธอร์แลนด์ ได้แก่ ดร.ศุภชัย พานิชภักดิ์ ดร.พิสิฐ ลี้อาธรรม อ.ทิวา ศุภจรรยา อ.ธีรยุทธ บุญมี ดร.ตรึงใจ บูรณสมภพ อ.มานพ พงศทัต เป็นต้น และได้มีการก่อตั้งเป็นสมาคมนักเรียนเก่าฯที่มีประวัติยาวนานแห่งหนึ่ง อยู่ภายใต้สมาคมนักเรียนเก่าเนเธอร์แลนด์ เว็บไซต์ Netherlands Alumni Association
สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯสยามบรมราชกุมารี ทรงรับสมาคมนักเรียนเก่าเนเธอร์แลนด์ฯ อยู่ในพระราชูปถัมภ์ ตั้งแต่ วันที่ 3 กันยายน 2546 ปัจจุบันมีนายกสมาคม คือ คุณสาธิต ชาญเชาวน์กุล เว็บไซต์ของสมาคมนักเรียนเก่าฯ นอกจากนี้นักเรียนไทยที่ยังศึกษาอยู่ในประเทศเนเธอร์แลนด์ก็ยังได้รวมตัวจัดตั้งเป็นสมาคมนักเรียนไทยในเนเธอร์แลนด์อีกด้วย เว็บไซต์ของสมาคมนักเรียนไทยในเนเธอร์แลนด์
วันนี้เราจะมาดูสถาที่ท่องเที่ยวกันในเนเธอร์แลนด์ค่ะ....
สถานที่ท่องเที่ยว
พิพิธภัณฑ์โครงการเดลต้า แสดงหุ่นจำลองของพื้นที่ระบายน้ำ/ระบบกันน้ำท่วม
เมืองที่เป็นสถานที่ท่องเที่ยวในเนเธอร์แลนด์ เช่น อัมสเตอร์ดัม ร็อตเตอร์ดัม กรุงเฮก เดลฟ์ท
Keukenhof สวนดอกทิวลิป
IJsselmeer Outdoor Museum/ The Zuiderzee Museum เป็นพิพิธภัณฑ์กลางแจ้งที่แสดงวิถีชีวิตของชาวดัตช์ในสมัยโบราณ อาหารการกิน บ้านเรือนและสถาปัตยกรรม
เมือง Giethorn Water City ซึ่งได้ชื่อว่าเป็น Venice of Holland เป็นเมืองที่อาศัยกับลำน้ำคูคลองมีเทศกาลพาเรดกลางน้ำในตอนกลางคืนให้ชม วิธีการชมก็คือการนั่งเรือออกไป
Archeon Park, อยู่ที่ Alphen aan den Rijn เป็นกึ่งสวนสนุกและพิพิธภัณฑ์ที่น่าสนใจ มีการจัดบรรยากาศให้มีความโบราณ ไล่มาตั้งแต่ยุคไดโนเสาร์ ยุคก่อนประวัติศาสตร์ ยุคโรมัน ยุคกลาง ฯลฯ การจัดแสดงและสื่อความหมายใช้คนแสดงเป็นหลัก
Efteling Park, ที่ Kaastsheuvel เป็นสวนสนุกที่มีบรรยากาศเป็นอุทยานหรือสวนสาธารณะที่เป็นธรรมชาติ เคยได้รับรางวัล Applause award ว่าเป็นสวนสนุกที่ดีที่สุดแห่งหนึ่งของโลก หากใครเคยไปสวนสนุกแบบอเมริกัน เช่นดิสนีย์แลนด์มาแล้ว Efteling ให้รสชาติอีกแบบหนึ่งไม่แพ้กันเลยทีเดียว
เมืองตุ๊กตา เมืองจำลอง Madurodam Miniature land เมืองจำลองขนาดเล็กที่อธิบายเกี่ยวกับสถานที่สำคัญของเนเธอร์แลนด์ได้อย่างครบถ้วน
Polder museum หรือพิพิธภัณฑ์การเกิดแผ่นดินใหม่ และโครงการ Delta projects ที่แสดงเทคโนโลยีการกันน้ำท่วมของชาวดัตช์ตั้งแต่อดีต แสดงให้เห็นว่าชาวดัตช์ใช้ความรู้ ความอดทน และความเป็นนักสู้ต่อสู้กับธรรมชาติ และเรียนรู้ที่จะอยู่กับสภาพการณ์นั้นอย่างชาญฉลาดอย่างไร วิศวกรรมและศาสตร์ต่างๆที่เกี่ยวข้องถูกนำมาจัดแสดงในหลากหลายระดับ ให้คนเลือกดูเลือกชมและได้รับความรู้ที่แตกต่างกันไป ตามอัธยาศัย
พิพิธภัณฑ์โครงการเดลต้า แสดงหุ่นจำลองของพื้นที่ระบายน้ำ/ระบบกันน้ำท่วม
เมืองที่เป็นสถานที่ท่องเที่ยวในเนเธอร์แลนด์ เช่น อัมสเตอร์ดัม ร็อตเตอร์ดัม กรุงเฮก เดลฟ์ท
Keukenhof สวนดอกทิวลิป
IJsselmeer Outdoor Museum/ The Zuiderzee Museum เป็นพิพิธภัณฑ์กลางแจ้งที่แสดงวิถีชีวิตของชาวดัตช์ในสมัยโบราณ อาหารการกิน บ้านเรือนและสถาปัตยกรรม
เมือง Giethorn Water City ซึ่งได้ชื่อว่าเป็น Venice of Holland เป็นเมืองที่อาศัยกับลำน้ำคูคลองมีเทศกาลพาเรดกลางน้ำในตอนกลางคืนให้ชม วิธีการชมก็คือการนั่งเรือออกไป
Archeon Park, อยู่ที่ Alphen aan den Rijn เป็นกึ่งสวนสนุกและพิพิธภัณฑ์ที่น่าสนใจ มีการจัดบรรยากาศให้มีความโบราณ ไล่มาตั้งแต่ยุคไดโนเสาร์ ยุคก่อนประวัติศาสตร์ ยุคโรมัน ยุคกลาง ฯลฯ การจัดแสดงและสื่อความหมายใช้คนแสดงเป็นหลัก
Efteling Park, ที่ Kaastsheuvel เป็นสวนสนุกที่มีบรรยากาศเป็นอุทยานหรือสวนสาธารณะที่เป็นธรรมชาติ เคยได้รับรางวัล Applause award ว่าเป็นสวนสนุกที่ดีที่สุดแห่งหนึ่งของโลก หากใครเคยไปสวนสนุกแบบอเมริกัน เช่นดิสนีย์แลนด์มาแล้ว Efteling ให้รสชาติอีกแบบหนึ่งไม่แพ้กันเลยทีเดียว
เมืองตุ๊กตา เมืองจำลอง Madurodam Miniature land เมืองจำลองขนาดเล็กที่อธิบายเกี่ยวกับสถานที่สำคัญของเนเธอร์แลนด์ได้อย่างครบถ้วน
Polder museum หรือพิพิธภัณฑ์การเกิดแผ่นดินใหม่ และโครงการ Delta projects ที่แสดงเทคโนโลยีการกันน้ำท่วมของชาวดัตช์ตั้งแต่อดีต แสดงให้เห็นว่าชาวดัตช์ใช้ความรู้ ความอดทน และความเป็นนักสู้ต่อสู้กับธรรมชาติ และเรียนรู้ที่จะอยู่กับสภาพการณ์นั้นอย่างชาญฉลาดอย่างไร วิศวกรรมและศาสตร์ต่างๆที่เกี่ยวข้องถูกนำมาจัดแสดงในหลากหลายระดับ ให้คนเลือกดูเลือกชมและได้รับความรู้ที่แตกต่างกันไป ตามอัธยาศัย
วันอาทิตย์ที่ 9 สิงหาคม พ.ศ. 2552
แมลงสาบใช้อวัยวะใดในการฟัง เมก้าเคลฟเวอร์ ฉลาดสุดๆ
แมลงสาบใช้อวัยวะใดในการฟัง
กระทำโดยนักวิจัยอิสระกลุ่มหนึ่งใน ฟิจิ อียิปต์..กาบอง ..ไมอามี่ หรือ วารินชำราบ ฯ แนวคิดพื้นฐานก็คือ แมลงสาบตาบอด แล้วมันไปไหนต่อไหนได้อย่างไร ?
มันต้องมีหูที่ดีแน่ๆ จึงสามารถจับเสียง หรือ การสั่นสะเทือนต่างๆ ไปจนกระทั่งมันสามารถเดิน หรือ บินไปไหนต่อไหนได้
อุปกรณ์ที่ใช้
1. กล่องไม้ขีดไฟ
2. แมลงสาบ 4 ตัว นักวิจัยตั้งสมมติฐานไว้ ว่าแมลงสาบจะต้องใช้อวัยวะ 4 อย่างนี้แหละในการได้ยิน .. คือ หนวด - ปีก - หัว - หรือ- ขา กล่องไม้ขีดที่ 1... พวกเขานำแมลงสาบมาเด็ดหนวดออก แล้วใส่กล่องเหมือนเดิมกล่องไม้ขีดที่ 2. .. เด็ดหัวมันออก แล้วใส่กล่องไว้กล่องไม้ขีดที่
3.... เด็ดปีกออกแล้วใส่กล่องไว้กล่องไม้ขีดที่
4..... เด็ดขาแมลงสาบออกทั้งหมดแล้วใส่กล่อง การทดลองเริ่มต้นขึ้น ..โดยพวกเขาเปิดกล่องแมลงสาบที่ 1 ออก .. แล้วตะโกน GO.! GO !! GO !!!!! [แมลงสาบพวกนี้เป็นสายพันธุ์ต่างชาติ ]
กล่องที่ 1 แมลงสาบวิ่งออกไปตามเสียงตะโกน แม้ไม่มีหนวด
กล่องที่ 2 แมลงสาบทะยานไปเต็มกำลังแม้ไม่มีส่วนหัว !!!!
กล่องที่ 3 แมลงสาบใส่ตีนหมา หายลับไป แม้ไม่มีปีก!!!กล่องสุดท้าย แมลงสาบที่ไม่มีขา นิ่ง .. !!! และนิ่ง ... มิใส่ใจเสียง GO GO GO !!!!
นักวิจัยทั้งหมดกระโดดกอดกันกลมกับสิ่งที่ได้ค้นพบ ..
พวกเขาสรุปงานวิจัยนี้ทันทีว่าแท้แล้ว
แมลงสาบนั้นใช้ " ขา" ในการได้ยิน ฉลาดสุดๆ ขอบคุณที่อ่านกันค่ะ
.
กระทำโดยนักวิจัยอิสระกลุ่มหนึ่งใน ฟิจิ อียิปต์..กาบอง ..ไมอามี่ หรือ วารินชำราบ ฯ แนวคิดพื้นฐานก็คือ แมลงสาบตาบอด แล้วมันไปไหนต่อไหนได้อย่างไร ?
มันต้องมีหูที่ดีแน่ๆ จึงสามารถจับเสียง หรือ การสั่นสะเทือนต่างๆ ไปจนกระทั่งมันสามารถเดิน หรือ บินไปไหนต่อไหนได้
อุปกรณ์ที่ใช้
1. กล่องไม้ขีดไฟ
2. แมลงสาบ 4 ตัว นักวิจัยตั้งสมมติฐานไว้ ว่าแมลงสาบจะต้องใช้อวัยวะ 4 อย่างนี้แหละในการได้ยิน .. คือ หนวด - ปีก - หัว - หรือ- ขา กล่องไม้ขีดที่ 1... พวกเขานำแมลงสาบมาเด็ดหนวดออก แล้วใส่กล่องเหมือนเดิมกล่องไม้ขีดที่ 2. .. เด็ดหัวมันออก แล้วใส่กล่องไว้กล่องไม้ขีดที่
3.... เด็ดปีกออกแล้วใส่กล่องไว้กล่องไม้ขีดที่
4..... เด็ดขาแมลงสาบออกทั้งหมดแล้วใส่กล่อง การทดลองเริ่มต้นขึ้น ..โดยพวกเขาเปิดกล่องแมลงสาบที่ 1 ออก .. แล้วตะโกน GO.! GO !! GO !!!!! [แมลงสาบพวกนี้เป็นสายพันธุ์ต่างชาติ ]
กล่องที่ 1 แมลงสาบวิ่งออกไปตามเสียงตะโกน แม้ไม่มีหนวด
กล่องที่ 2 แมลงสาบทะยานไปเต็มกำลังแม้ไม่มีส่วนหัว !!!!
กล่องที่ 3 แมลงสาบใส่ตีนหมา หายลับไป แม้ไม่มีปีก!!!กล่องสุดท้าย แมลงสาบที่ไม่มีขา นิ่ง .. !!! และนิ่ง ... มิใส่ใจเสียง GO GO GO !!!!
นักวิจัยทั้งหมดกระโดดกอดกันกลมกับสิ่งที่ได้ค้นพบ ..
พวกเขาสรุปงานวิจัยนี้ทันทีว่าแท้แล้ว
แมลงสาบนั้นใช้ " ขา" ในการได้ยิน ฉลาดสุดๆ ขอบคุณที่อ่านกันค่ะ
.
วันเสาร์ที่ 8 สิงหาคม พ.ศ. 2552
ปารีส นครแห่งแสงสี
ปารีสเป็นเมืองหลวงแห่งแฟชั่น อีกทั้งยังเป็นเมืองที่สวยที่สุดในโลกสำหรับอีกหลายๆ คน
มงต์มาร์ตร (Montmartre),
แซ็งต์-แฌร์แม็ง-เดส์-เปรส์ (Saint-Germain-des-Prés) แหล่งรวมร้านกาแฟหรู
โรงหนังและแหล่งซื้อของ, เลอ มาเรส์ (Le Marais)
ถิ่นแฟชั่นทันสมัย, แบลวิล (Belleville)
ย่านไชน่าทาวน์, โอแบร์กองฟ์ (Oberkampf)
สถานที่ย่ำนราตรีย่านต่างๆ ของปารีส มีกิจกรรมที่โดดเด่นเป็นเอกลักษณ์และทำให้เมืองหลวงแห่งนี้มีเสน่ห์อย่างที่เป็นอยู่
การที่แต่ละมุมของปารีสน่าเที่ยวน่าชมเป็นเพราะมีบรรยากาศที่ไม่จำเจ มีการผสมผสานอย่างลงตัว ภาพปารีสที่มีผู้คนเดินเล่น
ขี่จักรยานหรือเล่นสเก็ตอย่างเสรีบนถนนเลียบแม่น้ำแซน
หรือกลุ่มศิลปินที่นั่งวาดภาพบนสะพานปาสเซอแรล เดส์ ซาร์ (Passerelle des Arts)
หรือภาพของอาคารบ้านเรือนแบบคลาสสิคที่มองลงมาจากศูนย์ศิลปะและวัฒนธรรมปอมปิดู (Pompidou) ภาพเหล่านี้แม้จะมาต่อรวมกันทั้งหมดก็ยังไม่พอที่จะอธิบายความเป็นปารีสได้ เพราะปารีสมีเอกลักษณ์ของตัวเอง
ปารีส (Paris) [paˈʁi / ˈpæɹɪs] เป็นเมืองหลวงของประเทศฝรั่งเศส ตั้งอยู่บนแม่น้ำแซน บริเวณตอนเหนือของประเทศฝรั่งเศส บนใจกลางแคว้น อีล-เดอ-ฟรองซ์ (Île-de-France หรือ Région parisienne (RP) ) ภายในกรุงปารีสมีประชากรประมาณ 2,167,994 คน เขตเมืองปารีส (Unité urbaine) ซึ่งมีพื้นที่ขยายเกินขอบเขตอำนาจการปกครองของเมืองนั้น มีประชากรกว่า 9.93 ล้านคน (พ.ศ. 2547)
ในขณะที่ เขตมหานครปารีส(Agglomération parisienne) มีประชากรเกือบ 12 ล้านคนและเป็นหนึ่งในพื้นที่ที่มีประชากรสูงที่สุดแห่งหนึ่งในทวีปยุโรป จากการตั้งถิ่นฐานมากว่า 2 พันปี
ปัจจุบันกรุงปารีสเป็นหนึ่งในศูนย์กลางทางเศรษฐกิจและวัฒนธรรมที่ล้ำสมัยแห่งหนึ่งของโลก และด้วยอิทธิพลของการเมือง การศึกษา บันเทิง สื่อ แฟชั่น วิทยาศาสตร์และศิลปะ ทำให้กรุงปารีสเป็นหนึ่งในเมืองที่สำคัญที่สุดแห่งหนึ่งของโลก
แคว้นอีล-เดอ-ฟรองซ์เป็นศูนย์กลางทางเศรษฐกิจของประเทศฝรั่งเศส
ด้วยจำนวนเงินกว่า 500.8 ล้านล้านยูโร (628.9 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐฯ) ซึ่งมากกว่าหนึ่งส่วนสี่ของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) ของประเทศฝรั่งเศสในปี พ.ศ. 2548 กรุงปารีสยังเป็นสถานที่ทำการของบริษัทยักษ์ใหญ่ 36 บริษัทจากบริษัทยักษ์ใหญ่ 500 บริษัทจากการสำรวจของ ฟอร์จูน โกลบัล 500(Fortune Global 500) อีกด้วย โดยเฉพาะย่านธุรกิจที่สำคัญแห่งหนึ่งของทวีปยุโรป ทั้งยังเป็นที่จัดงานนิทรรศการต่างๆ ซึ่งรวมถึงสหประชาชาติ ฯลฯ ปารีสเป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่โด่งดังแห่งหนึ่งในโลก โดยมีนักท่องเที่ยวต่างชาติมากกว่า 30 ล้านคนต่อปี
กรุงปารีสเป็นหนึ่งใน 4 นครสำคัญของโลก อีกสามนครคือ
ลอนดอน,
โตเกียว
และ นิวยอร์ก
ภูมิศาสตร์
ปารีสตั้งอยู่บนแม่น้ำแซน ซึ่งรวมถึงเกาะอีกสองเกาะคือ อีล แซงต์-หลุยส์ (Île Saint-Louis) และ อีล เดอ ลา ซิเต้ (Île de la Cité) ซึ่งเป็นส่วนที่เก่าแก่ที่สุดของเมือง ภูมิประเทศของปารีสโดยรวมคือ เป็นที่ราบลุ่ม โดยมีจุดต่ำสุดอยู่ที่ 35 เมตร (114 ฟุต) เหนือระดับน้ำทะเล ทั้งยังมีเนินเขาอีกหลายแห่ง เนินเขาที่สูงที่สุดคือ มงต์มาร์ตร์ (Montmartre) (130 เมตร (426 ฟุต))
พื้นที่ของปารีส
ซึ่งไม่รวมสวนสาธารณะบัวส์ เดอ บูโลญ (Bois de Boulogne) และบัวส์ เดอ แวงแซนน์ (Bois de Vincennes)
คือประมาณ 86.928 ตารางกิโลเมตร (33.56 ตารางไมล์) การแบ่งและรวมเขตครั้งสุดท้ายที่ใหญ่ที่สุดคือในปี พ.ศ. 2403 ซึ่งทำให้มีขนาดอย่างที่เห็นในปัจจุบัน ทั้งยังทำให้เกิดเขต (Arrondissement) ที่หมุนรอบๆ ตามเข็มนาฬิกาอีกด้วย ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2403 เป็นต้นมา เมืองปารีสมีขนาด 78 กม.² (30.1 ม.²) และได้ขยายออกไปเป็น 86.9 กม.² (34 ม.²) ในปี พ.ศ. 2463 และตั้งแต่ปี พ.ศ. 2472 เป็นต้นมา สวนสาธารณะบัวส์ เดอ บูโลญและบัวส์ เดอ แวงแซนน์ ได้ผนึกกับตัวเมืองปารีสอย่างเป็นทางการ ทำให้กรุงปารีสมีขนาด 105.397 กม.² (40.69 ม.²) จนถึงปัจจุบัน
ขนาดของกรุงปารีสหรือเขตเมืองปารีสนั้นมีการขยายตัวออกไปเกินเขตเมือง ทำให้เกิดรูปร่างเป็นวงรี ขยายตัวไปตามแม่น้ำแซนและแม่น้ำมาร์น
ทางทิศตะวันออกและตะวันออกเฉียงใต้ของตัวเมือง และตามแม่น้ำแซนและแม่น้ำอวส
ทางทิศตะวันตกและตะวันตกเฉียงเหนือ และถ้าเลยไปยังชนบท
ความหนาแน่นของประชากรจะลดลงอย่างเห็นได้ชัดเนื่องจากมีป่าและที่ดินไว้สำหรับการเพาะปลูก อย่างไรก็ตาม เขตมหานครปารีส (Agglomération parisienne) มีเนื้อที่ถึง 14,518 กม² (5,605.5 ไมล์²) ซึ่งใหญ่กว่าเนื้อที่ กรุงปารีส ถึง 138 เท่า
ภูมิอากาศ
ปารีสมีภูมิอากาศแบบมหาสมุทร ซึ่งมีผลมาจากกระแสน้ำแอตแลนติกเหนือ เพราะฉะนั้นอุณหภูมิในเมืองไม่ค่อยมีอุณหภูมิสูงหรือต่ำเกินไป อุณหภูมิเฉลี่ยของกรุงปารีสคือ 15 °C (59 °F) และจะอยู่ราว 7 °C (45 °F) สถิติอุณหภูมิสูงที่สุดที่วัดได้คือ 40.4 °C (104.7 °F) ในวันที่ 28 กรกฎาคม พ.ศ. 2491 และต่ำที่สุดที่เคยวัดได้คือ −23.9 °C (−11.0 °F)
เมื่อวันที่ 10 ธันวาคม พ.ศ. 2422
เมืองปารีสได้ประสบกับอุณหภูมิร้อนจัดในปี พ.ศ. 2547
และหนาวจัดในปี พ.ศ. 2549
ฝนสามารถตกทุกเมื่อ และปารีสก็เป็นที่รู้จักดีกับฝนตกฉับพลัน
ปารีสมีปริมาณน้ำฝนเฉลี่ย 641.6 มม. (25.2 นิ้ว) ต่อปี
ส่วนหิมะมักจะเกิดขึ้นน้อยครั้ง
ส่วนมากมักจะตกในช่วงเดือนมกราคมและกุมภาพันธ์ (แต่เคยตกถึงเดือนเมษายนมาแล้ว) และไม่ค่อยพบว่าหิมะตกติดต่อกันเกินวัน
หวังว่าบทความนี้อาจกระตุ้นให้ไปเที่ยวฝรั่งเศสกันนะคะ
อิอิ
^^
.
มงต์มาร์ตร (Montmartre),
แซ็งต์-แฌร์แม็ง-เดส์-เปรส์ (Saint-Germain-des-Prés) แหล่งรวมร้านกาแฟหรู
โรงหนังและแหล่งซื้อของ, เลอ มาเรส์ (Le Marais)
ถิ่นแฟชั่นทันสมัย, แบลวิล (Belleville)
ย่านไชน่าทาวน์, โอแบร์กองฟ์ (Oberkampf)
สถานที่ย่ำนราตรีย่านต่างๆ ของปารีส มีกิจกรรมที่โดดเด่นเป็นเอกลักษณ์และทำให้เมืองหลวงแห่งนี้มีเสน่ห์อย่างที่เป็นอยู่
การที่แต่ละมุมของปารีสน่าเที่ยวน่าชมเป็นเพราะมีบรรยากาศที่ไม่จำเจ มีการผสมผสานอย่างลงตัว ภาพปารีสที่มีผู้คนเดินเล่น
ขี่จักรยานหรือเล่นสเก็ตอย่างเสรีบนถนนเลียบแม่น้ำแซน
หรือกลุ่มศิลปินที่นั่งวาดภาพบนสะพานปาสเซอแรล เดส์ ซาร์ (Passerelle des Arts)
หรือภาพของอาคารบ้านเรือนแบบคลาสสิคที่มองลงมาจากศูนย์ศิลปะและวัฒนธรรมปอมปิดู (Pompidou) ภาพเหล่านี้แม้จะมาต่อรวมกันทั้งหมดก็ยังไม่พอที่จะอธิบายความเป็นปารีสได้ เพราะปารีสมีเอกลักษณ์ของตัวเอง
ปารีส (Paris) [paˈʁi / ˈpæɹɪs] เป็นเมืองหลวงของประเทศฝรั่งเศส ตั้งอยู่บนแม่น้ำแซน บริเวณตอนเหนือของประเทศฝรั่งเศส บนใจกลางแคว้น อีล-เดอ-ฟรองซ์ (Île-de-France หรือ Région parisienne (RP) ) ภายในกรุงปารีสมีประชากรประมาณ 2,167,994 คน เขตเมืองปารีส (Unité urbaine) ซึ่งมีพื้นที่ขยายเกินขอบเขตอำนาจการปกครองของเมืองนั้น มีประชากรกว่า 9.93 ล้านคน (พ.ศ. 2547)
ในขณะที่ เขตมหานครปารีส(Agglomération parisienne) มีประชากรเกือบ 12 ล้านคนและเป็นหนึ่งในพื้นที่ที่มีประชากรสูงที่สุดแห่งหนึ่งในทวีปยุโรป จากการตั้งถิ่นฐานมากว่า 2 พันปี
ปัจจุบันกรุงปารีสเป็นหนึ่งในศูนย์กลางทางเศรษฐกิจและวัฒนธรรมที่ล้ำสมัยแห่งหนึ่งของโลก และด้วยอิทธิพลของการเมือง การศึกษา บันเทิง สื่อ แฟชั่น วิทยาศาสตร์และศิลปะ ทำให้กรุงปารีสเป็นหนึ่งในเมืองที่สำคัญที่สุดแห่งหนึ่งของโลก
แคว้นอีล-เดอ-ฟรองซ์เป็นศูนย์กลางทางเศรษฐกิจของประเทศฝรั่งเศส
ด้วยจำนวนเงินกว่า 500.8 ล้านล้านยูโร (628.9 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐฯ) ซึ่งมากกว่าหนึ่งส่วนสี่ของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) ของประเทศฝรั่งเศสในปี พ.ศ. 2548 กรุงปารีสยังเป็นสถานที่ทำการของบริษัทยักษ์ใหญ่ 36 บริษัทจากบริษัทยักษ์ใหญ่ 500 บริษัทจากการสำรวจของ ฟอร์จูน โกลบัล 500(Fortune Global 500) อีกด้วย โดยเฉพาะย่านธุรกิจที่สำคัญแห่งหนึ่งของทวีปยุโรป ทั้งยังเป็นที่จัดงานนิทรรศการต่างๆ ซึ่งรวมถึงสหประชาชาติ ฯลฯ ปารีสเป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่โด่งดังแห่งหนึ่งในโลก โดยมีนักท่องเที่ยวต่างชาติมากกว่า 30 ล้านคนต่อปี
กรุงปารีสเป็นหนึ่งใน 4 นครสำคัญของโลก อีกสามนครคือ
ลอนดอน,
โตเกียว
และ นิวยอร์ก
ภูมิศาสตร์
ปารีสตั้งอยู่บนแม่น้ำแซน ซึ่งรวมถึงเกาะอีกสองเกาะคือ อีล แซงต์-หลุยส์ (Île Saint-Louis) และ อีล เดอ ลา ซิเต้ (Île de la Cité) ซึ่งเป็นส่วนที่เก่าแก่ที่สุดของเมือง ภูมิประเทศของปารีสโดยรวมคือ เป็นที่ราบลุ่ม โดยมีจุดต่ำสุดอยู่ที่ 35 เมตร (114 ฟุต) เหนือระดับน้ำทะเล ทั้งยังมีเนินเขาอีกหลายแห่ง เนินเขาที่สูงที่สุดคือ มงต์มาร์ตร์ (Montmartre) (130 เมตร (426 ฟุต))
พื้นที่ของปารีส
ซึ่งไม่รวมสวนสาธารณะบัวส์ เดอ บูโลญ (Bois de Boulogne) และบัวส์ เดอ แวงแซนน์ (Bois de Vincennes)
คือประมาณ 86.928 ตารางกิโลเมตร (33.56 ตารางไมล์) การแบ่งและรวมเขตครั้งสุดท้ายที่ใหญ่ที่สุดคือในปี พ.ศ. 2403 ซึ่งทำให้มีขนาดอย่างที่เห็นในปัจจุบัน ทั้งยังทำให้เกิดเขต (Arrondissement) ที่หมุนรอบๆ ตามเข็มนาฬิกาอีกด้วย ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2403 เป็นต้นมา เมืองปารีสมีขนาด 78 กม.² (30.1 ม.²) และได้ขยายออกไปเป็น 86.9 กม.² (34 ม.²) ในปี พ.ศ. 2463 และตั้งแต่ปี พ.ศ. 2472 เป็นต้นมา สวนสาธารณะบัวส์ เดอ บูโลญและบัวส์ เดอ แวงแซนน์ ได้ผนึกกับตัวเมืองปารีสอย่างเป็นทางการ ทำให้กรุงปารีสมีขนาด 105.397 กม.² (40.69 ม.²) จนถึงปัจจุบัน
ขนาดของกรุงปารีสหรือเขตเมืองปารีสนั้นมีการขยายตัวออกไปเกินเขตเมือง ทำให้เกิดรูปร่างเป็นวงรี ขยายตัวไปตามแม่น้ำแซนและแม่น้ำมาร์น
ทางทิศตะวันออกและตะวันออกเฉียงใต้ของตัวเมือง และตามแม่น้ำแซนและแม่น้ำอวส
ทางทิศตะวันตกและตะวันตกเฉียงเหนือ และถ้าเลยไปยังชนบท
ความหนาแน่นของประชากรจะลดลงอย่างเห็นได้ชัดเนื่องจากมีป่าและที่ดินไว้สำหรับการเพาะปลูก อย่างไรก็ตาม เขตมหานครปารีส (Agglomération parisienne) มีเนื้อที่ถึง 14,518 กม² (5,605.5 ไมล์²) ซึ่งใหญ่กว่าเนื้อที่ กรุงปารีส ถึง 138 เท่า
ภูมิอากาศ
ปารีสมีภูมิอากาศแบบมหาสมุทร ซึ่งมีผลมาจากกระแสน้ำแอตแลนติกเหนือ เพราะฉะนั้นอุณหภูมิในเมืองไม่ค่อยมีอุณหภูมิสูงหรือต่ำเกินไป อุณหภูมิเฉลี่ยของกรุงปารีสคือ 15 °C (59 °F) และจะอยู่ราว 7 °C (45 °F) สถิติอุณหภูมิสูงที่สุดที่วัดได้คือ 40.4 °C (104.7 °F) ในวันที่ 28 กรกฎาคม พ.ศ. 2491 และต่ำที่สุดที่เคยวัดได้คือ −23.9 °C (−11.0 °F)
เมื่อวันที่ 10 ธันวาคม พ.ศ. 2422
เมืองปารีสได้ประสบกับอุณหภูมิร้อนจัดในปี พ.ศ. 2547
และหนาวจัดในปี พ.ศ. 2549
ฝนสามารถตกทุกเมื่อ และปารีสก็เป็นที่รู้จักดีกับฝนตกฉับพลัน
ปารีสมีปริมาณน้ำฝนเฉลี่ย 641.6 มม. (25.2 นิ้ว) ต่อปี
ส่วนหิมะมักจะเกิดขึ้นน้อยครั้ง
ส่วนมากมักจะตกในช่วงเดือนมกราคมและกุมภาพันธ์ (แต่เคยตกถึงเดือนเมษายนมาแล้ว) และไม่ค่อยพบว่าหิมะตกติดต่อกันเกินวัน
หวังว่าบทความนี้อาจกระตุ้นให้ไปเที่ยวฝรั่งเศสกันนะคะ
อิอิ
^^
.
วันศุกร์ที่ 7 สิงหาคม พ.ศ. 2552
สำนวนอังกฤษ (Idiom และ สำนวนไทยที่นิยม)
สำหรับวันนี้นะคะดิฉันก็มีเรื่องเกี่ยวกับสำนวนมาบอกเพื่อนๆกันค่ะ ^^
1. a double –edged sword
ดาบสองคม
2. Build castles in the air
สร้างวิมานในอากาศ
3. Diamond cut diamond
เพชรตัดเพชร
4. Hang by a thread
แขวนอยู่บนเส้นด้าย
5. in two minds
สองจิตสองใจ
6. lead by the nose
จูงจมูก
7. let bygones be bygones
ให้มันแล้ว แล้วไป
8. make someone's head spin
ทำให้หัวปั่น
9. pave the way
ปูทาง
10. play with fire
เล่นกับไฟ
11.Slippery as an eel
ลื่นเหมือนปลาไหล
12. a dirty old man
เต่าหัวงู
13. The sooner the better
ยิ่งเร็วยิ่งดี
14. Two-faced
ตีสองหน้า
15. Sleeping partner
เสือนอนกิน
16. A thorn in someone's flesh
หนามยอกอก
17. an old flame
ถ่านไฟเก่า
18. attemp an uphill task
เข็นครกขึ้นเขา
19. before someone's eyes
ต่อหน้าต่อตา
20. bone idle (lazy)
ขี้เกียจสันหลังยาว
21. born with a silver spoon in one's mouth
คาบช้อนเงินช้อนทอง
22. born yesterday
เด็กเมื่อวานซืน
23. brand new
ใหม่ถอดด้าม
24. broke
ถังแตก
25. by the sweat of one's brow
อาบเหงื่อต่างน้ำ
26. dead to the world
หลับเป็นตาย
27. dog in the manger
หมาห้วงก้าง
28. get blood from a stone
รีดเลือดปู
29. Green eyed
อิจฉาตาร้อน
30. Heads and tai
โยนหัวโยนก้อย
31. in one ear and out the other
เข้าหูซ้ายทะลุหูขวา
32. It's small world
โลกแคบ
33. in the palm of one's hand
อยู่ในกำมือ
34. kill two birds with one stone
ยิงทีเดียวได้นกสองตัว
35. Lick someone's boots
เลียแข้งเลียขา
36. a diamond of the first water
เพชรน้ำหนึ่ง
37. lock the stable door after the horse is stolen
วัวหายล้อมคอก
38. look for a needle in a haystack
งมเข็มในมหาสมุทร
39. look like a drowned rat
เหมือนลูกหมาตกน้ำ
40. make a clean breast of
เปิดอก
41. old maid
สาวทึนทึก
42. packed ( in ) like sardines
อัดแน่นเป็นปลากระป๋อง
43. play a dirty trick
เล่นลูกไม้
44. put down roots
ฝังรกราก
45. put one's foot in it
แกว่งเท้าหาเสี้ยน
46. root and branch
ถึงรากถึงโคน
47. scapegoat
แพะรับบาป
48. see which way the wind is blowing
ดูทิศทางลม
49. show the white flag
ยกธงขาว
50. silver tongue
ลิ้นทอง
51. skin and bone
หนังหุ้มกระดูก
52. stand on one's own feet
ยืนบนขาของตัวเอง
53. sweet talk
ปากหวาน
54. thin as a rake
ผอมเหมือนไม้เสียบผี
55. tighten one's belt
รัดเข็มขัด
56. vanish into thin air
หายเข้ากลีบเมฆ
57. wake a sleeping lion
แหย่เสือหลับ
58. a cat and dog life
ขมิ้นกับปูน
เพื่อนๆ สามารถ นำมาปรับใช้ได้นะคะไม่หวงคะ อิอิ ><
.
1. a double –edged sword
ดาบสองคม
2. Build castles in the air
สร้างวิมานในอากาศ
3. Diamond cut diamond
เพชรตัดเพชร
4. Hang by a thread
แขวนอยู่บนเส้นด้าย
5. in two minds
สองจิตสองใจ
6. lead by the nose
จูงจมูก
7. let bygones be bygones
ให้มันแล้ว แล้วไป
8. make someone's head spin
ทำให้หัวปั่น
9. pave the way
ปูทาง
10. play with fire
เล่นกับไฟ
11.Slippery as an eel
ลื่นเหมือนปลาไหล
12. a dirty old man
เต่าหัวงู
13. The sooner the better
ยิ่งเร็วยิ่งดี
14. Two-faced
ตีสองหน้า
15. Sleeping partner
เสือนอนกิน
16. A thorn in someone's flesh
หนามยอกอก
17. an old flame
ถ่านไฟเก่า
18. attemp an uphill task
เข็นครกขึ้นเขา
19. before someone's eyes
ต่อหน้าต่อตา
20. bone idle (lazy)
ขี้เกียจสันหลังยาว
21. born with a silver spoon in one's mouth
คาบช้อนเงินช้อนทอง
22. born yesterday
เด็กเมื่อวานซืน
23. brand new
ใหม่ถอดด้าม
24. broke
ถังแตก
25. by the sweat of one's brow
อาบเหงื่อต่างน้ำ
26. dead to the world
หลับเป็นตาย
27. dog in the manger
หมาห้วงก้าง
28. get blood from a stone
รีดเลือดปู
29. Green eyed
อิจฉาตาร้อน
30. Heads and tai
โยนหัวโยนก้อย
31. in one ear and out the other
เข้าหูซ้ายทะลุหูขวา
32. It's small world
โลกแคบ
33. in the palm of one's hand
อยู่ในกำมือ
34. kill two birds with one stone
ยิงทีเดียวได้นกสองตัว
35. Lick someone's boots
เลียแข้งเลียขา
36. a diamond of the first water
เพชรน้ำหนึ่ง
37. lock the stable door after the horse is stolen
วัวหายล้อมคอก
38. look for a needle in a haystack
งมเข็มในมหาสมุทร
39. look like a drowned rat
เหมือนลูกหมาตกน้ำ
40. make a clean breast of
เปิดอก
41. old maid
สาวทึนทึก
42. packed ( in ) like sardines
อัดแน่นเป็นปลากระป๋อง
43. play a dirty trick
เล่นลูกไม้
44. put down roots
ฝังรกราก
45. put one's foot in it
แกว่งเท้าหาเสี้ยน
46. root and branch
ถึงรากถึงโคน
47. scapegoat
แพะรับบาป
48. see which way the wind is blowing
ดูทิศทางลม
49. show the white flag
ยกธงขาว
50. silver tongue
ลิ้นทอง
51. skin and bone
หนังหุ้มกระดูก
52. stand on one's own feet
ยืนบนขาของตัวเอง
53. sweet talk
ปากหวาน
54. thin as a rake
ผอมเหมือนไม้เสียบผี
55. tighten one's belt
รัดเข็มขัด
56. vanish into thin air
หายเข้ากลีบเมฆ
57. wake a sleeping lion
แหย่เสือหลับ
58. a cat and dog life
ขมิ้นกับปูน
เพื่อนๆ สามารถ นำมาปรับใช้ได้นะคะไม่หวงคะ อิอิ ><
.
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)