วันอาทิตย์ที่ 29 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

ใครอยากไปสวิตเซอร์แลนด์ยกมือขึ้น [[5]]

บรรยากาศช่วงเช้าของ Interaken ตื่นนอนแต่เช้าตรู่เพื่อขึ้นไปดูหิมะที่ Jungfraujoch และนี่เป็นบรรยากาศช่วงเช้าของ Interaken ที่นี่เป็นจุดที่จะขึ้นรถไฟไต่ภูเขา อากาศค่อนข้างหนาว ที่เห็นบริเวณป้ายรถเมล์ หรือสถานีรถไฟ มักจะมีห้องหรือฉากกั้นแบบที่เห็น ให้คนรอรถเข้าไปนั่งเพราะถ้าหน้าหนาวและมีลมพัดด้วยก็จะหนาวมากเขาเลยทำที่กั้นไว้จะได้ป้องกันความหนาวเย็นได้ส่วนหนึ่ง พวกเราพยายามมีของติดตัวไปน้อยที่สุด เพราะต้องการประหยัดพลังงานในการเดินทาง เนื่องจากข้างบนนั้นมีอากาศให้เราหายใจน้อย ที่นี่มีตู้รับฝากของด้วย เขาทำเป็นตู้ Locker เราเอาของใส่ไว้แล้วก็หยอดเหรียญ 2 Fr., 4Fr., หรือ 6Fr. ตามขนาดของตู้ แล้วก็ปิดกุญแจ ของในตู้ก็จะอยู่อย่างปลอดภัยรอเรามาไขกุญแจเปิดเอาของออก แต่ถ้าลืมของหรือต้องการเปิดตู้ นั่นหมายความว่าเวลาปิดกุญแจอีกครั้งก็ต้องหยอดเหรียญใหม่ค่ะ

จุดเปลี่ยนรถ เราเดินทางมาด้วยรถไฟคันสีเหลือง และมาเปลี่ยนเป็นรถไฟสีแดงที่นี่เลยได้โอกาสเก็บภาพบรรยากาศมาอวด รอบๆ ข้างเริ่มเห็นเป็นสีขาวสลับกับสีเขียวของต้นไม้บนภูเขา จากจุดนี้เราต้องเดินทางด้วยรถไฟสีแดงเพื่อที่จะไต่เขาขึ้นสู่ยอดที่สูงที่สุดของยุโรป และถ้าสังเกตให้ดีรางรถไฟจะมีลักษณะเป็นฟันเฟืองอย่างที่เห็นนี่แหละ

JUNGFRAUJOCHTop of Europe อยู่บนเทือกเขา Elp ความสูง 3454 เมตร หรือ 11,333 ฟุต เหนือระดับน้ำทะเล ที่นี่จะมีหิมะให้ชมได้ตลอดทั้งปี วันที่เราขึ้นไปอุณหภูมิประมาณ -1.60 องศาเซลเซียส ที่นี่เป็นพิพิธภัณฑ์รูปทรงอย่างที่เห็นในรูปเล็ก ฝรั่งนี่ก็ช่างอุตสาหะเสียจริงๆ เห็นแล้วต้องทึ่งในความพยายามและความสามารถ แต่ก็คุ้มเพราะปีหนึ่งๆ ที่นี่นำรายได้เข้าประเทศสวิตเซอร์แลนได้มากทีเีดียว JUNGFRAUJOCH มีความหมายว่า ผู้หญิงสาวบริสุทธิ์

จุดที่ให้นักท่องเที่ยวได้สัมผัสกับหิมะ เป็นลานกว้างพอประมาณ มองไปรอบๆ เห็นแต่ภูเขาที่ปกคลุมไปด้วยหิมะสีขาวโพลน ถูกแสงแดดส่องสะท้อนเข้าตาเล่นเอาแสบตา และมึนศีรษะทีเดียว วันนี้พวกเราโชคดีที่ท้องฟ้าเปิด เพราะถ้าฝนตกอย่างกับเมื่อ 2 วันก่อนนี้เราคงไม่ได้เห็นอะไรไกลมาก เพราะหมอกจะเยอะมาก แต่วันนี้เราเห็นได้ไกลสุดลูกหูลูกตาเลยทีเดียว แถมเรายังเห็นว่าก้อนเมฆลอยอยู่ต่ำกว่าจุดที่เรายืนอยู่เสียอีก (นี่แหละที่มาของคำว่า "มาเหนือเมฆ") เท้าของเราย่ำลงบนหิมะสีขาว ด้วยน้ำหนักตัวที่ไม่น้อยทำให้เท้าของเราจมหายลงไปในหิมะครึ่งน่อง หัวใจตกไปอยู่ที่ตาตุ่ม (ลงไปแช่แข็ง) เพราะเกรงว่าบางจุดอาจจะจมมากกว่านี้หรือมันจะกลืนเราลงไปได้ทั้งตัว.... คิดแล้วยิ่งหนาว...หนาว...หนาว... แต่ก็ยังก้าวต่อไป เพราะจุดหมายของเราก็คือ ธงชาติสวิต ที่ปักไว้ให้เรามาถ่ายรูปเป็นที่ระลึกพวกเราก็ไม่พลาด


รสชาติมันเป็นยังงัยนะ... ลองหยิบหิมะขึ้นมาก้อนหนึ่งใส่ปากชิมดู ก็ไม่ได้ต่างจากน้ำแข็งเกร็ดหิมะที่ราดด้วยน้ำแดงกับนมข้นหวาน เพียงแต่ว่าคราวนี้มันจืดๆ เราใช้เวลาอยู่กับหิมะไม่นานเพราะทนความหนาวไม่ไหว และเท้าที่จมลงไปในหิมะตอนนี้ก็มีเกร็ดน้ำแข็งเกาะเต็มไปหมด (ใส่รองเท้าแบบไม่ได้หุ้มเท้าทั้งหมด) คงเป็นเพราะเท้าเราอุ่นมั้ง หิมะพวกนี้ก็คงจะแสวงหาความอบอุ่นอยู่เหมือนกัน ส่วนเท้าของเราตอนนี้มันเริ่มชาแล้ว คุณมดพาเราไปห้องน้ำแล้วก็ใช้ผ้าที่เตรียมมาชุบน้ำอุ่นมาเช็ดเท้า... ฮ้า...รู้สึกสบายขึ้นนี่ก็เป็นอีกจุดหนึ่งที่เราได้สัมผัสกับบรรยากาศรอบๆ ที่รายล้อมไปด้วยภูเขาน้ำแข็ง ที่นี่ก็อุณหภูมิ -1.60 องศาเซลเซียส เหมือนกัน แต่ฝรั่งพวกนี้หัวใจไม่แข็ง เพราะมีสาวๆ มาคอยเป็นตากล้อง ส่งเสียงร้องวี๊ดว้ายกันใหญ่เมื่อเห็นหนุ่มๆ เปลือยอกท่ามกลางภูเขาน้ำแข็ง เราเลยไม่พลาดเหมือนกัน... ขอเก็บเอามากรี๊ด บ้างนะ

หมากรุกฝรั่ง ที่นี่ก็เป็นที่รวมของคนชอบเล่นหมากรุก แบบสภากาแฟของบ้านเรา สำหรับเป็นที่ชุมนุมชน พูดคุย พบปะสังสรรค์ แต่ที่แปลกเสียหน่อยก็คือหมากรุกตัวใหญ่มาก เขาเล่นกันหลายกลุ่มมีทั้งกลุ่มวัยสูงอายุ จนกระทั่งกลุ่มเด็กวัยรุ่นก็มี


เครดิต http://www.maemodpuk.4t.com/story/swiss5/swiss5.html ที่ให้ข้อมูลในการค้นคว้าค่ะสนุกดีนะคะ ^^ ขอขบอบคุณคะ

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น