วันพฤหัสบดีที่ 29 เมษายน พ.ศ. 2553
7 ข้อผิดพลาดในการแต่งตัวที่ทำร้ายความสวยของคุณ
จำไว้ว่าถ้าเสื้อผ้าไม่พอดีกับตัวคุณ ก็อย่าใส่เสียเลยจะดีกว่า เพราะการย่อตัวจนหดเล็กอยู่ในเสื้อผ้าที่เล็กกว่าไซส์ที่คุณควรใส่ นอกจากทำให้กินไม่ได้เต็มที่แล้ว อาจดูเหมือนคุณกินมากเกินไปจนเใส่เสื้อผ้าแล้วปลิ้นลิ้นหรือเปล่า
ดังนั้นควรเลือกเสื้อผ้าโดยลองให้พอดีมากกว่ายึดไซส์เป็นเกณฑ์เพราะเสื้อผ้า แต่ละแบรนด์ก็ไม่ได้ยึดมาตรฐานเดียวกันเท่าไหร่ ดังนั้นเสื้อผ้าเสื้อผ้าไซส์ s ของยี่ห้อหนึ่งอาจใหญ่กว่าอีกยี่ห้อได้ และถ้าเป็นกางเกงอย่างน้อยควรลองนั่งดูว่าไม่เกิดการดึงรั้งแต่อย่างใด อย่าทรมานตัวเองเลย
แต่งหน้าอำพรางความงามซะเฉยๆ ต้องดูด้วยนะคะว่าตอนกลางวันหรือกลางคืน ถ้าเป็นกลางวันควรจะแต่งแบบบางเบา เพราะจะเห็นได้ชัดอยู่แล้ว ส่วนกลางคืนก็แต่งเข้มหน่อย ปกติเราก็จะเปลี่ยนเสื้อผ้าตามกิจกรรมที่ทำอยู่แล้ว เมคอัพก็ควรเปลี่ยนตามนั้นเช่นกัน อย่างถ้าจะแต่งปากดำก็เหลือบดูคนรอบข้างนิดหนึ่งว่ายุคนี้สมัยนี้เขาแต่งกัน อย่างไรแล้ว
หรือบางคนเน้นประโคมพอกหน้าเสียจนบิดเบือนความงามที่อยู่ตามธรรมชาติ
ถุงน่องกลายเป็นถุงพันน่อง บางคนชอบใส่ถุงน่องเพื่อปกปิดจุดด้อยที่เรียวขา แต่เราก็ต้องมีเทคนิคในการเลือกถุงน่องที่ใส่ด้วย
การเลือกถุงน่องที่สีเดียวกับรองเท้าและชายกระโปรงจะทำให้คุณดูสูงชะลูดและ ผอมเพรียวขึ้นทันตา ถ้าสวมกระโปรงและรองเท้าสีดำ เราก็ควรเลือกใส่ถุงน่องเนื้อดำวาวก็จะดูเก๋ขึ้นมาทันที ถ้าสวมเดรสสีฟ้าสดกับรองเท้าที่ออกเขียวควรเลือกถุงน่องเขียว ไม่ใช่ถุงน่องดำเสียตลอดเพราะต้องการซ่อนน่องโตๆ ของคุณ แต่คุณรู้หรือเปล่าว่าถ้าคุณไม่ได้ใส่กระโปรงและรองเท้าดำ แต่ดันสวมถุงน่องดำนั้นจะเป็นการดึงสายตาทุกคู่มาสนใจขาของคุณอย่างเลี่ยง ไม่ได้
เล็บที่ทำให้ดูไม่เป็นเซเล็บเสียเลย ควรที่จะดูแลเล็บให้สะอาด ตัดแต่งเสมอ พกกรรไกรตัดเล็บหรืออุปกรณ์ติดตัวไว้บ้างเพื่อต้องการใช้ฉุกเฉิน ตกแต่งทับส่วนที่หัก และเช็ดคราบสีเดิมออก ถ้าทำงานในส่วนธุรกิจควรเลือกสีเล็บที่ไม่ต้องฉูดฉาดมากนักเพื่อสร้างความ น่าเชื่อถือ และเก็บสไตล์มันส์ๆ ไว้แต่งตอนสุดสัปดาห์จะดีกว่า
สำหรับคนที่นิยมการทาเล็บก็มิควรปล่อยให้สีเล็บหลุดลอกถลอกปอกเปิกเอากัน เข้านะ มันจะทำให้คุณดูเป็นคนสกปรกแบบมีเศษอะไรติดเล็บเอา
ซับในที่ดูดซับความสวย สำหรับคนที่ต้องใส่ซับใน โชคอาจไม่เข้าข้าง เพราะซับในที่ผลิตออกมาวางจำหน่ายคงไม่พอดีกับทุกระดับความยาวของกระโปรงที่ คุณมี ดังนั้นควรซื้อไว้หลายระดับความยาว และเปลี่ยนทันทีเมื่อยางยืดเริ่มหย่อนยาน ควรซื้อซับในสีที่คุณมักใช้ประจำอย่างสีดำ สีกรมท่า สีเบจ และสีขาว ทีนี้คุณก็จะหมดกังวลว่าซับในของคุณจะมาบดบังความสวยงามของชุดแล้ว
ผมเผ้าที่ชำเราความสวย สีผมเป็นสิ่งที่สร้างความเปลี่ยนแปลงให้กับคุณอย่างมาก อาจทำให้คุณรุ่งหรือดับไปเลยก็ได้ ถ้าเลือกสีผมที่เข้ากับใบหน้าก็จะทำให้หน้าคุณดูสว่าง มีลุคส์ที่ทันสมัยมากขึ้น แต่อาจจะเปลืองงบประมาณสักหน่อย ไม่ว่าจะเป็นสีอะไรที่คุณเหลือกก็ควรเข้ากับสีผิวคุณด้วย และที่สำคัญก็หมั่นดูแลสุขภาพเส้นผมไม่ให้แห้งเสีย หยาบกระด้างเพื่อเพิ่มเสน่ห์ให้คุณยิ่งดูดีขึ้นอีกด้วย
วันเสาร์ที่ 24 เมษายน พ.ศ. 2553
ไดอารี่ของเพื่อนคนหนึ่ง ถึง คำว่า เพื่อน
... การเป็นคนที่มีเหตุผล ทำให้เรารู้จักและยอมรับในกฎเกณฑ์ของสังคม
... และอยู่ร่วมกันในสังคมได้ ...
... แต่ระหว่าง "เพื่อน" ...... ถ้าใช้แค่เพียง "เหตุผล" อาจจะไม่พอ ...
... เพราะแต่ละคนก็มีเหตุผลของตัวเองด้วยกันทั้งนั้น ...
... และเมื่อต่างยึดมั่น ถือมั่น ..... ในเหตุผลของตนเอง ...... ทัศนคติก็จะไม่ตรงกัน ...
... ทำให้เพื่อนลืมไปว่า ...
... เราเป็นอะไรที่มากกว่า แค่ "คนรู้จัก" กัน ...
... สิ่งที่สำคัญกว่าเหตุผลคือ "ความเข้าใจ" ...
... แม้ทัศนคติจะไม่ตรงกัน แต่เพื่อนก็อยู่ด้วยกันได้ ...
... แค่ทำความเข้าใจในตัวตนของกันและกัน ...
... และสิ่งนี้แหละ ทำให้เกิดคำว่า "เพื่อน" ทำให้เราเป็นมากกว่า ...
... แค่ "คนรู้จัก" กัน ...
วันพฤหัสบดีที่ 22 เมษายน พ.ศ. 2553
ประโยชน์ของมือถือ ที่คุณยังไม่รู้
1. หมายเลขสากลฉุกเฉิน 112 ใช้ได้ทั่วโลก ถ้าเกิดเราหลงไปอยู่ในเขตที่ไม่มีสัญญาณเลย แต่มีเหตุด่วนเหตุร้ายให้กด 112 แล้วมันจะหาเบอร์ให้เองอัตโนมัติ แม้แต่เราล็อคปุ่มก็ยังกดเบอร์นี้ได้
2. ใช้ในกรณีที่ลืมกุญแจไว้ในรถ… สำหรับรถที่ใช้ Remote Key ถ้ารถล็อคไปแล้ว แต่เรามีกุญแจสำรองอยู่ที่บ้าน ให้โทรไปหาคนที่อยู่ที่บ้านด้วยมือถือ (เราต้องโทรไปหาเบอร์มือถือของเขาด้วยนะ) เมื่อเขารับแล้วให้เราบอกเขา ให้กดปุ่ม unlock บนกุญแจสำรอง ในขณะที่เราถือมือถือ ให้ห่างจากประตูรถประมาณ 1 ฟุต (คนที่อยู่บ้านที่เราวานให้กด ต้องเอากุญแจไปจ่อใกล้กับมือถือของเขาในขณะที่กดปุ่ม) ประตูรถก็จะเปิดออก เหมือนเรากดปุ่มรีโมทด้วยตัวเอง ระยะทางไม่มีปัญหา แม้รถกับบ้านจะอยู่ห่างกันเป็นร้อยๆ กม. ก็ตาม
3. กรณีแบ็ตใกล้จะหมด *3370# สำหรับมือถือ Nokia ถ้าเกิดถ่านเหลือน้อยเต็มที จนใกล้ดับแต่เราจำเป็นต้องโทรออกให้กด * 3370# มันจะรีดพลังสำรองที่ซ่อนออกมาแล้วแสดงให้เห็นว่า เพิ่มพลังถ่านให้ขึ้นมาอีก 50% และมันจะชดเชยส่วนสำรองนี้ในการชาร์จแบตครั้งต่อไป
4. ถ้าโทรศัพท์หายต้องการทำให้ใช้ไม่ได้ตลอดไป ในกรณีนี้เราต้องใช้ หมายเลข serial number ประจำเครื่อง ซึ่งมี 15- 17 หน่วย การที่จะทราบหมายเลขนี้ กด * #06# แล้วหมายเลขประจำเครื่อง ก็จะขึ้นมาให้เห็นทันทีเหมือนเล่นกล จดไวแล้วเก็บไว้ให้ดี …. ที่นี้ถ้ามือถือหายหรือตกหล่น ให้โทรไปที่ศูนย์ แล้วแจ้งหมายเลขให้เขาไป เขาก็จะบล็อคเครื่องของเราให้ แล้วทีนี้มือถือที่หายไปจะใช้ไม่ได้อีกเลย ถึงแม้ว่าคนขโมยไปจะเปลี่ยน sim card มันก็จะยัง ใช้ไม่ได้อยู่ดี
วันพุธที่ 21 เมษายน พ.ศ. 2553
ทำไมต้องโกหกกัน และความรู้เกี่ยวกับการโกหก
การโกหกเป็นสิ่งไม่ดี เราทุกคนรู้และไม่มีใครชอบ แต่เพราะอะไร ทำไมถึงต้องโกหก
ยิ่งใกล้ชิดยิ่งโกหก
นักจิตวิทยาพบว่า มนุษย์เริ่มโกหกเป็นตั้งแต่อายุ 2 ขวบ และเมื่ออายุได้ 5 ขวบ ความสามารถในการโกหกจะได้รับการพัฒนาขึ้นอีกมาก
แต่อย่าเพิ่งตกใจไป เพราะในทางจิตวิทยาถือว่าการโกหกเป็นธรรมชาติของเด็กที่เกิดขึ้นอย่างบริสุทธิ์ ไม่มีพิษมีภัย เพราะเด็กยังไม่สามารถแยกแยะจินตนาการออกจากความจริงได้
เด็กมักโกหกเพราะความกลัว ต้องการเลียนแบบและเรียกร้องความสนใจจากผู้ใหญ่
แต่เมื่อโตขึ้น ไม่ว่าหญิงและชาย ประเภทและระดับการโกหกจะยิ่งมากขึ้นและซับซ้อนเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ
งานวิจัยล่าสุดของ โรเบิร์ต เฟลด์แมน อาจารย์ด้านจิตวิทยา มหาวิทยาลัยแมสซาซูเซตส์ และผู้เขียนหนังสือเรื่อง The Liar in Your Life พบว่า ระหว่างการสนทนาทุกๆ 10 นาที จะมีการโกหกประมาณ 2-3 ครั้ง และในบางคู่สนทนาอาจเกิดขึ้นได้มากถึง 12 ครั้ง
เจมส์ แพตเตอร์สัน ผู้เขียนหนังสือ The Day America Told the Truth เผยว่า ไม่ว่าคู่สนทนาจะเป็นใครก็ตามแต่ แทบทุกครั้งของการสนทนามักจะมีเรื่องโกหกร่วมอยู่ด้วยเสมอ เป็นไปไม่ได้เลยที่ทุกคนจะพูดความจริงต่อกันทั้งหมด โดยเฉพาะอย่างยิ่งบรรดาคนใกล้ชิดอย่างคู่รัก พ่อ แม่ ลูก
โกหกกันเพื่ออะไร
การโกหกเกิดขึ้นได้ทุกที่ทุกเวลาตราบเท่าที่มีการสื่อสารกัน แม้กระทั่งการสื่อสารข้อความผ่านอีเมล หรือการส่งข้อความสั้นทางโทรศัพท์ (sms)ก็เป็นอีกช่องทางยอดฮิตในการโกหก
พอล เอ๊กแมน ศาสตราจารย์ด้านจิตวิทยา มหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย ซึ่งศึกษาเรื่องการโกหกมานานกว่าสี่สิบปี ลงความเห็นว่า “มนุษย์ไม่สามารถหลีกเลี่ยงการโกหกได้ ดังนั้นการทำความเข้าใจเรื่องการโกหกจะเป็นผลดีต่อชีวิต”ว่าจะดีขึ้นแค่ไหน เราคงต้องมาพิจารณาดูประเภทของการโกหกก่อน
โกหกสีขาว (White Lie) เป็นการโกหกด้วยเจตนาดี เพื่อถนอมความรู้สึกและรักษาน้ำใจ แทนที่จะบอกความจริงที่เชื่อว่าผู้ฟังคงรับไม่ได้ออกไป บางครั้งการโกหกในลักษณะนี้เป็นการพูดเพื่อให้กำลังใจอีกฝ่าย เรียกได้ว่าเป็นการโกหกเพื่อทำให้ผู้อื่นมีความสุขนั่นเอง
งานวิจัยหลายชิ้นระบุว่า การ “รู้จักโกหก”เพื่อเข้าสังคมนั้น ส่งผลให้บุคคลนั้นๆ เป็นที่ชื่นชอบของคนในสังคมมากกว่าผู้ที่พูดแต่ความจริงเพราะการเข้าสังคมบางครั้งจำเป็นต้องปรุงแต่คำพูดซึ่งต่างไปจากความรู้สึกที่แท้จริงเพื่อให้คู่สนทนาสบายใจและประทับใจ
โกหกเพื่อปกป้องตนเอง เป็นการโกหกเพื่อการเอาตัวรอด เช่นกลัวความผิด กลัวถูกทอดทิ้ง กลัวเสียเกียรติ กลัวการเผชิญหน้า กลัวความผิดหวัง ฯลฯ การโกหกประเภทนี้ในบางครั้งอาจร้ายแรงถึงขั้นโยนความผิด ใส่ความผู้อื่น เป็นพยานเท็จ ฯลฯ
โกหกเพื่อหวังผลประโยชน์ เป็นการโกหกเพื่อทำให้ตนเองได้รับการยอมรับ ความไว้วางใจ ได้โอกาสในการทำงาน มักเป็นในรูปของการปลอมแปลงข้อมูลทางคุณวุฒิ คุณสมบัติ ฐานะการเงิน ฯลฯ
โกหกตนเอง มักเกิดกับคนที่สูญเสียความมั่นใจ สับสน และหวาดกลัวความจริง คนประเภทนี้มักสร้างเรื่อง “หลอกตนเอง”ให้คลายจากความทุกข์ชั่วขณะ เช่นหลอกว่าคนรักที่ทอดทิ้งไปยังมีใจให้อยู่เสมอ และสุดท้ายคนเหล่านี้มักโทษตนเอง อาจเลยไปถึงขั้นทำร้ายร่างกายตนเองหรือตกอยู่ในภาวถซึมเศร้าก็มี
และเมื่อไรก็ตามที่การโกหกลักษณะนี้มีการพัฒนาการมากขึ้น ข้อมูลที่ไม่จริงทั้งหลายก็จะถูกตอกย้ำใส่หูตนเองซ้ำๆ จนตัวเองเริ่มเชื่อว่าเป็นเรื่องจริง จากนั้นจึงนำเรื่องไม่จริง(ที่ตัวเองเชื่อว่าจริง)นี้ไปบอกผู้อื่นต่อ ทางจิตเวชถือว่าอาการเช่นนี้อยู่ในข่ายอันตรายที่ต้องได้รับการบำบัดเยียวยาอย่างเร่งด่วน
ผู้ชาย เพราะผู้หญิงมีความสามารถในการใช้สมองซีกขวา รวบรวมเรื่อง จัดการอารมณ์และความรู้สึกได้ดีกว่าผู้ชาย ผู้หญิงมักโกหกเพื่อถนอมความรู้สุก รักษาน้ำใจของคนใกล้ชิด
• ผู้ชาย * มักโกหกเพื่อผลประโยชน์ของตนเอง และมักเห็นว่าการโกหกเป็นทางออกที่ง่ายที่สุด สถิคิโดยเฉลี่ย ผู้ชายจะโกหกมากถึง 6 ครั้งต่อวัน ขณะที่ ผู้หญิงจะโกหกเพียง 2 ครั้งต่อวัน
• - ประโยคโกหกยอดฮิต ของทั้งหญิงและชาย “ไม่เป็นไร… สบายดี”
• - ประโยคโกหกยอดฮิตที่ทำให้คนรักหน้ามืดตามัว “คุณเป็นคนเดียวที่ฉันจะรักจนวันตาย”
• - ประโยคโกหกยอดฮิตที่คนมักใช้กับคนรักเพื่อหวังให้อีกฝ่ายใจอ่อนยอมยกโทษให้ “รับรองจะไม่มีเหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้นอีก…ครั้งนี้จะเป็นครั้งสุดท้าย”
จะรู้ได้อย่างไรว่าใครโกหก นักจิตวิทยาพบสถิติที่น่าสนใจว่า บรรดาคนพูดโกหกจำนวนกว่า 75 เปอร์เซ็นต์ หากพบว่าไม่มีใครจับได้ คนเหล่านั้นก็มีแนวโน้มจะพูดโกหกต่อไปเรื่อยๆ เพราะเห็นว่าการโกหกเป็นเรื่องธรรมดา
แต่เชื่อหรือไม่ว่า ไม่ว่าคนคนนั้นจะโกหกได้แนบเนียนอย่างไร ก็ไม่อาจปิดบังปฏิกิริยาในร่างกายขณะโกหกได้ เช่น อัตราการเต้นของหัวใจและชีพจรจะไม่สม่ำเสมอ เหงื่อจะออกมากขึ้น อุณหภูมิในร่างกายสูงขึ้น ที่สำคัญระดับความดันโลหิจจะสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว ทำให้เกิดการระคายเคืองในระดับเนื้อเยื่อ เช่นบริเวณจมูก ลำคอ ใบหน้า คนที่กำลังโกหกจึงมักเกาหรือถูผิวหนังบริเวณนั้นบ่อยๆเพื่อลดการระคายเคือง
อาการผิดปกติที่พบเห็นทั่วไปเมื่อเวลาโกหก
1. หลบสายตา กะพริบตาหรือกลอกตามองซ้ายขวาไปมาบ่อยครั้งอย่างไม่จำเป็น
2. กลืนน้ำลายบ่อยกว่าปกติ อาการนี้ผู้ชายจะเป็นมากกว่า
3. น้ำเสียงไม่ปกติ ขึ้นเสียง โวยวายเมื่อถูกถามซ้ำๆเพราะคนโกหกจะไม่สามารถจดจำรายละเอียดเล็กๆน้อยๆได้นาน หรือเล่าความได้ครบถ้วนเหมือนตอนที่เล่าครั้งแรก
4. ตอบคำถามด้วยการย้ำคำพูดหรือหยุดชะงัก ก่อนจะตอบคำถามแบบยืดยาวด้วยการทวนคำถามอีกรอบ ทั้งนี้เพื่อประวิงเวลาในการสร้างเรื่องโกหก
โกหกแล้วได้อะไร
อันดับแรกคือ ความโล่งอกที่หลุดพ้นภาวะหน้าสิ่วหน้าขวานนั้นมาได้ แต่สิ่งที่จะตามมาติดๆคือ ความกังวลใจ กลัวไปสารพัด เพราะไม่อยากถูกจับได้
แต่ยิ่งกลัวมากเท่าไร โอกาสที่การโกหกจะลุกลามต่อไปก็มีมากยิ่งขึ้นเท่านั้น เพราะเมื่อกลัวว่าที่โกหกไปแล้วจะไม่แนบเนียนก็ย่อมต้องโกหกเรื่องอื่นๆ ตามมาเพื่อเสริมความน่าเชื่อถือขึ้นอีกเป็นชั้นๆ บางกรณีเมื่อโกหกแล้วยังไม่มีใครจับได้ ก็ได้ใจและทำต่อไปเรื่อยๆ สำหรับบางคนเลยเป็นสิ่งที่กลายเป็นนิสัยที่แก้ไม่หาย
แต่ความลับไม่มีในโลก ดังนั้นไม่ว่าการโกหกจะถูกเปิดโปงด้วยวิทยาการล้ำสมัยหรือเป็นการจนมุมง่ายๆด้วยวิธีใดก็ตามที ผลที่ผู้โกหกจะได้รับคงไม่แตกต่างไปจากเด็กเลี้ยงแกะที่ต้องอยู่อย่างโดดเดี่ยว ไม่มีใครเชื่อถือและให้ความไว้วางใจอีกต่อไป
รู้จัก ปฏิกิริยา พิน็อกคิโอการแตะจมูกเป็นสัญญาณมือสำคัญที่สื่อว่า เขากำลังโกหก นักวิทยาศาสตร์พบว่า เมื่อคนเราโกหก ความดันเลือดจะสูงขึ้น จมูกจะบานออก หรือที่เรียกว่า พิน็อกคิโอ ทำให้คนที่โกหกต้องถูจมูกเร็วๆ เมื่อคลายอาการคันที่เกิดขึ้น
วันอังคารที่ 20 เมษายน พ.ศ. 2553
ประวัติความเป็นมาของอินเตอร์เน็ต
ในปี 2526 อาร์พาเน็ตก็ได้แบ่งเป็น 2 เครือข่ายด้านงานวิจัย ใช้ชื่ออาร์พาเน็ตเหมือนเดิม ส่วนเครือข่ายของกองทัพใช้ชื่อว่า มิลเน็ต (MILNET : Millitary Network) ซึ่งมีการเชื่อมต่อโดยใช้ โพรโตคอล TCP/IP (Transmission Control Protocol/Internet) เป็นครั้งแรก
ในปี 2528 มูลนิธิวิทยาศาสตร์แห่งชาติของอเมริกา (NSF) ได้ ให้เงินทุนในการสร้างศูนย์ซูเปอร์คอมพิวเตอร์ 6 แห่ง และใช้ชื่อว่า NSFNETและพอมาถึงปี 2533 อาร์พารองรับภาระที่เป็นกระดูกสันหลัง (Backbone) ของระบบไม่ได้ จึงได้ยุติอาร์พาเน็ต และเปลี่ยนไปใช้ NSFNET และเครือข่ายขนาดมหึมา จนถึงทุกวันนี้ และเรียกเครือข่ายนี้ว่า อินเตอร์เน็ต โดยเครือข่ายส่วนใหญ่จะอยู่ในอเมริกา และปัจจุบันนี้มีเครือข่ายย่อยมากถึง 50,000 เครือข่ายทีเดียว และคาดว่า ภายในปี 2543 จะมีผู้ใช้อินเตอร์เน็ตทั้งโลกประมาณ 100 ล้านคน หรือใกล้เคียงกับประชากรในโลกทั้งหมด
สำหรับประเทศไทยนั้น อินเตอร์เน็ตเริ่มมีบทบาทอย่างมากในช่วงปี 2530-2535 โดยเริ่มจากการเป็นเครือข่ายในระบบคอมพิวเตอร์ระดับมหาวิทยาลัย (Campus Network) แล้วจึงเชื่อมต่อเข้าสู่อินเตอร์เน็ตอย่างสมบูรณ์เมื่อเดือนสิงหาคม 2535และ ในปี 2538 ก็มี การเปิดให้ บริการอินเตอร์เน็ตในเชิงพาณิชย์ (รายแรก คือ อินเตอร์เน็ตเคเอสซี) ซึ่งขณะนั้น เวิร์ลด์ไวด์เว็บกำลังได้รับความนิยมอย่างมากในอเมริกา
อย่างไรก็ตาม อินเตอร์เน็ต บางครั้งก็มีการเรียกย่อเป็น เน็ต (Net) หรือ The Net ด้วยเช่นเดียวกัน อีกคำหนึ่งที่หมายถึงอินเตอร์เน็ตก็คือ เว็บ (Web) และ เวิร์ลด์ไวด์เว็บ (World – Wide Web) (จริง ๆ แล้ว เว็บเป็นเพียงบริการหนึ่งของอินเตอร์เน็ตเท่านั้น แต่บริการนี้ ถือว่าเป็นบริการที่มีผู้นิยมใช้มากที่สุด
วันจันทร์ที่ 19 เมษายน พ.ศ. 2553
ว้าวว วววววว สวยโดยไม่ศัลยกรรมมาดู!!
ทีนี้ คุณก็จะดูดีได้ โดยไม่ต้องศัลยกรรม (น่ากลัวจริงเธอ)แล้วในหนังสือมันยังบรรยายไว้อีกว่า โปรแกรมนี้มันโคตะระสะดวกกว่าโฟโตชอปและโฟโต้สเคปเป็นอบ่างมาก คือแบบมันมีกำหนดรูปโครงหน้าอะไรมาให้เสร็จสรรพเลยอ่ะ
ทำไมง่วงทุกครั้งหลังมื้อเที่ยง ??
ที่มา : http://www.healthcorners.com
อิ่มอย่างไร ไม่ต้องกลัวอ้วน
ที่มา : http://www.healthcorners.com/
วันอาทิตย์ที่ 18 เมษายน พ.ศ. 2553
คำเตือนจากไมโครซอฟท์ ( www. microsoft. com)
ไมโครซอฟท์ ( www. microsoft. com)และแม็คอาฟี( www. mcafee. com ) เพิ่งพบไวรัสตัวใหม่ซึ่งสามารถสร้างความเสียหายมากที่สุดเท่าที่มีมาแม็คอาฟีเพิ่งพบไวรัสตัวนี้เมื่อบ่ายวานนี้(วันที่เริ่มกระจายข่าว)และยังไม่มีวัคซีนป้องกันไวรัสนี้จะทำลายเซคเตอร์ซีโร่ในฮาร์ดดิสค์ซึ่งเป็นที่เก็บข้อมูลการทำงานที่ขาดไม่ได้ การทำงานของมันเป็นดังนี้: มันส่งตัวเองโดยอัตโนมัติ ไปยังทุกรายชื่อที่คุณติดต่อ โดยใช้หัวข้อ AVirtual Card for You (คล้ายเวลาเราได้การ์ดอินเทอร์เน็ตจากเพื่อน) ทันทีที่เปิดสิ่งที่ส่งมานี้คอมพิวเตอร์จะหยุดทำงานเพื่อผู้ใช้จะต้องบู๊ทเครื่องใหม่ และเมื่อกดปุ่ม Ctrl+Alt+Del หรือปุ่มรีเซ็ท ไวรัสนี้ก็จะทำลายเซ็คเตอร์ซีโร่ซึ่งจะเป็นการทำลายฮาร์ดดิสก์อย่างถาวร ทั้งนี้ ตามการรายงานของ CNN ดังนั้น อย่าเปิดจดหมายใด ๆที่ใช้หัวข้อว่า A Virtual CardFor You ให้ลบทิ้งทันที และกรุณาส่งจดหมายนี้ต่อไปยังเพื่อน ๆ ของคุณส่งให้ทุกคนใน address book นอกจากนั้น อินเทลรายงานว่าเพิ่งพบไวรัสตัวใหม่ที่เป็นอันตราย ถ้าคุณได้รับจดหมายหัวข้อ An Internet Flower For You อย่าเปิด แต่ให้ลบทิ้งทันทีไวรัสนี้จะทำลายข้อมูลเชื่อมโยง dynamic link libraries (ไฟล์ .dll )ทั้งหมด และ คุณจะ boot เครื่องไม่ได้
อ.นพ.ศักดา อาจองค์ภาควิชาเวชศาสตร์ฉุกเฉิน
อ่านได้ที่ :
http://www.siamnaliga.com/forum/index.php?act=ST&f=9&t =87870&s=09cf4446b98c85bb947e1e2c5ba02c19
เตือนภัย ผู้เล่นเฟสบุ๊กระวัง 'โทรจัน'
วันเสาร์ที่ 17 เมษายน พ.ศ. 2553
นับถอยหลัง . . . วันเปิดเทอม (momypedia
ยิ่งใกล้วันเปิดเทอมแรกของเจ้าตัวเล็ก ความรู้สึกหวั่นวิตกก็ยิ่งเข้าครอบคลุมหัวใจของคนเป็นพ่อแม่มากขึ้นๆ ถ้าลูกร้องไห้งอแง หรือลงไปดิ้นเร่าๆ ไม่ยอมไปโรงเรียนขึ้นมาล่ะ จะทำอย่างไร เรื่องนี้เขาว่าถ้าเตรียมตัวลูกมาดีก็มีชัยไปกว่าครึ่งแล้ว
เอ้า ! เรามานับถอยหลังเตรียมพร้อมกันเลยค่ะ 3 สัปดาห์
ก่อนเปิดเทอม
สร้างภาพโรงเรียนในฝัน ถ้าเรารู้สึกดีๆ กับอะไรซักอย่าง ผลลัพธ์ตามมาก็จะเป็นเรื่องที่ดี เด็กก็เช่นเดียวกัน หากพ่อแม่สร้างภาพบวกเกี่ยวกับโรงเรียนไว้ในใจลูก แน่นอนว่าลูกย่อมรู้สึกดี และอยากไปโรงเรียนด้วยความเต็มใจ เริ่มแรกอาจจะหาหนังสือที่มีเนื้อหาเกี่ยวกับการไปโรงเรียนมา อ่านให้ลูกฟัง พูดคุยกันว่าโรงเรียนคืออะไร ไปแล้วลูกจะได้ทำอะไรบ้าง ได้เล่นสนุกสนานกับเพื่อนๆ มีของเล่นมากมาย มีคุณครูใจดี มีสัตว์เลี้ยง พูดคุยอย่างเดียวอาจไม่พอ จะสมมติเล่นเป็นครู-นักเรียนกับลูกก็ได้ค่ะ หรือจะใช้หุ่นผ้า หุ่นกระดาษสมมุติเป็นครูคุยกับลูกแทนก็ดีเหมือนกัน ที่สำคัญคืออย่าสร้างภาพลบเกี่ยวกับโรงเรียนเป็นอันขาด ประเภทขู่ว่า ทำผิดเมื่อไร จะจับส่งโรงเรียนนี่ อย่าเชียว เพราะถ้าถึงวันเปิดเทอมแล้วลูกไม่อยากไปขึ้นมา ก็คงโทษใครไม่ได้แล้วล่ะ
ปรับเวลาตื่น-นอน เมื่ออยู่บ้าน เด็กค่อนข้างอิสระ จะนอนจะตื่นเมื่อไรก็ได้หลายบ้านไม่ค่อยว่ากัน เพราะถือว่าไม่ได้ออกไปไหน แต่พอจะเปิดเทอมแล้วนี่สิ จำเป็นต้องฝึกกันหน่อยค่ะ โดยแบบ ค่อยเป็นค่อยไป หัดให้ลูกเข้านอนแต่หัวค่ำ แล้วตื่นเช้าซัก 6 โมงครึ่ง-7 โมง เผื่อเวลาอาบน้ำ แต่งตัว และกินข้าวเช้า เพราะหากไม่ฝึกเลยลูกจะงอแงหนักเมื่อถึงวันจริง
หัดช่วยตัวเอง กินข้าว แต่งตัว ใส่รองเท้า ถอดรองเท้า แปรงฟัน ดื่มน้ำ-นมจากแก้ว ล้างมือ ใช้ชักโครก การช่วยเหลือตัวเองในเรื่องง่ายๆ เหล่านี้ คุณพ่อคุณแม่ควรฝึกให้ลูกแต่เนิ่นๆ หากลูกทำได้ เขาจะภาคภูมิใจมาก ทำนองว่า "หนูก็ทำได้เหมือนกันนะ" ในทางกลับกันถ้าลูกช่วยเหลือตัวเองไม่ได้เลยนี่สิ ลูกจะยิ่งอึดอัดและคับข้องใจ จนพาลไม่อยากไปโรงเรียนได้
ของเล่นสร้างสรรค์ เรื่องของเล่น เชื่อว่าหลายบ้านต่างสรรหามาให้ลูกกันเป็นปกติอยู่แล้ว แต่ลองดูเพิ่มอีกหน่อยค่ะว่า เป็นของเล่นแบบนี้หรือเปล่า คือเน้นให้เด็กได้ใช้ความคิดสร้างสรรค์เต็มที่ อาจไม่จำเป็นต้องเป็นของเล่นสำเร็จรูปเสมอไป อาทิ บล็อคไม้ กระดาษวาดรูปพร้อมสีดินน้ำมัน แป้งโดว์ เครื่องดนตรีง่ายๆ (เครื่องเขย่าจากกระป๋องน้ำอัดลมใส่เมล็ดถั่ว รำมะนาจากฝาน้ำอัดลม กรับไม้) เครื่องครัวเด็กเล่น ชุดหม้อข้าวหม้อแกงดินเผา หนังสือภาพสีสวย-รูปเล่มทนทาน ไม้กวาดหรือไม้ปัดฝุ่นอันจิ๋ว และแม้แต่ตัวพ่อแม่เอง (เล่นกับ ลูก) เหล่านี้คือของเล่นในดวงใจที่นอกจากช่วยฝึกลูกในทักษะหลากหลายด้าน ยังช่วยเตรียมความพร้อมเรื่องเรียนให้ลูกด้วยค่ะ
2 สัปดาห์ ก่อนเปิดเทอม
สื่อความต้องการ ที่โรงเรียนอนุบาล ในห้องๆ หนึ่งจะมีเด็กไม่ต่ำกว่า 15-20 คน ต่อครู 1-2 คน เป็นเรื่องยากที่ครูจะรู้ความต้องการของเด็กไปเสียทั้งหมด จึงจำเป็นต้องฝึกให้ลูกรู้จักบอกความรู้สึก ความต้องการของตัวเองไว้ด้วย เรื่องหลักๆ อย่างเช่น บอกครูเมื่อจะไปห้องน้ำ ปวดปัสสาวะ อุจจาระ ไม่สบาย โดนเพื่อนแกล้ง ฯลฯ นอกจากบอกเป็นแล้ว ต้องหัดรู้จักที่จะขอบคุณเมื่อคนอื่นทำอะไรให้ด้วย
แบ่งปัน เป็นธรรมดาที่ลูกต้องอยู่ร่วมกับเด็กอื่นจากหลายๆ ครอบครัว หากไม่รู้จักการแบ่งปันเลยก็ยากที่จะอยู่ได้อย่างมีความสุข ลองเริ่มจากการพาลูกไปเล่นกับเพื่อนๆ นอกบ้านบ้าง แบ่งขนม หรือของเล่นให้เพื่อน หัดให้รู้จักรอคอย อาจพาไปต่อแถวรอซื้อตั๋วเข้าสวนสนุก ซึ่งทุกอย่างเราให้เด็กได้เรียนรู้ และเห็นจากสถานการณ์จริงได้ค่ะ
ห่างจากพ่อแม่บ้าง ถ้าลูกติดพ่อติดแม่มากเกินไปคงไม่ดีนัก ลองหัดให้เริ่มๆ ห่างบ้างเป็นขั้นเป็นตอน แรกเริ่มอาจปล่อยให้ลูกเล่นตามลำพังที่บ้านโดยไม่มีพ่อแม่ซัก 20-30 นาที ก่อน ต่อมาค่อยพาไปร่วมกิจกรรมพิเศษ เช่น วาดรูป ประดิษฐ์ของ ที่ศูนย์การค้า หรือที่กทม.มักจัดขึ้นเป็นประจำ ให้ลูกทำงานไปโดยมีพ่อแม่เฝ้าดูอยู่ใกล้ๆสัก 1 ชั่วโมง จากนั้นก็ขยับให้ลูกไปเล่นที่บ้านอื่นสักครึ่งวัน จนกระทั่งสามารถไปนอนค้างบ้านคุณตาคุณยาย หรือบ้านญาติๆ ได้โดยไม่มีพ่อแม่ไปด้วย
1 สัปดาห์ ก่อนเปิดเทอม
ทำความรู้จักกับโรงเรียน เมื่อคุณพ่อคุณแม่รู้แล้วว่าจะต้องพาลูกไปเข้าโรงเรียนอนุบาลไหน ให้ขอนุญาตทางโรงเรียนพาลูกไปทำความคุ้นเคยกับสถานที่ กับคุณครู สัก 2-3 ครั้งก่อน เพื่อให้ปรับตัว ปรับใจได้ อาจสำรวจดูห้องเรียน สนามเด็กเล่น สระว่ายน้ำ โรงอาหาร พร้อมกับบอกลูกว่า นี่ละคือที่ที่ลูกจะได้มาสนุก
เตรียมข้าวของ จวนได้เวลาเปิดเทอมแล้ว ชวนลูกไปเลือกซื้อชุดนักเรียน กระเป๋านักเรียน และอุปกรณ์เครื่องเขียน กันค่ะ พอกลับถึงบ้านก็ลองใส่ชุดดูซิ ลองจัดกระเป๋ากัน ชุดใหม่ๆ ของใหม่ๆ จะสร้างความรู้สึกตื่นเต้นให้ลูกไม่น้อยเชียวล่ะ
ของรับขวัญวันเปิดเทอม อาจเตี๊ยมกับบรรดาญาติๆ พี่ ป้า น้า อา ปู่ ย่า ตา ยาย สักนิด ว่าก่อนวันเปิดเทอมสักวัน-สองวัน อาจจะหาของขวัญเล็กๆ น้อยๆ ให้หลานที่กำลังจะก้าวจากบ้านไปสู่โลกภายนอก คือโรงเรียน เจ้าสิ่งนี้จะเหมือนกับเป็นกำลังใจสำหรับเด็กค่ะ
เติบโตขึ้นมาอีกขั้นหนึ่งแล้ว ตัวคุณแม่เองอาจจะเย็บกระเป๋าผ้า ซองใส่ดินสอ หรือผ้าเช็ดหน้า ปักลายเป็นรูปการ์ตูนน่ารักๆ ให้ลูกติดตัวไปโรงเรียนด้วยก็ได้ค่ะ ลูกจะได้อุ่นใจ
วันเปิดเทอม
แนะนำว่า ทั้งคุณพ่อคุณแม่ไม่ควรพลาดวันนี้อย่างเด็ดขาด เรื่องงาน หากไม่คอขาดบาดตายนัก ให้เขียนใบลาหยุดแต่เนิ่นๆ ไว้ 3 วันเลยค่ะ
วันแรกเป็นวันสำคัญในชีวิตลูก ดังนั้น คนที่สำคัญในชีวิตคือพ่อแม่ ก็ควรจะอยู่ร่วมรับรู้ด้วย เพราะเดี๋ยวนี้โรงเรียนอนุบาลเขามักจะขอให้พ่อแม่มาอยู่ด้วยในวันแรก
พอวันที่ 2 ที่ 3 ก็ค่อยลดจำนวนชั่วโมงที่อยู่ด้วยลงไป กระทั่งเด็กเริ่มคุ้น จึงค่อยปล่อยเดี่ยวได้สบาย อย่ากังวลเรื่องลูกร้องไห้ ให้มองว่าเป็นเรื่องธรรมดา ไม่นานแกจะปรับตัวได้เอง ที่สำคัญคือพ่อแม่อย่าใจอ่อนตามก็แล้วกันค่ะ
วันอังคารที่ 13 เมษายน พ.ศ. 2553
เล่นน้ำสงกรานต์อย่างไร ให้ปลอดภัย
สงกรานต์
สงกรานต์ เป็นประเพณีเก่าแก่ของไทยซึ่งสืบทอดมาแต่โบราณ คู่มากับประเพณีตรุษ จึงมีการเรียกรวมกันว่า ประเพณีตรุษสงกรานต์ หมายถึงประเพณีส่งท้ายปีเก่า และต้อนรับปีใหม่ คำว่าตรุษเป็นภาษาทมิฬ แปลว่าการสิ้นปี
พิธีสงกรานต์ เป็นพิธีกรรมที่เกิดขึ้นในสมาชิกในครอบครัว หรือชุมชนบ้านใกล้เรือนเคียง แต่ปัจจุบันได้เปลี่ยนไปสู่สังคมในวงกว้าง และมีแนวโน้มที่จะเปลี่ยนทัศนคติ และความเชื่อไป ในความเชื่อดั้งเดิมใช้สัญลักษณ์เป็นองค์ประกอบหลักในพิธี ได้แก่ การใช้น้ำเป็นตัวแทน แก้กันกับความหมายของ
การที่สังคมเปลี่ยนไป มีการเคลื่อนย้ายที่อยู่เข้าสู่เมืองใหญ่ และถือวันสงกรานต์เป็นวัน "กลับบ้าน" ทำให้การจราจรคับคั่งในช่วงวันก่อนสงกรานต์ วันแรกของเทศกาล และวันสุดท้ายของเทศกาล เกิดอุบัติเหตุทางถนนสูง นับเป็นปรากฏการณ์ทางสังคมที่เกิดขึ้นตามการเปลี่ยนแปลงหลายด้านของสังคม นอกจากนี้ เทศกาลสงกรานต์ยังถูกใช้ในการส่งเสริมการท่องเที่ยว ทั้งต่อคนไทย และต่อนักท่องเที่ยวต่างประเทศ
วันอังคารที่ 6 เมษายน พ.ศ. 2553
กินปลากระป๋องให้ได้ประโยขน์สูงสุด
ความเชื่อของคนโบราณ
>ห้ามใส่ชุดดำเยี่ยมคนป่วย > ชุดสีดำเป็นสีที่คนโบราณถือนักถือหนาว่า เป็นสีแห่งความทุกข์โศก >ใช้ใส่เฉพาะงานศพเท่านั้น หรือหากจะใช้แต่งกายสีดำ ก็ไม่ควรเป็นสีดำทั้งชุด >ควรเป็นครึ่งท่องใส่ผสมกับสีอื่นๆ > ชุดสีดำ จึงไม่นิยมใส่เข้าไปในงานมงคลต่างๆ เช่นงานวันเกิด งาน >แต่งงาน หรือแม้กระทั่งไป เยี่ยมผู้ป่วยก็เหมือนกัน เท่ากับว่า เป็นการแช่งหรือ >เดาเหตุการณ์ล่วงหน้าให้ผู้ป่วยนั้นตายเร็วขึ้น ทำให้จิตใจผู้ป่วยหดหู่และหมด >กำลีงใจ เกิดอาการทรุดลงได้ง่ายจึงไม่ให้ใช้สีดำ ควรเป็นสีที่สดใสและแสดง >ใบหน้าที่สดชื่นอีกด้วย > > > > >จิ้งจกร้องทัก ห้ามออกจากบ้าน > จิ้งจกในปัจจุบันหาพบได้ง่ายกว่าตุ๊กแก มักจะเกาะอยู่ตามฝาผนัง >ของบ้าน โดยปกติทั่วๆ ไป เรามักจะไม่ค่อยได้ยินเสียงจิ้งจกร้องมากนัก จะ >เป็นเพราะมีจำนวนน้อย หรือบางบ้านไม่มีให้เห็นเสียแล้ว หรือไม่ค่อยมีเวลาอยู่ >บ้านมากนัก จึงไม่ได้ยินเสียงของมัน > ตามคำเชื่อของคนโบราณกล่าวว่า หากจิ้งจกร้อทัก จะกี่ครั้งก็ตาม >ทว่าเสียงนั้นอยู่ด้านหลังหรือตรงศรีษะของคุณ ให้พยายามเลื่อนการเดินทาง >เป็นเวลาอืน อาจจะเป็นภายในวันเดียวกันก็ได้ แต่ไม่ใช่เวลานั้น เพราะอาจทำให้ >คุณได้รับอุบัติเหตุหรือไม่มีโชคลาภ แต่หากเสียงร้องทักอยู่ด้านหน้า หรือซ้าย >มือ ให้เดินทางได้ จะทำให้การเดินทางเป็นไปอย่างสะดวกสบาย จะได้พบโชค >ลาภ หรือติดต่อธุรกิจเป็นผลสำเร็จ > > > > >ตุ๊กแกร้องกลางวัน มีเหตุร้าย > ตามปกติแล้วตุ๊กแกที่อาศัยอยู่ในบ้าน มักจะร้องตอนกลางคืน แต่ >ถ้าวันดีคืนดีเกิดร้องลางวันขึ้นมาไม่ว่าจะร้องกี่ครั้งก็ตาม ให้ถือว่า เป็นการ >บอกเหตุร้ายว่า กำลังจะเกิดขึ้นกับคนในครอบครัว หรือภายในบ้าน ซึ่งโดย >ปกติแล้วตุ๊กแกจะไม่ค่อยร้องในช่วยกลางวันอยู่แล้ว ( กลางวันในที่นี้หมายถึง >ตั้งแต่เวลาเริ่มสว่างจนถึงมืดลง ) > คนโบราณเชื่อว่าตุ๊กแกคือ ร่างที่วิญญาณของปู่ย่าตายายที่ตายไป >แล้วมาอาศัยอยู่ คอยดูแลคุ้มครองเพื่อให้สัญญาณบอกเหตุแก่ลูกหลาน และ >จะไม่เคยเห็นตุ๊กแกทำร้ายใครเลย > > > > > >นกแซกเกาะหลังคาบ้าน เกิดลางร้าย > นกแซกเป็นนกที่ถือว่า ให้ความอัปมงคลเป็นอย่างยิ่ง ไม่แต่เฉพาะ >คนไทยเท่านั้นที่ถือในเรื่องนี้ฝรั่งเองก็ถือเคล็ดนี้เช่นกัน ก็เพราะโดยธรรมชาติ >ของนกแซกมักจะไม่มาปะปนอยู่ตามที่อยู่อาศัยของคนให้เห็นนัก > หากเมื่อใดมีนกแซกมาเกาะที่หลังคาบ้านใดแล้ว ก็มักจะมีอะไรไม่ดี >แก่บ้านนั้น เช่น คนป่วยเอยคนเจ็บอยู่ก็อาจเสียชีวิตก็ได้ จึงมักจะมีคนนิยมแก้ >เคล็ดให้ร้ายกลายเป็นดี ด้วยการนำเอาดอกไม้ ธูปเทียน สุรา บอกเล่าก็เพียง >พอแล้ว คนโบราณบางท่านที่เคร่งมากๆ ก็อาจเพิ่มด้วย ข้าวสาร ข้าวตอก >ผ้าแดง ผ้าขาวและเงินทอง > > > > >นกถ่ายรดศรีษะ จะมีโชคคร้ายยย > ปกติแล้วนกนี่มันก็บินไปทั่ว ถ้าไม่ใช่นกเลี้ยง จะชอบมาบินเกาะบน >ท้องฟ้า ไม่ชอบมาอยู่กะคนเท่าไหร่และเมื่อใดที่คุณกำลังจะออกเดินทางแล้วจู่ๆ >นกก็ถ่ายรดที่ศรีษะ คนโบราณว่าไว้ ให้หยุดการเดินทางทันที หรือเลื่อนกำหนด >ออกไปวันรุ่งขึ้น ไม่เช่นนั้น อาจได้รับอันตรายจากอุบัติเหตุได้ > ในกรณีเดียวกัน หากอยู่ในบริเวณบ้าน นกบินมาถ่ายรดศีรษะซึ่ง >โอกาสจะมีน้อยมาก แต่หากเป็นเช่นนั้นแล้ว ก็ให้เตรียมตัวรับเหตุการณ์ได้เลย >เพราะจะต้องมีเรื่องเดือดร้อนใจ หรือเกิดเหตุร้ายกะตัวเองแน่นอน > ระวังเด้อ.... > > > > > >เมื่อตัวเงินตัวทองคลานเข้าบ้าน > บ้านใดที่มีต้นไม้มากๆนั้น จะมีที่ที่ตัวเงินตัวทองมักจะปรากฎให้เห็น >ตามที่ดังกล่าว มักจะไม่คลานในที่โล่งแจ้ง และก็หาแหล่งที่มาไม่พบอีกด้วยว่ามา >จากที่ใด เพราะในหมู่บ้านกลางเมืองก็ยังมีปรากฎให้เห็นบ้าง > ลักษณะตัวเงินตัวทอง บางคนว่าคล้ายจระเข้ แต่มีหางยาวมาก มี >ขนาดตั้งแต่ตัวเล็กๆ เท่าจิ้งเหลนจนไปถึงตัวโดมากๆเท่ากับลูกจระเข้เลยทีเดียว > ปกติตัวเงินตัวทองนี้จะไม่ทำร้ายใคร แต่คนโบราณท่านว่าเป็นตัว >อัปมงคลอยู่ดี จึงมีชื่อเรียกเสียเพราะแก้เคล็ด หากบ้านใดมีเข้ามาให้เห็น ท่านว่า >ให้พูดแต่สิ่งดีๆ ไม่ให้ไล่ บางท่านก็ให้หาดอกไม้ธูปเทียนจุดบอกเล่า >ให้กลายเป็นการนำเอาสิ่งดีๆ เข้ามาในบ้าน > > > > >กลางคืนได้ยินเสียงร้องเรียก ห้ามขานรับ > สำหรับบ้านในสมัยโบราณ ที่ยังไม่มีไฟฟ้าใช้สะดวกเหมือนในปัจจุบัน >ค่ำลงต่างคนก็ต่างดับตะเกียงปิดฟงปิดไฟกันเลย คนโบราณจึงว่าว่า หากปิดบง >ปิดบ้านแล้วมีเสียงคนมาร้องเรียก ให้เงียบเสีย เพราะนั่นเป็นเสียงของดวง >วิญญาณ อาจจะมาหลอกมาหลอนก็เป็นได้ > แต่หากมองกันให้ลึกลงไปอีก อาจเป็นการป้องกันขโมยมาเข้าบ้านใน >ยามวิกาลก็เป็นได้ เพราะขโมยอาจมาหลายรูปแบบ บางคนก็ว่า หากมีเสียงเรียก >แล้วยังขานรับ จะทำให้วิญญาณนั้นเข้ามาหรือเข้ามาในบ้านได้ > > > > > >เลขนั้นสำคัญฉะไหน > เลขต่างๆ ตั้งแต่ 1 - 10 หรือแม้กระทั่งเลขเกิน 10 ก็ตามมีความเชื่อ >ไปต่างๆกัน บ้างก็เหมือนกันแล้วแต่ความถูกโฉลกของแต่ละบุคคล นั่นเป็นความ >เชื่อ เช่น บางคนไม่ชอบเลข 13 เพราะถือเป็นเลขของความโชคร้ายของฝรั่ง ซึ่ง >จะสังเกตว่าตามตึกใหญ่สูงๆ ภายในลิฟต์จะไม่มีชั้น 13 เนื่องจากคนก่อสร้างหรือ >สถาปนิกเป็นฝรั่งจ้า เค้าว่ากันว่าทะเบียนเลขรถเนี้ยะ > > > > >ผมหยิก หน้าก้อ คอต่อ คิ้วสั้น คบไม่ได้เด้อ > คำกล่าวนี้ได้ยินมาน๊านนน นาน... .ซึ่งหากดูให้ครบลักษณะที่กล่าวมาก >คนใดที่มีลักษณะผมหยิกๆ หน้าสั้นๆ หักๆ คอหาแทบไม่เจอ จะด้วยเพราะอ้วนหรือ >เหตุใดก็ตาม ประกอบกับมีคิ้วก็สั้นๆ รวมดูแล้ว ไม่ค่อยน่ามองเท่าไหร่ > แต่อย่างไรก็ตามอย่าดูแค่รูปกายภายนอก ให้ศึกษานิสัยใจคอด้วยจ๊ะ > > > > > >ไทยเล็ก เจ็กดำ คบบ่ได้ จิงหรือ? > โบราณท่านว่าไว้ว่า คนที่มีลักษณะดังต่อไปนี้คบยากเหลือเกิน หากเป็น >คนไทยก็ต้องตัวไม่เล็กแคระแกรน เนื่องจากคนไทยในสมัยโบราณตัวใหญ่ทั้งผู้ >หญิงและผู้ชาย หาคนตัวเล็กมีน้อยมาก และถ้าเป็นคนจีนก็ต้องตัวไม่ดำ > "ไทยเล็ก เจ็กดำ" จึงติดปากมาจนทุกวันนี้ แต่หากจะพิจารณากันให้ >ถ่องแท้ คงจะต้องดูที่นิสัยรวมไปด้วย นั่นเป็นเพียงแต่การสันนิษฐานเบื้องต้นให้ >ได้ยินเท่านั้น ก็ลองใช้ดุลพินิจดูว่า จะเป็นจริงตามที่ท่านกล่าวมาไว้หรือไม่ ทั้งนี้ >คำกล่าวที่ว่า ไม่ได้รวมหมายถึง การงานของเขาเหล่านั้น ท่านหมายแต่เพียงว่า มัก >จะมีนิสัยออกไปทางคนโกงเจ้าเล่ห์เพทุบาย เอาเปรียบประมาณนั้น > > > > >คนหลายเสียงคบไม่ได้ > คนทั่วไปตามปกติแล้ว หากไม่มีเสียงธรรมดาแล้ว ก็อาจจะมีเสียง >แหลมเล็ก หรือทุ้มใหญ่ไปเลย คนโบราณกล่าวไว้ว่า หากคนใดมีหลายเสียงในขณะ >ที่พูดคุยตามปกตินั้น เป็นคนคบยาก เพราะเท่ากับว่า หาความแน่นอนอะไรไม่ได้ >แม้แต่เสียงของตัวเองยังบังคับให้อยู่ในระดับเดียวกันไม่ได้เลย ขณะพูดคุย >เดี๋ยวทำเสียงสูง เสียงต่ำ เสียงใหญ่ เสียงเล็กไปเรื่อย > แต่คนในลักษณะนี้หายาก และในเมื่อหายาก ก็ดูจะยิ่งเพิ่มความขลังให้ >ความเชื่อนี้แม่นยิ่งขึ้นไปอีก ถ้าเจอก็ให้ห่างๆ ไว้เป็นดี > > > > > >คนหัวล้านมักเจ้าชู้และเจ้าเล่ห์ > คำกล่าวนี้ได้ต้นแบบมาจากขุนช้างในวรรณคดีนั่นเอง ขุนช้างเป็นคน >เจ้าชู้ ชอบหญิงสาวที่มีรูปงาม จุดเด่นของเรื่องในวรรณคดี มีการแย่งหญิงสาวอัน >เป็นคนรักของขุนแผน โดนขุนช้างใช้เล่ห์ทุกวิถีทาง เพื่อหลอกให้คนรักของขุนแผน >มาอยู่กับตน > จึงถูกมองว่า ผู้ที่มีลักษณะเช่นเดียวกับขุนช้างคือ หัวล้าน มีรูปร่างอ้วน >ท้วม ขาวนั้น จะต้องมีนิสัยเช่นเดียวกับขุนช้างเสมอไปแต่ขุนช้างก็เป็นคนร่ำรวยมาก >ดังนั้นก็เป็นเรื่องที่แปลกว่า คนหัวล้านก็มักจะรวยเสียทุกคนเหมือนขุนช้างอีกด้วยซิ > > > > >ชมีปาน แสดงว่าเคยเกิดมาแล้ว > เด็กทารกคนใดที่เกิดมาแล้วมีปานหรือเรียกว่า มีตำหนิ ในส่วนใดส่วน >หนึ่งของร่างกาย คนโบราณถือว่า ได้เกิดมาแล้วชาติหนึ่ง และถูกป้ายด้วยของ ทำ >เป็นตำหนิเอาไว้ หากเป็นปานแดง ก็เชื่อกันว่า ถูกป้ายด้วยปูนแดงและหากเป็นปานดำ >ก็เชื่อกันว่า ถูกป้ายด้วยถ่านเพราะถ้าหากมีบุญจริง อาจจะพบกันชาติหน้าและจำกันได้ >โดยให้สังเกตจากตำหนิ > แต่ในหลักความเป็นจริงแล้ว การเกิดปานไม่ว่าจะมีสีใดก็ตาม เป็นเพราะ >ผิวหนังผิดปกตินั่นเอง > > > > >ห้ามปลูกต้นไม้ที่วัดปลูก > เชื่อกันว่า ต้นไม้ที่ขึ้นตามวัดหรือนำไปปลูกที่วัด เป็นของสูงและสมควรอยู่ >ในวัดเท่านั้น ไม่ควรนำมาปลูกที่บ้าน จะทำให้บ้านนั้นตกอับ ไม่เจริญ เท่ากับเอาของสูง >มาวางไม่ถูกที่ หากเกิดขึ้นเองโดยที่ไม่ได้นำมาปลูก ก็ให้ถอนออกเสีย หากจะให้ดี ก็ให้ >นำไปไว้ที่วัดเสีย > ต้นไม้ดังกล่าวอันได้แก่ ต้นโพธิ์ ต้นหวาย ต้นโมกข์ ต้นไทร ต้นนนทรีย์ ต้น >ตะเคียน เป็นต้น > แต่ทั้งนี้จะรวมถึงต้นไม้ที่ไม่เป็นสิริมงคลดวย เช่นต้นโศก ต้นระกำ ต้นยาง >ที่มักนำมาทำโรงศพ ต้นสำโรงที่ดอกมีกลิ่นเหม็น ซึ่งเหล่านี้ดูไม่เป็นสิริมงคล จึงไม่นิยม >นำมาปลูกในบริเวณบ้านกัน > > > > >ห้ามตัดผมวันพุธ > วันพุธห้ามตัดผม เป็นอีกเรื่องหนึ่งที่ห้ามกันนักห้ามกันหนาเชื่อกันว่า ตัดผม >วันพุทธจะทำให้เกิดอัปมงคลกับชีวิตทีเดียว จะเห็นได้ว่า ร้านตัดผมมักจะปิดร้านในวัน >พุธกัน บ้างก็อ้างว่า ตัดผมในวันพุธหัวกุดท้ายเน่า > ในเมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว ก็ควรเชื่อเสียบ้าง ตัดในวันรุ่งขึ้นก็คงไม่นานเกินรอไป >ได้ และก็ยังไม่ได้ยินเช่นกันว่า นิยมตัดผมกันในวันพุธ > > > > > >ตาเขม่น > ฮิต ฮิต ฮิต เรื่องตาเขม่นตามความเป็นจริงแล้ว เขม่นได้หลายส่วนของ >ร่างกาย ไม่ว่าจะเป็นริมฝีปาก แขน ขา หรือแม้กระทั่งตา ดังนั้นการเขม่นตาจะแบ่งออก >เป็น 3 ช่วงคือ > หากเขม่นตาในช่วงเช้า - บ่าย คนโบราณกล่าวไว้ว่า หากเป็นข้างขวาจะมีโชค >ลาภ ได้รับข่าวดี เรียกว่า จะสมหวังในเรื่องใดเรื่องหนึ่งที่คอย และหากเขม่นที่ตาซ้าย >ท่านว่าจะมีเคราะห์ โชคร้ายผิดหวังเรื่องใดเรื่องหนึ่งอย่างแน่นอน เช่น มีการทะเลาะกัน >เกิดขึ้น หรือจะต้องสูญเสียของรักบางอย่างไป > ถ้าเขม่นตาไม่ว่าจะเป็นข้างซ้ายหรือข้างขวา ในช่วงเวลาเย็นถือว่ามีโชคมีลาภ >จะได้พบญาติสนิทมิตรรักเดินทางมาหา > แต่ถ้าเป็นในช่วงกลางคืน การเขม่นตาขวาจะได้ดี จะมีเคราะห์มีเหตุร้ายเกิด >ขึ้น ตรงกันข้าม ถ้าหากเขม่นตาซ้ายจะมีโชคลาภจากเพื่อน จะสมหวังสิ่งที่รอคอย เรียกว่า >ขวาร้าย-ซ้ายดี > การเขม่นตานี้ เชื่อกันว่า เป็นลางบอกเหตุที่แม่นยำมาก ท่านให้ถือเวลาที่จะเกิด >เหตุไม่ดีและร้ายภายใน 3 วันอย่างแน่นอน > > > > >เมื่อสัตว์ป่านเข้าบ้าน > เรื่องของสัตว์ป่านั้น ตามธรรมชาติแล้วสัตว์ป่าก็ควรที่จะอยู่ตามป่าตามเขาจึง >จะถูกต้อง แต่หากเมื่อใดสัตว์เหล่านี้เป็นต้นว่า งูต่างๆ ชนิด หรือแม้กระทั่งเต่า คำโบราณ >ถือนักว่า ผิดธรรมชาติและหากจะให้สัตว์จำพวกนี้อยู่ในบ้านก็คงอยู่ไม่ได้ ถือว่านำความ >อัปมงคลมาสู่ครัวเรือน ท่านให้แก้เคล็ดด้วยการ จุดธูปเทียน ดอกไม้บอกเล่าและเชิญให้ >ออกจากบ้าน พร้อมกับขอพรให้นำพาสิ่งดีงามมาให้ > สัตว์ป่าที่เข้าบ้านนี้ ตามคำโบราณยังถือรายละเอียดอีกมากมายเกี่ยวกับว่า มา >ทิศใดจะนำอะไรมาให้ ยกเว้น หากเป็นทางทิศตะวันตกและทิศเหนือจะได้รับโชคลาภ แต่ก็ >นั่นแหละตอนที่สัตว์ป่าเหล่านี้คลานมาคงไม่มีใครรู้ มาทางใดมารู้อีกทีก็อยู่ในบ้านเสียแล้ว >ดังนั้นทางที่ดีก็อย่ามาเลยดีก่าเนอะ > > > > > >ห้ามเผาศพวันศุกร์ > คนโบราณถือว่า "เผาศพในวันศุกร์ให้ทุกข์กับคนเป็น" และโดยปกติทั่วไปจะ >สังเกตว่า ไม่มีผู้ใดเผาศพในวันศุกร์ให้เห็นเลย เพราะเชื่อกันว่า วันศุกร์เป็นวันแห่งโชคลาภ >วันแห่งความร่มเย็นเป็นสุข เหมาะที่จะมีงานมงคลมากกว่างานเผาศพน๊ะ > > > > >หวีหัก โชคไม่ดี > คนโบราณเชื่อกันว่า ในขณะที่กำลังสางหรือหวีผมนั้น ไม่ว่าจะใช้หวีไม้หรือหวี >พลาสติกก็ตามแต่ แล้วหวีเกิดหักคาผมในขณะที่ยังหวีอยู่นั้น ท่านให้เชื่อได้เลยว่า จะเกิด >เรื่องไม่ตีตามมาอย่างแน่นอน เป็นต้นว่า อาจมีเรื่องทะเลาะวิวาทเกิดขึ้น สูญเสียของรัก >หรือมีเรื่องทุกข์ร้อนใจให้หงุดหงิดได้ > การแก้เคล็ดด้วยการนำหวีนั้นทิ้งไปเลย ไม่ให้เก็บไว้ใช้หรือนำไปซ่อมมาใช้ใหม่ >และจุดธูปบอกเล่าให้สิ่งร้ายกลายเป็นดีเรื่องหนักก็จะกลายเป็นเบาเสีย > แต่ความเชื่อของคนโบราณเรื่องหวีหักนี้ อาจจะเกิดเรื่องที่ไม่รุนแรงนักก็ได้ >แล้วแต่โชคชะตาและดวงในตอนนั้นด้วย > > > > > >มีกลิ่นธูป หมายถึงวิญญาณ > ในยามวิกาลเสียงเงียบสงัด เมื่อใดได้กลิ่นธูปลอยมา โดยที่ไม่มีใครจุดธูปใน >บริเวณนั้นๆ เลย คนโบราณเชื่อกันว่า เป็นวิญญาณของญาติสนิทภายในครอบครัวมาหา >จะเป็นเพราะคิดถึง ห่วงใยกันหรือด้วยเหตุใดก็ตาม ท่านให้คนที่ได้กลิ่นธูปนั้น จุดธูป 1 >ดอก ลอกเล่าให้ไปที่สงบๆ อย่ากังวลสิ่งใดที่จะทำให้วิญญาณไม่สงบสุขเลยบางคนอาจ >ขอพรจากวิญญาณญาติสนิทนั้นให้ปกปักรักษา และให้โชคลาภด้วย > แต่หากไม่มีญาติสนิทในระยะนั้นเสียชีวิต ก็เชื่อกันว่า อาจจะเป็นวิญญาณ >พเนจรทั่วไป ก็ให้จุดธูปเช่นเดียวกันบอกเล่าว่า อย่ามารบกวนให้กลัว ให้ไปที่ชอบที่สงบ >และนิยมใส่บาตรแผ่ส่วนกุศลให้ในวันรุ่งขึ้นด้วย > > > > >ผึ้งทำรังในบ้าน มีโชค > โดยธรรมชาติแล้ว ผึ้งมักนิยมทำรังตามต้นไม้ใหญ่ที่ขึ้นหนาแน่น และอยู่ในที่ >สงบไม่พลุกพล่าน แต่เมื่อใดที่ผึ้งมาทำรังในบ้านจะเป็นชายคาบ้าน ใต้หลังคาบ้าน บางบ้าน >มีผึ้งมาทำรังถึงห้องน้ำก็มี > ท่านว่าไว้ว่า อย่าไปไล่หรือทำลายเด็ดขาด จะทำให้เกิดความหายนะขึ้นกับครอบ >ครัวเรือนนั้น เพราะผึ้งเป็นสัตว์นำโชค ให้ปล่อยผึ้งทำรังต่อไป เชื่อกันว่า ยิ่งรังใหญ่มาก >เท่าใด ก็จะมีโชคลาภมากขึ้นเท่านั้น และควรจุดธูปเทียนบูชา รวมทั้งดอกไม้ เพื่อความเป็น >สิริมงคลด้วย > > > > > >ดูดวงจากต้นว่าน > คนที่ทำอาชีพค้าขาย หรือนักธุรกิจติดต่อกับผู้คน เพื่อการค้าต่างๆ คนโบราณ >โดยเฉพาะในสมัยก่อน นิยมปลูกต้นว่านต่างๆชนิดแล้วแต่ และดูดวงชะตาตัวเองจากการ >เจริญเติบโตของต้นว่าน นั้นๆว่า เติบโตงอกงามขึ้นหรือไม่ ชีวิตกำลังรุ่งเรืองและยิ่งต้น >ว่านนั้นออกดอกออกผล ก็จะยิ่งทำให้ดวงชะตาพุ่งสูงมาก ท่านรีบจุดธูปขอพรให้ดวง >ชะตาคงอยู่เช่นนั้น แต่หากต้นว่านที่ปลูก อยู่ๆเกิดหักงอ หรือเหี่ยวแห้งลงทุกวันๆ หรือ >ปลูกมานานแล้วก็ไม่เกิดดอกออกผลเสียที ท่านให้เชื่อว่า ดวงกำลังตก การค้าขายก็กำลังแย่ >ให้รีบทำบุญทำทาน หรือหาทางแก้ไขปรับปรุงการค้า หรือธุรกิจนั้นเสีย พร้อมกับบำรุงดูแล >ต้นว่านนั้นด้วย > > > > >เลือกก้าวเท้าก่อนออกจากบ้าน > ก่อนออกจากบ้าน เพื่อไปทำธุรกิจหรือพบปะผู้คน โบราณท่านว่าไว้ ให้ดูฤกษ์ยาม >ก่อนออกจากบ้านเสียก่อน เพราะนอกจากเวลาเที่ยงแล้ว ควรดูด้วยว่าจะไปทำการใดจึงจะมี >ความสำเร็จได้ > > > > > >มือชนกันขณะกินข้าว จะมีแขกมาเยือน > ในสมัยโบราณ ไม่มีการติดต่อสื่อสารที่สะดวกเหมือนปัจจุบันการโทรศัพท์ก็ยังไม่ >มีใครรู้จักนัก เพราะฉะนั้นเวลาจะนัดหมายกับใครรู้จักนัก เพราะฉะนั้นเวลาจะนัดหมายกับใคร >สักคนก็เป็นไปได้ยาก จะต้องพบกันแล้วนัดหมายในครั้งต่ไปกันเลย > แต่คนโบราณใช้วิธีการสังเกตความเป็นไปได้ว่า ในขณะที่นั่งล้อมวงรับประทาน >อาหารกันนั้น หากมี 2 คนในวงเอื้อมมือไปหยิบอาหารพร้อมกัน และชนกันที่กลางสำรับอาหาร >เชื่อว่าจะต้องมีแขกมาเยือนกันถึงเรือนชานอย่างแน่นอน ไม่วันนี้ก็เป็นพรุ่งนี้ ก็จะมีการเตรียม >ข้าวปลาอาหารรอต้อนรับ และก็เป็นเช่นนี้ทุกครั้งไป