วันอาทิตย์ที่ 29 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

ใครอยากไปสวิตเซอร์แลนด์ยกมือขึ้น [[3]]

เรื่องราวของคนที่ไปมาเอามาให้อ่านกันนะคะต่อค่ะ

APPENZELL เป็นอีกเมืองหนึ่งที่มีงานศิลปะวาดอยู่ตามฝาผนังบ้าน ร้านค้า คล้ายกับที่ STEIN AM RHEIN แต่จะแตกต่างกันที่งานของที่นี่จะเป็นรูปแบบน่ารักๆ เช่น ดอกไม้ หรือลายตุ๊กตา เน้นความน่ารักและเรียบง่ายมากกว่า ที่นี่เป็นแหล่งช๊อปปิ้งอีกที่หนึ่ง มีสินค้าประเภท ขนม งานศิลปะ ตุ๊กตา ร้านกาแฟ เสื้อผ้าก็มี พวกเราก็ทำเหมือนเดิม..ช๊อปด้วยสายตา ความทรงจำ และกล้องถ่ายรูป

รูปปั้นแบบนี้..มีให้เห็นเยอะ (ซ้าย) แต่รูปนี้มีความหมายค่ะ ถ้ามองจากตรงจุดที่ยืน Action อยู่นี่จะเห็นเป็นลานกว้าง ชาวเมืองเขาใช้เป็นลานสำหรับประชุมปรึกษาหารือกัน แล้วก็มีการลงคะแนนเสียงโดยการยกมือ อ๊ะ..อ๊ะ..ประชาธิปไตยเต็มขั้น (ขวา) ไม่รู้ความหมายหรอกค่ะ แต่ก็จะเห็นมีน้ำพูทุกอัน และอันนี้ก็เอาไว้ให้รถวิ่งรอบ..มั้ง แถมมีนักท่องเที่ยวผมดำๆ มาประดับรูปให้ดูเก๋ขึ้นอีกเยอะ

วันนี้พวกเราช้าไป 1 ชม. เนื่องจากไกด์ไม่รู้เส้นทาง... ไม่ใช่..ไม่ใช่..เนื่องจากพวกเรามัวแต่ชมวิวทิวทัศน์ข้างทางกันจนเพลิน ชมเมืองไป ถ่ายรูปไป วาดรูปไป คุยกันไป ฯลฯ ทำให้เรานั่งรถไฟเลยไปจนสุดสาย รถจอดสนิทแล้วยังไม่ยอมลงขอชมวิวต่อจนคนขับรถไฟเดินมาบอกว่า "ลงได้แล้ว"

ที่นี่ WASSERAUEN เป็นชนบท มีแม่น้ำไหลผ่าน อยู่ติดภูเขาซึ่งบนนั้นก็มีหิมะสีขาวสะอาดที่กำลังละลายให้เห็นเป็นหย่อมๆ คนชนบท ส่วนใหญ่มีอาชีพเกษตรกรรม บ้านเขามีเครื่องทุ่นแรงในการทำเกษตรเยอะ เช่น เครื่องหว่าน เครื่องตัดหญ้า เครื่องพรวนดิน เครื่องเก็บผลผลิต สะดวกจัง.. ที่สวิส..คนของเขาสามารถตัดต้นไม้ในป่าเอาไปใช้ประโยชน์ได้ แต่ตัดแล้วต้องปลูกคืน 5 ต้น ป่าบ้านเขาจึงยังคงแน่นไปด้วยต้นไม้...


บ้านของเกษตรกรมักมีโรงนาอยู่หลังบ้าน ซึ่งคล้ายยุ้งฉางบ้านเรา หลังเล็กๆ เอาไว้เก็บผลผลิตและฟืนซึ่งต้องเก็บสะสมไว้ใช้ในหน้าหนาวเพื่อให้ความอบอุ่นภาพวาดเมือง WASSERAUENออกนอกเส้นทางเสียบ้าง ชีวิตมีรสชาติขึ้นอีกเยอะ..พวกเราต้องขี้นรถไฟย้อนกลับไปซึ่งทำให้เสียเวลาไป 1 ชม. แต่ได้ชมสวิสเพิ่มขึ้นอีก 1 ที่ เห็นไหมไม่เคยเสียอะไรไปเปล่าๆ และก็ไม่เคยได้อะไรมาฟรีๆ อีกต่างหาก (win-win)

ST.GALLEN ที่นี่เป็นศูนย์รวมทางศาสนาคริสต์ ทั้งนิกายคาทอริค และโปรแตสแตน โบสถ์แห่งนี้เป็นมรดกโลก ใหญ่และสวยงามมาก (บรรยายไม่ถูกเลย..ดูรูปเอาแล้วกันนะ) (รูปขวา) ด้านนอกโบสถ์แห่งนี้ซึ่งสวยงามไม่แพ้ด้านใน


SAENTIS PARK หลังจากที่เดินเมื่อยมา 2-3 วัน ได้มาแช่น้ำอุ่นที่ SAENTIS PARK ทำให้รู้สึกสบายขึ้นเยอะ ที่นี่เป็นสวนน้ำในห้างสรรพสินค้า มีบ่อน้ำพุร้อนให้นั่งแช่ นอนแช่, สระว่ายน้ำ (อุ่น) จุดนี้จะมีที่ให้นอนแช่ในน้ำแล้วมีรูพ่นอากาศออกมาตามจุดต่างๆ เช่น คอ แขน ขา เหมือนให้น้ำมานวดตัวเราอย่างงั้นเลย มีช่วงน้ำวน น้ำพุ, อีกจุดหนึ่งเป็นสระน้ำเย็น เวลาเล่นน้ำถ้าได้ยินเสียงนกหวีดเป่า..ปี๊ด...จะมีคลื่นยักษ์ให้เล่นคลื่นกันสักพักประมาณ 15 นาที มีห่วงยางให้เล่นฟรี แต่ห่วงยางเมืองฝรั่งนี่ทำไมมันห่วงโตจัง กอดไม่รอบเลย มี Spa ด้วยละ เขาแยกห้องชาย-หญิง และห้องรวม พวกเราเลือกเข้าห้องหญิง พอเดินเข้าไปต้องตกกะใจ ตะลึกกับภาพที่ได้พบเห็น ในห้องนี้เขาไม่ใส่เสื้อผ้ากัน มีแต่พวกเรา 3 คน เท่านั้นที่ใส่ชุดว่ายน้ำ ก็รู้สึกแปลกๆ แต่ที่จริงเราตางหากที่แปลก ถูกเขามองด้วยสายตา...ที่บรรยายไม่ถูก... เดินออกมาดีกว่า
เย็นนี้เรากินอาหารที่ร้านอาหารแบบแขกๆ ไกด์ของเราบอกว่าราคาไม่แพง เดี๋ยวรู้..เดี๋ยวรู้.. จัดร้านเหมือนแขก หรือจีน เนี่ยแยกไม่ค่อยออก เอาเป็นว่าพูดถึงอาหารเลยแล้วกันเห็นข้าวผัดรวมมิตรแล้วอยากกิน แต่เราเลือก เส้นผัด เขาถามว่าราดแกงไหม? เราเห็นคนที่เขาสั่งก่อนหน้าเราสั่งราดแกงด้วยก็เลยเป็นขุนพลอยพยัก คนขายบอกว่า เส้นผัดราคา 14 Fr. แต่ราดแกงด้วยราคาจึงเปลี่ยนเป็น 18 Fr. (1 Fr. = 30+ บาท) ตักอาหารให้เยอะมากถ้าอยู่บ้านเราก็เท่ากับ 2 จานเลยทีเดียว เกือบกินไม่หมดแต่พอคิดถึงราคาแล้วก็ต้องเก็บใส่ท้องไปให้หมดเราซื้ออาหารเขาให้แต่ซ่อมกับกระดาษทิชชู 1 แผ่น เราจึงร้องขอ Spoon และแล้วก็ได้อาวุธที่ถนัดที่สุด คนฝรั่งเขาไม่ใช้ช้อนตักอาหารจะใช้ในกรณีตักซุป ...เห็นฝรั่งใช้ซ่อมตักข้าวใส่ปากแต่ก็ต้องคอยเอามืออีกข้างหนึ่งเขี่ยข้าวด้วย ...นี่ถ้าใช้ช้อนซ่อมซะก็หมดเรื่อง

และขอบคุณhttp://www.maemodpuk.4t.com/story/swiss3/swiss4.htmlที่ให้ข้อมูลนะคะ ^^

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น