วันจันทร์ที่ 17 สิงหาคม พ.ศ. 2552

หลักในการเลือกซื้อ Printer



หลักในการเลือกซื้อ Printer

ถ้ากาแฟคู่กับครีมเทียมฉันใด คอมพิวเตอร์ก็คู่กับพริ้นเตอร์ฉันนั้น อุปกรณ์ทั้งสองอย่าง ล้วนต้องพึ่งพากันและกัน ถ้าแยกหมู่ต่างคนต่างทำ งานก็ไม่สำเร็จ คุณภาพก็ไม่เต็มร้อย แต่การซื้อพริ้นเตอร์มาใช้สักเครื่องจะต้องคำนึงถึงเรื่องอะไรบ้าง ถ้าอย่างนั้นเรามาทำความรู้จักกับพริ้นเตอร์กันก่อนดีกว่านะคะเราสามารถจัดแบ่งพริ้นเตอร์ออกเป็น 3 ประเภทดังนี้

ดอตเมทริกซ์
เอกลักษณ์ของพรินเตอร์ประเภทนี้ก็คือเวลาพิมพ์จะมีเสียงดัง ต๊อกแต๊กๆ เหตุที่เครื่องมันดังเช่นนี้ก็เพราะมันใช้หลักการทำงานแบบหัวเข็มกระแทกคล้ายเครื่องพิมพ์ดีด นิยมใช้พิมพ์งานที่ต้องการสำเนา เช่น ใบเสร็จรับเงิน , ใบวางบิล ฯลฯ พริ้นเตอร์ประเภทนี้มีข้อดีหลายอย่าง เช่น พิมพ์กระดาษต่อเนื่องได้ หมึกก็ใช้ไม่เยอะเลยทำให้ต้นทุนในการพิมพ์ต่อหน่วยต่ำ ฯลฯ เครื่องพิมพ์ประเภทนี้ไม่เหมาะที่จะพิมพ์งานที่ต้องการความละเอียดสูงๆ นะคะ

เครื่องดอตเมทริกซ์ นั้นมี 2 แบบ คือแคร่สั้นและยาว มีเข็มสำหรับพิมพ์ 9 และ 24 เข็มให้เลือก เวลาเลือกให้ดูเรื่อง ความเร็วในการพิมพ์ด้วย (เป็นตัวอักษรต่อนาที) ยิ่งมีความเร็วก็สามารถพิมพ์งานได้มากขึ้น ความเร็วที่ทั่วไปอยู่ที่ประมาณ 390 ตัวอักษรต่อนาที สิ่งที่ต้องพิจารณาต่อไปก็คือ ความละเอียดความละเอียดในการพิมพ์ ถ้าต้องการงานที่ละเอียดมากก็ให้เลือกเครื่องที่มีจำนวนหัวเข็มมาก ส่วนการเชื่อมต่อกับคอมพิวเตอร์ส่วนใหญ่จะเป็นอินเทอร์เฟซแบบพาราเรล พอร์ต มาดูกันที่ราคาบ้าง ถ้าเป็นแบบ 9 เข็ม ราคาจะอยู่ในช่วงประมาณ เจ็ดพันถึงหนึ่งหมื่นสองพันบาท แต่ถ้าเป็นแบบ 24 เข็ม ก็เป็นราคาหลักหนึ่งหมื่นเป็นต้นไป

เลเซอร์พริ้นเตอร์
คุณภาพของงานที่พิมพ์ด้วยเลเซอร์พรินเตอร์ จะมีความคมชัดมากกว่า เครื่องพิมพ์ดอตเมทริกซ์ เพราะใช้เทคโนโลยีคล้ายกับ การทำงานของเครื่องถ่ายเอกสาร เลเซอร์พริ้นเตอร์ส่วนใหญ่จะพิมพ์ภาพขาวดำได้ดี ต้นทุนต่อแผ่นไม่สูงมากนัก แต่ถ้าจะพิมพ์สีก็ต้องลงทุนเพิ่มอีกเยอะพอสมควร ถ้าไม่จำเป็นจริงๆ ไม่แนะนำให้พริ้นเลเซอร์สีคะ

เวลาเลือกซื้อพริ้นเตอร์ประเภทนี้ ต้องให้ความสำคัญกับความละเอียดก่อนเรื่องอื่น มาตรฐานของความละเอียดที่ 600x600 dpi และ 600 x 1200 dpi แต่ก็มีรุ่นอื่นๆ ที่มีความละเอียดมากกว่ามาตรฐาน ซึ่งก็จะมีราคาสูงตามไปด้วย ราคาของเลเซอร์พริ้นเตอร์ที่มีความละเอียด 600x600 และ 600x1200 dpi ก็จะอยู่ประมาณ 10,000-15,000 บาท ปัจจัยต่อมาก็ต้องพิจารณาความเร็วในการพิมพ์เหมือนกับพริ้นเตอร์ประเภทอื่น ด้วยการจับเวลาในการพิมพ์ ว่าในหนึ่งนาทีเครื่องจะพิมพ์ขาว-ดำ และสี ได้กี่หน้า เท่าที่ทดสอบกันมาก็มีตั้งแต่ 4 หน้าขึ้นไป มีเครื่องบางรุ่นเหมือนกันที่พิมพ์เร็วเหลือเกินได้ถึง 32 หน้าต่อนาที (ขาวดำ) แต่เป็นงานเอกสารที่ไม่ใช่รูปนะคะ

เรื่องต่อมาก็ต้องดูว่าหน่วยความจำที่ติดตั้งมากับเครื่องมีเท่าไหร่ ถ้ามีน้อย (บางรุ่นมีแค่ 256 กิโลไบต์) ก็จะส่งผลต่อความสามารถในการพิมพ์ จนบางครั้งพิมพ์ไม่ได้เลยทีเดียว แต่เลเซอร์ในปัจจุบันส่วนมากจะมีหน่วยความจำ เป็นมาตรฐานประมาณ 4-8 เมกะไบต์

อิงค์เจ็ต
พรินเตอร์ระบบพ่นหมึก ที่มาแรงมาก มีจำนวนผู้ใช้แซงพริ้นเตอร์ทั้งสองประเภทข้างต้นแล้ว ด้วยความเฉียบในการพิมพ์ ทั้งเอกสารและภาพทั้งานพิมพ์สีและขาว-ดำ แถมยังมีต้นทุนต่อหน่วยต่ำด้วย ก็เลยไม่แปลกใจว่า ทำไมเดี๋ยวนี้ใครๆ ถึงได้ใช้อิงค์เจ็ตกันทั่วบ้านทั่วเมือง นอกจาคุณภาพดีแล้วราคาก็มีให้เลือกหลายระดับด้วยตั้งแต่หลักพันกลางๆ จนถึงหลักหมื่นต้นๆ ผู้ผลิตอิงค์เจ็ตพริ้นเตอร์ที่ดังๆ ตอนนี้ก็มี Canon ที่ชูเทคโนโลยี โฟโต้ เรียลลิซึ่ม ( Photo Realism), ส่วน Epson ก็มี Micro Piezo, ส่วน HP เขาใช้ PhotoREt และค่าย Lexmark ก็เลือกเทคโนโลยี Thermal Inkjet มาใช้ดึงลูกค้า เมื่อรู้จักยี่ห้อกันแล้ว ก็ได้เวลาดูว่าจะต้องพิจารณาอะไรบ้าง ถ้าคิดจะซื้อพริ้นเตอร์ประเภทนี้

คุณสมบัติที่ทำให้ภาพที่พิมพ์ออกมามีความสวยงามหรือไม่ก็คือความละเอียดในการพิมพ์ คล้ายกับเลเซอร์พรินเตอร์ ให้เลือกตั้งแต่ 300x600 dpi ไปจนถึง 2400x1200 dpi มีข้อสังเกตอยู่อย่างหนึ่งก็คือ ถ้าใช้เครื่องที่มีความละเอียดสูง จะต้องใช้เวลาในการพิมพ์นานขึ้นและต้องใช้กระดาษที่ถูกออกแบบมาสำหรับการพิมพ์งานที่ละเอียดเท่านั้น จึงจะได้ภาพที่สวยงาม ถ้าเป็นงานเอกสารทั่วไป ที่ไม่จำเป็นต้องเน้นรายละเอียดในการพิมพ์มากนัก ก็ใช้เครื่องที่มีความละเอียดประมาณ 720x720 dpi ก็เพียงพอ

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น